ทว่า เผยเยี่ยนยังรู้สึกว่าคุณหนูสกุลอวี้ผู้นี้ฉลาดเฉลียว มีไหวพริบไม่เลว เขาเพิ่งจะเกริ่นนำไป นางก็เชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ได้ทันที คิดอุบายออกมาได้ไม่น้อย

คัดลอกแผนที่นี้ออกมาหลายๆ ผืน คงมีแต่นางที่คิดออกมาได้…

เผยเยี่ยนลูบปลายคางไปมา พลันรู้สึกว่าความคิดนี้ก็ไม่เลว

การค้าขายจริงอยู่ที่ว่าห้ามกินอิ่มคนเดียว แต่คนที่มีความคิดเช่นนี้มันยากประสบความสำเร็จเป็นพ่อค้าใหญ่ แผนที่ผืนนี้สูงค่าเพียงใด แม้เขาจะอธิบายให้สองพ่อลูกสกุลอวี้ฟังไปรอบหนึ่งแล้ว แต่สองพ่อลูกอาจจะไม่ได้สัมผัสถึงมันจริงๆ คงมีเพียงสกุลใหญ่โตที่ทำการค้าทางทะเลเท่านั้นที่จะเข้าใจได้

เผยเยี่ยนหยุดคิด ส่วนเรื่องว่าจะเชิญใครมาร่วมประมูลแผนที่นั้น เขาได้ร่างรายชื่อไว้ในใจแล้ว ถามกับอวี้เหวินและอวี้ถังว่า “พวกเจ้ามีแผนอย่างไร? แผนที่นี้คิดจะคัดลอกเก็บไว้ผืนหนึ่งหรือไม่?”

หรือว่าจะโยนออกไปทั้งหมด

หากมองจากเรื่องนี้ เขาได้เห็นอย่างชัดเจน แม้สกุลอวี้จะเป็นคนเปิดเผย แต่กลับขี้กลัว ไม่ชอบออกไปเสี่ยงอันตราย

อวี้เหวินกับอวี้ถังส่งเสียงพร้อมกันอีกครั้ง อวี้เหวินตอบว่า “ไม่เก็บแน่นอน” แต่คำตอบของอวี้ถังคือ “ต้องเก็บแน่นอน”

สองพ่อลูกมีความคิดต่างกันเป็นครั้งแรก อดจะหันมามองหน้ากันไม่ได้

เผยเยี่ยนเองก็รู้สึกประหลาดใจ

ปฏิกิริยาของอวี้เหวินอยู่ในความคาดหมายของเขา แต่ฝั่งอวี้ถังกลับเหนือความคาดเดาของเขาไป

เขาถามอวี้ถังว่า “ความหมายของเจ้าคือ?”

อวี้ถังรู้ดีว่าการโยนหม้อร้อนออกไปให้พ้นๆ คือวิธีที่ดีที่สุด แต่ว่าหลายวันนี้นางอดทนมามากเกินพอแล้ว ไม่ใช่สิ สมควรพูดว่าตั้งแต่ชาติก่อนนั้นนางก็อดทนมามากพอแล้ว

สกุลหลี่มีบัณฑิตในจวนแค่ไม่กี่คน ก็สามารถควบคุมชะตาชีวิตของพวกนางสกุลอวี้ได้แล้ว

บ้านแตกสาแหรกขาด นั่นคือเรื่องจริงที่นางต้องเผชิญ

เรื่องครั้งนี้สำหรับอวี้ถังแล้ว นับว่าเป็นวิกฤต ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาส

หากมีแผนที่ผืนนี้ สกุลนางย่อมมีโอกาสเข้าใกล้สกุลใหญ่ๆ ในราชวงศ์ปัจจุบัน

หากว่าจัดการให้ดี อาจถึงขั้นได้แบ่งเนื้อจากพวกเขามากินเลยก็ได้

แต่นางก็รู้ดี สกุลอวี้มีคุณสมบัติไม่มากพอ

นางไม่อยากถูกสกุลใหญ่ๆ กลืนกิน ทางที่ดีควรจะหาพันธมิตรเอาไว้

แม้เมื่อครู่อวี้ถังจะห้ามบิดาไม่ให้โยนหม้อใส่มือเผยเยี่ยน ทว่าในใจนางกลับเห็นด้วยกับบิดาเป็นที่สุด

