ตั้งแต่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเย่เฉินกับหวังซ่าวเจี๋ยดีขึ้นแล้ว อดีตพี่ภรรยาอย่างหวังซ่าวเจี๋ยก็เอาแต่เป่าหูให้เย่เฉินแต่งงานกับหวังหยวนหยวน

หวังซ่าวเจี๋ยรู้ว่าสามปีมานี้เย่เฉินเป็นจิ้งจอกที่คลุมขนลูกแกะ ถึงจะไม่รู้ว่าเย่เฉินเป็นใครกันแน่ แต่จากท่าทีของหลิวเจิ้งคุนก็ทำให้พอมองออกว่าเย่เฉินจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่

หวังซ่าวเจี๋ยเดาว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายคงเป็นลูกพี่ของใครสักคน

หากให้น้องสาวของตนเองแต่งงานกับเขา ต่อไปภายหน้าหวังซ่าวเจี๋ยก็จะสามารถยืดอกเชิดหน้าได้ในอวิ๋นโจว หรืออาจจะถึงขั้นทั้งมณฑลรอบๆ ด้วยซ้ำไป

หวังซ่าวเจี๋ยส่งรูปส่วนตัวของหวังหยวนหยวนให้เย่เฉินซึ่งเป็นภาพที่เขาขโมยมาจากมือถือน้องสาวตอนที่เจ้าตัวกำลังหลับอยู่

รูปภาพเหล่านี้หวังหยวนหยวนไม่เคยอัปโหลดลงในอินเตอร์เน็ตแต่เก็บเอาไว้ดูเอง

หวังซ่าวเจี๋ยในฐานะที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ยังกล่าว “ถ้าหากว่าผมไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับหวังหยวนหยวน ยังอยากจะล่อหล่อนเลย!”

หลังจากเย่เฉินเห็นภาพเหล่านี้แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกอะไร

เพียงแต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการสู้รบกับอดีตภรรยา ในหัวสมองเขาเต็มไปด้วยเรื่องล้างแค้นหวังเจียเหยาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจจะมีความรัก

วางสายเสร็จเย่เฉินก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง

“เจียเหยา ในที่สุดคุณก็จะแต่งานกับลูกเศรษฐีคนนั้นแล้ว ในที่สุดพวกคุณทั้งสองคนก็จะคบหากันอย่างเปิดเผยแล้วสินะ ฮ่าๆ”

รอยยิ้มเย่เฉินขมขื่น เดิมไม่อยากจะสนใจเรื่องของพวกเขาสองคน แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าตนเองจะไปที่นั่นด้วย!

เขาอยากจะเห็นหวังเจียเหยาตกปากรับคำยอมแต่งงานด้วยตาตนเอง!

เขาอยากจะจดจำรอยยิ้มแห่งความสุขของหญิงโฉดชายชั่วทั้งสองคน!

จากนั้นก็จะต้องให้พวกเขาได้รับโทษที่ตนเองสมควรจะได้รับ!

เย่เฉินโทรหาฉินหงเหยียน “หงเหยียนคืนพรุ่งนี้ไปดูคอนเสิร์ตของเทพนักร้องเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”

……

เวลาหนึ่งทุ่ม

ณ สนามกีฬาป๋ายหลง

ที่นั่งจำนวนเกือบหมื่นของสนามกีฬาเต็มจนไม่มีที่ว่าง วันนี้ฝนตกพรำๆ แต่กลับไม่อาจลดทอนความกระตือรือร้นของแฟนเพลงได้เลย

นี่ก็คือเสน่ห์ของเทพนักร้องเพลงจีน

ในงานนั้นมีผู้ชมในทุกช่วงอายุ เด็กสุดก็สิบกว่า แก่สุดก็ห้าสิบกว่านู่น

เย่เฉินและฉินหงเหยียนนั่งอยู่ตรงที่นั่ง VIP บริเวณที่นั่ง VIP ในงานคอนเสิร์ตนั้นแตกต่างไปจากที่นั่งธรรมดา

ที่นั่งธรรมดาอยู่ห่างไกลโดยแทบจะไม่เห็นนักร้องที่อยู่บนเวทีทำได้ดูแค่บนจอเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเก้าอี้พับได้แข็งๆ และสกปรกที่ใช้ในสนามกีฬา

ส่วนที่นั่ง VIP นั้นดีกว่ามาก ที่นั่งของเย่เฉินอยู่ที่แถวแรกอยู่ห่างจากเวทีเพียงไม่กี่ก้าว แล้วที่นั่งก็สบายดี

ทว่าคนที่มีเงินซื้อที่นั่ง VIP ไม่ได้มีแค่เย่เฉิน

“โอ๊ะ บังเอิญอะไรแบบนี้เนี่ย เย่เฉิน คุณฉิน พวกเราบังเอิญเจอกันกี่ครั้งแล้วเนี่ย?”

