เล่ม 2 ตอนที่ 88 สืบ / ตอนที่ 89 ยืมสถานที่

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 88 สืบ

บรรยากาศคึกคักของโรงเตี๊ยมในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันอื่นมาก และวันนี้บรรยากาศในตำหนักขององค์ชายรัชทายาทก็สงบเยือกเย็นจนผิดปกติ

ไม่ว่าผู้ใดในตำหนักรัชทายาทต่างทราบดีว่าหลังสอบกลางภาคของสำนักเทียนลู่ในครั้งที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนัก

บ่าวไพร่นางกำนัลชั้นน้อยใหญ่ต่างตัวสั่นงันงกเพราะเกรงว่าอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปแล้วพระองค์จะทรงกริ้ว

ยามปกตินั้นหรงจิ้นมักจะนั่งอ่านฎีกาอยู่ในห้องทรงอักษร

ทว่าตอนนี้เขาอารมณ์เสียเป็นอย่างยิ่ง พลาดให้อ่านฎีกาไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวอักษรเดียว

โฉมหน้างดงามของหญิงสาวผู้หนึ่งลอยอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา แม้จะสลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่ออกไปจากหัวสักที

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว แต่เขากลับอ่านฎีกาไม่เข้าหัวสักตัว สุดท้ายจึงทำได้เพียงวางฎีกาลงด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็นวดคลึงระหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่น

“ซ่งหยวน ทางด้านตระกูลฉู่มีความคืบหน้าสิ่งใดบ้าง”

เมื่อซ่งหยวนที่รออยู่ด้านนอกด้วยความระมัดระวังได้ยินเสียงดังลอดออกมา เขาจึงโค้งคำนับ

“ทูลองค์ชาย คุณหนูสามตระกูลฉู่นอนรักษาตัวอยู่ ดูเหมือนอาการจะยังไม่ดีเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ…”

หรงจิ้นเหลือบมองเขาแล้วโยนฎีกาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ปัง จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ

“เจ้ารู้ว่าข้ากำลังถามเรื่องใด!”

ซ่งหยวนสั่นเทา แล้วรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที

“องค์ชาย ทางด้านตระกูลฉู่ส่งข่าวทั้งคืนจนโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงแทบไม่มีใครรับจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา…”

หรงจิ้นปิดเปลือกตาลง อารมณ์ของเขาพอจะสงบลงมาบ้าง

ต่อให้ฉู่หลิวเยว่มีพรสวรรค์ทั้งสองด้านแล้วจะทำไม

เมื่อไม่มีตระกูลคอยหนุนหลัง นางก็เปรียบเสมือนกับหัวเดียวกระเทียมลีบ

นางก็จะได้รู้ว่าการเป็นปรปักษ์กับเขานั้นมีจุดจบเยี่ยงไร

เมื่อนางสิ้นไร้ไม้ตอก นางจะต้องเสียใจที่จงใจยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับเขาแน่นอน

“ข้าก็พอจะมีโรงเตี๊ยมที่รู้จักอยู่บ้าง เจ้าส่งคนไปบอกนาง หากนางวิงวอนขอร้องข้า ข้าจะยอมเบิกทางช่วยนางสักครั้ง”

ซ่งหยวนนิ่งค้างเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว และสีหน้าของเขาก็ดูอึดอัดขึ้นมา

“องค์ชาย คือว่า…มีโรงเตี๊ยมที่รับจัดงานเลี้ยงของฉู่หลิวเยว่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

หรงจิ้นชะงักไปทั้งร่าง

“เจินเป่าเก๋อ…เหมาทั้งโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเพื่อจัดงานให้ฉู่หลิวเยว่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

เคร้งๆ!

หรงจิ้นกวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งลงกับพื้นพร้อมกับสีหน้าเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัว

แม้กระทั่งซ่งหยวนก็ไม่กล้าเงยหน้ามอง

ตอนที่เขาได้รับข่าวนี้ก็ตะลึงค้างไปเช่นกัน แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจที่สุด

“ทะ…ทูลองค์ชาย อีกอย่างเพราะเรื่องนี้ถูกลือไปทั่วเมืองหลวงว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่หาที่พึ่งพาอย่างเจินเป่าเก๋อได้ ดังนั้นหลายคนจึงเห็นแก่หน้าเจินเป่าเก๋อ พวกเขาจึงไปที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงกันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่บีบอัดเข้ามา

ซ่งหยวนไม่กล้าขัดขืน หัวใจของเขาสั่นสะท้าน จากนั้นเขาก็กระเด็นออกไปแล้วร่วงหล่นลงพื้นอย่างแรง

พรวด!

เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก แต่กลับรีบลุกขึ้นคุกเข่าเช่นเดิม

“องค์ชายโปรดระงับโทสะ”

หรงจิ้นกำหมัดแน่น ความโกรธในใจของเขาแทบจะแผดเผาร่างให้มอดไหม้

ระงับโทสะอย่างนั้นหรือ!

จะให้ระงับโทสะได้อย่างไร

กว่าเขาจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่ได้มิใช่เรื่องง่าย เขาต้องยอมถูกเสด็จพ่อดุด่า แล้วฉู่หลิวเยว่ล่ะ

นางกลายเป็นอัจฉริยะชั่วข้ามคืนแล้วยังจัดงานฉลองใหญ่โตอีก กลัวคนอื่นไม่รู้ว่านางสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้หรือไร!

นางตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาและตระกูลฉู่อย่างชัดเจน

ยิ่งตอนนี้นางมีแสงสว่างส่องมาที่ตัวเองมากเท่าไหร่ เขาและตระกูลฉู่ก็จะยิ่งถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะมากเท่านั้น

“ข้าบอกแล้วว่านางไปเอาความกล้ามาจากไหน…” ที่แท้ก็มีเจินเป่าเก๋อคอยสนับสนุนตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง

หรงจิ้นขมวดคิ้วเป็นปมและเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ จนในที่สุดเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นลงมามาก

“เจ้ารีบส่งคนไปสืบว่าตกลงเจินเป่าเก๋อมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่!”

“องค์ชาย!”

ซ่งหยวนเงยหน้าด้วยความตกใจ แล้วรีบเอ่ยห้าม

“องค์ชายโปรดทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ เบื้องหลังของเจินเป่าเก๋อช่างลึกลับซับซ้อน ร่ำรวยมหาศาลจนน่าทึ่ง มิอาจไปกล้ำกรายได้จริงๆ พระองค์ก็ทรงทราบ ก่อนหน้านี้มีคนแอบสืบความลับของเจินเป่าเก๋อ สุดท้ายก็ถูกฆ่าตายกลับมาทั้งหมด ตอนนี้พระองค์มิจำเป็นต้องลดตัวลงไปทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”

แม้กระทั่งเสด็จพ่อยังเก็บเรื่องเจินเป่าเก๋อไว้เป็นความลับ และเหตุใดหรงจิ้นถึงจะไม่รู้เล่า

มิฉะนั้น เขาจะไม่มีวันยอมแพ้เรื่องพื้นที่ล่าสัตว์ไปอย่างง่ายดายหรอก!

ครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองเขายังพอทนได้ และจะไม่มีครั้งต่อไปเด็ดขาด!

“ไปสืบ!”

ตอนที่ 89 ยืมสถานที่

ผู้คนในเหมืองหลวงมักดูทิศทางของกระแสลมเสมอ

หลังจากที่โอวเซี่ยงเทียนและคนอื่นๆ ทราบว่าเจินเป่าเก๋อเหมาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเพื่อจัดงานฉลองให้กับฉู่หลิวเยว่ พวกเขาก็รีบเปลี่ยนท่าทีตามกระแสลมและรีบตบเท้าเข้ามาร่วมงานอย่างไม่ขาดสาย

เมื่อข่าวนี้สะพัดออกไปก็ยิ่งทำให้หลายคนที่ตอนแรกวางตัวเป็นกลางต่างพากันแห่แหนเข้ามาร่วมงานด้วยเช่นกัน

จริงอยู่ที่มิอาจกระด้างกระเดื่องต่อองค์ชายรัชทายาทและตระกูลฉู่ได้ แต่ทว่าเจินเป่าเก๋อยิ่งยากไปกว่านั้นมากโข!

ก่อนหน้านี้ที่องค์ชายรัชทายาทเสียเปรียบให้กับเจินเป่าเก๋อ พระองค์ก็ไม่เห็นจะมีการตอบโต้ใดๆ นี่นา

ดังนั้น คลื่นมวลชนในเมืองหลวงเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเที่ยงนี้ทำให้ในไม่ช้าที่นั่งในโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงก็เต็มหมดแล้ว

“เถ้าแก่ ห้องภัตตาคารบนชั้นสองไม่มีที่นั่งแล้ว ห้องโถงใหญ่ชั้นล่างก็เต็มหมดแล้ว แต่มีแขกสิบกว่าท่านที่รอด้านนอกยังไม่มีที่นั่งเลยนะ”

บ่าวรับใช้ในโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงก็ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น

ในวันปกติกิจการของพวกเขาก็ดีมากอยู่แล้ว แต่เพราะไม่ได้เปิดบริการชั้นสองบ่อยนัก ดังนั้นจึงไม่หัวหมุนกันขนาดนี้

แต่ทว่าวันนี้ฉู่หลิวเยว่และพวกเขาเล่นเหมาทั้งโรงเตี๊ยม ไม่ว่าชั้นหนึ่งหรือชั้นสองต่างก็เต็มหมดแล้วแต่ก็ยังไม่พอรับแขกอีก!