เรื่องนี้ สกุลของนางต้องผูกติดกับสกุลเผยเอาไว้ เช่นนี้จึงจะสามารถถอนตัวออกมาได้ และสามารถพลิกสถานการณ์คืนกลับมา แม้สุดท้ายจะได้แค่อำนาจในการพูดจาไม่กี่คำ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่สกุลอวี้ที่ใครๆ คิดจะมาข่มเหงรังแกได้อีก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญในเวลานี้คืออวี้ถังต้องเกลี้ยกล่อมเผยเยี่ยนให้ได้

ไม่เพียงโน้มน้าวให้เขาช่วยสกุลอวี้ ยังต้องโน้มน้าวให้เขาพาสกุลอวี้มั่งคั่งร่ำรวยตามไปด้วย

มีเพียงขึ้นเรือลำนี้ของสกุลเผยเท่านั้น สกุลนางถึงจะพัฒนาและเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งได้ ลูกหลานของนางจะได้เล่าเรียนวิชาเข้ารับราชการ สกุลนางจะได้มีขุนนางสืบต่อไปทุกๆ รุ่น

ไม่รู้ว่าสกุลเผยตอนแรกอาศัยสิ่งใดก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา?

อวี้ถังแม้จะคิดไปไกล แต่ก็เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ความจริงแล้ว เผยเยี่ยนมองนางครุ่นคิดจริงจังอยู่พักหนึ่ง นางจึงพูดกับเขาว่า “วันนี้เป็นสกุลหลี่ พรุ่งนี้ก็อาจจะเป็นสกุลหวัง สกุลเฉิน ข้าไม่อยากให้สกุลอวี้เป็นเหมือนเช่นวันนี้ไปตลอด เจอปัญหาใดก็ไร้กำลังจะแบกรับ นายท่านสาม ข้ารู้ว่าท่านผ่านเรื่องต่างๆ มามาก ข้ามีความคิดอยู่หนึ่งอย่าง อยากฟังความเห็นของท่านก่อน”

หมายความว่านางอยากจะคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อให้สกุลตนตั้งตัวได้!

เผยเยี่ยนแต่ไรก็ชื่นชมคนไม่ยอมแพ้และกระตือรือร้นในความก้าวหน้าเป็นพิเศษ คำพูดของอวี้ถังไม่ทำให้เขารู้สึกต่อต้าน ทั้งรู้สึกว่าหญิงผู้นี้ช่างทรหดนัก ไม่ว่าจะเจอปัญหาใด ขอเพียงมีความหวังแม้เพียงเส้นบางๆ นางก็จะคว้ามันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ข้อด้อยของนางเพียงหนึ่งเดียวก็คือนางยังเด็กมากเหลือเกิน ทั้งถูกจำกัดให้อยู่แต่ในห้องหอ ไม่ได้มีความรู้มากมายนัก

หากว่าเขาสั่งสอนนางให้ดี แล้วค่อยปล่อยให้นางไปเล่นงานสกุลหลี่…แค่คิดเผยเยี่ยนก็รู้สึกน่าสนุกแล้ว

“ว่ามา!” น้ำเสียงเขาเป็นมิตร ในดวงตามีประกายตามใจนางโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้

อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก

ตอนนี้นางค่อยๆ รับรู้ถึงอารมณ์ของเผยเยี่ยนได้อย่างรางๆ จากกิริยาเล็กน้อยและน้ำเสียงของเขา

เผยเยี่ยนในตอนนี้กำลังอารมณ์ดีมาก

ถึงแม้อวี้ถังจะไม่รู้ว่ามีสิ่งใดให้น่าดีใจก็ตาม…

อวี้ถังรีบพูดว่า “ข้ารู้สกุลเผยไม่สนใจของพวกนี้ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเราก็เป็นคนหลินอันเหมือนกัน เมื่อก่อนได้รับการดูแลจากท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างดี มาตอนนี้ก็ติดหนี้บุญคุณท่านมากมาย พูดเช่นนี้อาจจะไม่น่าฟังเท่าไร แต่มันก็ออกมาจากใจข้า ข้าต้องการแบ่งปันแผนที่ผืนนี้กับสกุลเผย อยากให้สกุลเผยพาเราไปสู่ความมั่งคั่ง ทำให้สกุลเรามีเงินทองส่งลูกหลานเล่าเรียน มีฐานะที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป”