ฟางเชาเดินจูงมือหวังเจียเหยามา คิดไม่ถึงว่าที่นั่งของพวกเขาจะอยู่ถัดไป!

เย่เฉินสังเกตเห็นท่าทางที่จับมือกันของพวกเขาสองคน เขาจำได้ว่าตอนที่บังเอิญเจอพวกเขา พวกเขายังไม่กล้าจูงมือกันในที่สาธารณะแบบนี้ทว่าตอนนี้กลับ…

เย่เฉินเจ็บปวดหัวใจนักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า!

เมื่อไม่นานมานี้เขายังเคยจินตนาการว่าจะได้จับมือหวังเจียเหยามาดูคอนเสิร์ตด้วยกัน!

ฉินหงเหยียนเห็นหวังเจียเหยาถึงได้เข้าใจว่าทำไมเย่เฉินถึงได้ชวนตนเองมาดูคอนเสิร์ต หล่อนยังคิดว่าเย่เฉินจะตามจีบตนเอง

ฉินหงเหยียนกระเซ้าอีกฝ่าย “ช่วงนี้คุณฟางตามขอแต่งงานมากี่ครั้งแล้ว? คุณนี่เสน่ห์แรงมากทีเดียว ถ้าไม่ได้ก็ยอมแพ้เถอะ ไม่ใช่ใครก็จะเป็นสามีของน้องเจียเหยาได้เนอะ”

ฟางเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้ผมต้องขอเจียเหยาแต่งงานเป็นร้อยครั้งผมก็ยินดี ฮ่าๆ ผมไม่ได้เหมือนใครบางคนที่ยังไม่เคยขอแต่งงานแม้แต่ครั้งเดียวแต่ก็หอบกระเป๋าไปอยู่กับผู้หญิงแล้ว ฮ่าๆ”

เย่เฉินเบื่อเต็มทน เขาคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายจึงเงียบๆ รอให้การแสดงเริ่มขึ้น

แล้วเทพนักร้องก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที เขาร้องเพลง ‘Wolf Legend’ [1]เพื่อปลุกเร้าผู้ชม

จากนั้นก็เริ่มร้องเพลงหลากหลายเพลงที่ทุกคนคุ้นเคยออกมา

เทพนักร้องสมแล้วที่เป็นเทพนักร้อง อายุใกล้จะหกสิบปี แต่ก็ยังร้องเพลงได้มั่นคง อีกทั้งยังทั้งเต้นทั้งร้องบนเวทีเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม!

ทุกคนต่างก็ดำดิ่งอยู่ในห้วงมนตร์เสน่ห์ของเทพนักร้อง

หวังจากงานคอนเสิร์ตจบลง เทพนักร้องก็เหงื่อไหลเต็มหน้า ลมหายใจหอบกระชั้นถือไมโครโฟนแล้วกล่าว “ผมเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ผมหาแฟนเพลงสักคนมาช่วยผมร้องเพลงดีไหม?”

ทุกคนต่างก็รู้ว่านี่เป็นช่วงขอเพลงในคอนเสิร์ต

นักร้องจำนวนมากเวลาจัดคอนเสิร์ตมักจะมีช่วงที่ให้แฟนเพลงขอเพลง ทว่าเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ แฟนเพลงพวกนี้มักจะเป็นคนที่ถูกนัดแนะเอาไว้ก่อน

ส่วนจะจัดแจงนัดแนะกับใครนั้นย่อมต้องเป็นคนที่เงินเยอะ คนผู้นั้นก็จะได้โอกาสนี้ไป

ฟางเชาทุ่มเงินไปมากดังนั้นเทพนักร้องจึงชี้มาที่เขา “มา เอาเป็นแฟนเพลงคนนี้แล้วกัน”

สตาฟฟ์ในงานส่งไมโครโฟนให้ฟางเชา ในวินาทีนี้เองคนนับหมื่นในงานต่างก็จดจ้องมาที่เขา

ฟางเชากล่าวว่า “ผมอยากจะขอเพลง ‘Qing Shu[2]’ ให้กับแฟนของผมหวังเจียเหยา อีกอย่างผมอยากจะใช้โอกาสนี้ขอแฟนผมแต่งงาน เจียเหยาคุณยินดีจะแต่งงานกับผมไหมครับ?”