ซูหุยก็ปวดหัวเช่นกัน เขาจึงมองไปที่ฉู่หนิงและคนอื่นๆ อย่างขอโทษขอโพย

“ใต้เท้าฉู่หนิง คุณหนูหลิวเยว่ คุณชายรองเหยียน แล้วทุกๆ ท่านดูสิว่าควรจะทำเยี่ยงไรดี”

โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเป็นโรงเตี๊ยมหรูหราชั้นสูง เคยมีคนมามากมายขนาดนี้ซะที่ไหน

ฉู่หนิงเกิดความกังวลเล็กน้อย

“ผู้ที่มาล้วนเป็นแขกของข้า ยิ่งไปกว่านั้นฐานะของพวกเขาก็มาธรรมดา หากให้รอนานเกรงว่าท่าจะไม่ดี เถ้าแก่ไม่มีที่นั่งอีกแล้วจริงหรือ”

ซูหุยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ใต้เท้าฉู่หนิง ไม่มีที่ว่างแล้วจริงๆ คงมิสามารถให้แขกเหรื่อนั่งตรงทางเดินกลางทะเลสาบหรอกกระมัง”

ทันใดนั้นทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไปถนัดตา

ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเหยียนเก๋อ

“คุณชายรองเหยียน ท่านเชิญแขกมามากมายเกินไปแล้ว…”

“เฮ้อ คุณหนูหลิวเยว่ ท่านอย่าเข้าใจผิด ผู้ที่มาทีหลังข้าไม่ได้เป็นคนเชิญพวกเขามาสักหน่อย!”

เหยียนเก๋อรีบโบกมือป้อยๆ

ผู้ที่สามารถให้เขาไปเชิญได้ล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตากันทั้งนั้น

ผู้ที่มาทีหลัง มีหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในสายตาเขา แต่ก็ยังจะมากันให้ได้ ที่สำคัญคนพวกนั้น…ยังได้รับเชิญอีกด้วย

“ใต้เท้าฉู่หนิง ท่านส่งจดหมายเชิญมากเกินไปแล้ว!”

ฉู่หนิงกำหมัดป้องปากกระแอมไอ

“ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีใครมา ก็เลยส่งจดหมายเชิญไปเยอะๆ หน่อย…”

ตอนนั้นคิดว่ามีใครมาสักคนเดียวก็ดีใจแล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะแห่มากันหมดนี่!

เผลอนิดเดียวสถานที่ก็ไม่พอแล้ว!

แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ทราบดีว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ตอนนี้ก็ได้แต่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ใต้เท้าจ้าว ไม่ทราบว่าข้าขอรบกวนท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

จ้าวหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบตอบทันที

“คุณหนูหลิวเยว่สั่งมาได้เลยขอรับ”

ฉู่หลิวเยว่หยิบจดหมายเชิญออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เขา

“รบกวนใต้เท้าจ้าวนำจดหมายเชิญนี้ส่งไปให้ตระกูลฉู่ด้วย”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของนาง สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เยว่เอ๋อร์ นี่ลูกคิดจะทำสิ่งใดกัน” ฉู่หนิงขมวดคิ้ว

วันนี้เป็นวันดี เขาไม่อยากไปเกี่ยวข้องอันใดกับพวกตระกูลฉู่

จ้าวหมิงรับจดหมายเชิญนั้นด้วยท่าทางลังเล

“คุณหนูหลิวเยว่ ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำเยี่ยงนี้”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

“คุณหนูหลิวเยว่ โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงไม่มีที่ว่างแล้ว เหตุใดท่านถึงยังส่งจดหมายเชิญอีก แล้วยัง…ส่งไปให้ตระกูลฉู่อีกด้วยหรือ”

เหยียนเก๋อเองก็คาดเดาความคิดของนางไม่ได้เหมือนกัน เขาจึงอดถามไม่ได้

ฉู่หลิวเยว่มองหน้าฉู่หนิงที่ไม่เห็นด้วยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพ่อ ท่านจำได้หรือไม่ว่าตระกูลฉู่ส่งบ่าวรับใช้คนนั้นมาที่บ้านเราแต่เช้า”