ฟางเชาคุกเข่าลงเพื่อขอหวังเจียเหยาแต่งงานอีกครั้ง! เขาหยิบแหวนคาร์เธียร์ออกมาจากกระเป๋าเห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่แหวนจากครั้งก่อน

แฟนคลับในงานมองภาพเหตุการณ์นี้อย่างมีความสุขแล้วพากันส่งเสียงเชียร์

ความบ้าคลั่งของคนกลุ่มนี้ยกเว้นเย่เฉินเพียงคนเดียว!

ฉินหงเหยียนกล่าวกับเย่เฉิน “เย่เฉินถ้าหากคุณชอบหวังเจียเหยาจริงๆ นี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของคุณแล้วนะคะ”

ฉินหงเหยียนเองก็รู้ว่าครั้งนี้หวังเจียเหยาจะตอบตกลง

จากความเข้าใจที่หล่อนมีต่อบิดาฟางเชา คนตระกูลฟางไม่มีทางยอมให้ลูกสะใภ้ของตนเองปฏิเสธการขอแต่งงานเกินสิบครั้งแน่

เย่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือสองข้างของเขาสั่นระริก วินาทีนี้เขาลังเลขึ้นมาแล้วจริง ๆ!

หรือควรจะต้องพุ่งพรวดออกไปห้ามเรื่องทั้งหมดนี้แล้วบอกสถานะที่แท้จริงของตนเองกับหวังเจียเหยาดี?

เรื่องในอดีตที่ผ่านมาพวกนั้นถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ล้างแค้น แผนการอะไร ช่างมันเถอะ!

เขารู้แค่ว่าวินาทีนี้เขายังรักหวังเจียเหยาอยู่!

ทว่าเขายังดิ้นรนไม่เสร็จ เสียงกังวานใสของหวังเจียเหยาดังสะท้อนก้องไปทั่วสนามกีฬา

“ตกลงค่ะ”

สามคำนี้เป็นเสมือนคำตัดสินโทษของเย่เฉิน

ฟางเชารีบสวมแหวนลงบนนิ้วนางของหวังเจียเหยาอย่างตื่นเต้น

ใจเขาราวถูกกรีดเมื่อเห็นแหวนบนนิ้วนางของหญิงสาว!

หญิงสาวที่เขารักมาตลอดสามปีแต่งงานกับคนอื่น!

เย่เฉินคิดว่าตนเองใจกว้าง ในวินาทีนั้นที่หวังเจียเหยานอกใจเขาก็เหมือนเลือกแล้วว่าจะหย่ากับเขา

เขาคิดว่าตนเองจะไม่คิดถึงหล่อน ไม่สนใจว่าหล่อนจะคบหากับใคร

แต่เย่เฉินประเมินตัวเองสูงไป

รักคนผู้หนึ่งจะให้ปล่อยวางง่ายๆ ได้อย่างไร?

หลังจากฟางเชาขอแต่งงานสำเร็จแล้ว คิดไม่ถึงว่าเทพนักร้องจะหันมองเย่เฉินแล้วกล่าว “แฟนเพลงคนนี้คุณอยากจะขอเพลงอะไรหน่อยไหมครับ พวกเราจะได้ร้องด้วยกัน”

ฟางเขานิ่งไปหรือว่าเย่เฉินเองก็ทุ่มเงินไปเหมือนกัน?

ในความจริงแล้วเย่เฉินเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เลือกเขา เขาไม่ได้มีรายชื่อขอเพลงเสียหน่อย

นั่นเป็นเพราะฝ่ายจัดงานคอนเสิร์ตได้ยินมาว่าเย่เฉินจะมาที่งาน ถึงได้กำชับกับเทพนักร้องว่าช่วงนี้เย่เฉินเป็นเจ้าของธุรกิจที่เก่งกาจที่สุดในอวิ๋นโจวจึงบอกให้อีกฝ่ายเปิดโอกาสเขาได้ขอเพลง

เย่เฉินรับไมโครโฟนมาจากอีกฝ่าย เขาในตอนนี้ก็ต้องการจะใช้เสียงเพลงช่วยระบายอารมณ์อย่างมาก

มีบางคำพูดที่เขาพูดไม่ออกแต่ร้องเพลงได้

เย่เฉินกล่าวว่า “ผมเล่นดนตรีเองร้องเพลงเองได้ไหมครับ?”

[1] 饿狼传说 (È láng chuán shuō) ขับร้องโดยจางเสวียโหยว เพลงนี้ออกมาในปี วันที่ 20 เดือนพฤษภาคม ปี 1994

[2] 情书 (qíng shū)