“พ่อจำได้ แล้วลูกเอ่ยถึงเขาทำไม”

ยามที่พวกเขาตามซูหุยมาที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงก็ไล่คนผู้นั้นกลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว

“ท่านคงลืมไปว่าตอนนั้นเขาเคยบอกว่า หากพวกเราไม่มีสถานที่จัดงานเลี้ยง เราก็สามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ ตระกูลฉู่…มีโรงเตี๊ยมหลายแห่งพอดีมิใช่หรือเจ้าคะ”

ฉู่หนิงค่อยๆ เบิกตาโต

“นี่ลูกหมายความว่า…”

ฉู่หลิวเยว่เอานิ้วเคาะจดหมายเชิญฉบับนั้น พร้อมกับริมฝีปากแดงที่ยกยิ้มมุมปาก

“แน่นอนว่าเราไม่สามารถให้แขกผู้มีเกียรติของเราต้องไปทนอึดอัดอยู่ในโรงเตี๊ยมโกโรโกโสของพวกเขา แต่ให้คนของพวกเขาขนโต๊ะขนเก้าอี้มาที่นี่แทนได้ เพราะถนนด้านนอกโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงยังสามารถจัดได้อีกตั้งหลายโต๊ะเลยทีเดียว”

“ส่วนอาหารและเครื่องดื่มก็ยังคงให้ทางโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเป็นฝ่ายจัดแจงเหมือนเดิม ขณะเดียวกันจะได้ให้พวกเขาอยู่ต่อคอยช่วยเก็บกวาด จะได้ผ่อนแรงพวกเราเพราะคนไม่พอ ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”

จ้าวหมิงเอ่ยถามด้วยความมึนงง “แบบนี้ ได้หรือขอรับ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พวกเขายังบอกอีกว่าจะลดราคาให้เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนด้วยมิใช่หรือ”

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตาหยี

“เงินแค่นี้ ข้า ฉู่หลิวเยว่มีปัญญาจ่ายแน่นอน!”

คำพูดเพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้ทุกคนตกตะลึงเบิกตาอ้าปากค้างได้ และนานจนกว่าจะได้สติกลับคืนมา

เหยียนเก๋อยกนิ้วโป้งให้ด้วยความชื่นชมอย่างอดไม่ได้

“คุณหนูหลิวเยว่ ท่านสุดยอดจริงๆ!”

นี่ไม่ใช่การตบหน้าแล้ว แต่เป็นการฉีกหน้าตระกูลฉู่ทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำอีกต่างหาก

เกรงว่าพอจดหมายเชิญฉบับนี้ถึงตระกูลฉู่เมื่อไหร่ คนพวกนั้นคงกระอักเลือดแน่กระมัง!

สมกับเป็นนางในหัวใจของนายท่าน วิธีเช่นนี้ทำให้คนไม่ชื่นชมไม่ได้จริงๆ

ฉู่หลิวเยว่เร่งเร้า

“รบกวนใต้เท้าจ้าวด้วย”

“เฮ้อ! ขอรับ! ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”

จ้าวหมิงเหยียดยิ้มอย่างนึกสะใจก่อนจะรีบนำจดหมายเชิญนี้ไปที่ตระกูลฉู่

ซูหุยได้สติกลับมาก็ประสานมือคำนับด้วยความนับถือ

“คุณหนูหลิวเยว่ฉลาดปราดเปรื่องมากจริงๆ ขอรับ”

“เถ้าแก่ซูชมกันเกินไปแล้ว หวังว่าท่านคงไม่คิดว่าพวกเราจะสร้างความเดือดร้อนให้ท่านก็พอ”

“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”

ซูหุยส่ายหน้าแล้วลอบถอนหายใจ

ตระกูลฉู่โชคร้ายมาแปดรุ่นแล้ว ยังจะหาเรื่องแม่นางท่านนี้อีก

ตอนแรกคิดว่าจะใช้อำนาจตระกูลฉู่สั่งสอนนางให้เข็ดหลาบสักหน่อย แต่ใครจะไปรู้ว่าตระกูลฉู่จะเตะโดนตอเหล็กเข้าให้

เกรงว่าคนตระกูลฉู่ต้องกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงแล้ว

ฉู่หลิวเยว่มองไปทางด้านนอกประตู นางเอามือเท้าคางและเคาะคางเบาๆ จากนั้นจึงถามในสิ่งที่กำลังคิด

“ข้าจำได้ว่าดูเหมือนองค์ชายรัชทายาทก็พอจะมีโรงเตี๊ยมอยู่เหมือนกันใช่หรือไม่”