จะบอกว่าสกุลเผยไม่หวั่นไหวกับแผนที่ผืนนั้นเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เขาคิดว่าแม้การค้าทางทะเลจะได้กำไรงาม แต่ความเสี่ยงก็สูง สิ่งที่สำคัญคือความยุ่งยาก จำต้องใช้เส้นสายมาก สิ่งที่ต้องทำก็จุกจิก เขาไม่อยากใช้เวลาที่มีอย่างจำกัด ไปสิ้นเปลืองกับเรื่องนี้

เขาพูดขึ้นมาโดยไม่หยุดคิดว่า “สกุลข้ามือเท้าไม่เพียงพอ ไม่อาจจับกิจการทางนี้ได้ หากว่าเจ้าสนใจ ข้าสามารถแนะนำผู้ร่วมหุ้นให้เจ้าได้”

นี่คือการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแล้ว

อวี้ถังประหลาดใจมาก รู้สึกว่าเผยเยี่ยนมิใช่คนเช่นนี้ แต่มองสีหน้าของเขาแล้ว กลับดูจริงจังเต็มเปี่ยม เห็นชัดว่าไม่อยากจับกิจการจำพวกนี้จริงๆ

เพราะไม่รู้ว่ากิจการนี้ทำกำไรได้มากมายมหาศาลเพียงใดรึ?

นางพูดต่อว่า “นายท่านสาม สกุลข้าเชื่อใจแค่ท่าน ท่านลองไปสืบความเรื่องการค้าทางทะเลดูแล้วค่อยตัดสินใจใหม่ดีหรือไม่?”

เผยเยี่ยนหัวเราะ “ข้ามีศิษย์พี่เป็นคนกว่างโจว สกุลเขาก็ทำกิจการนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะมองออกในทันทีได้เช่นไรว่านี่เป็นแผนที่ทางทะเลซึ่งต้องเดินทางออกจากกว่างโจว?”

อวี้ถังพลันหน้าแดง ยังคิดจะเกลี้ยกล่อยเผยเยี่ยนต่อ แต่เขากลับพูดขึ้นว่า “สกุลเจ้าก็รู้ตัวว่าสิ่งใดกระทำได้ สิ่งใดไม่สมควรกระทำ สกุลเผยของข้าก็มีคำสั่งสอนของบรรพบุรุษอยู่ คุณหนูอวี้ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว หากว่าเจ้าตกลง ข้าจะออกหน้าแนะนำผู้ร่วมหุ้นให้ ตอนที่ประมูลขายข้าจะเรียกคนมาด้วย ก่อนประมูลพวกเจ้าก็ลองเจอหน้ากันสักครั้งหนึ่ง”

สกุลเผยแต่ก่อนก็เคยเดือดร้อนมามากเพราะว่าโดดเด่นเกินไป

คำสั่งสอนของบรรพบุรุษในสกุลคือมั่งคั่งอย่างถ่อมตน

น้ำขุ่นคลั่กเช่นนี้ เขาไม่อยากไปยุ่งด้วยหรอก!

อวี้ถังไม่ยอมตัดใจ อวี้เหวินกลับรู้สึกว่าเผยเยี่ยนได้ช่วยพวกเขาจนถึงที่สุดแล้ว จึงไม่อยากรบกวนสกุลเผยอีก เขาหันไปโบกมือให้อวี้ถัง บอกเป็นนัยให้นางหยุดพูด จากนั้นก็เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า “เช่นนั้นเงินที่ได้จากการประมูล ให้ท่านเจ็ดส่วน พวกเราสามส่วน”

เผยเยี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าถึงเวลานั้นจะประมูลได้เงินประมาณเท่าไร?”

นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้ถังได้เห็นเผยเยี่ยนหัวเราะเสียงดัง

ไม่เหมือนกับการยกยิ้มมุมปาก ตอนที่เขาหัวเราะสีหน้าอารมณ์ดูผ่อนคลายสบายใจ ไม่ได้แสดงถึงความเหยาะแหยะเหลวไหล ตรงกันข้ามกลับให้ความรู้สึกหนักแน่นสุขุมและพึ่งพาได้ แตกต่างกับการยกยิ้มมุมปากที่สว่างไสวจนทิ่มตาอย่างสิ้นเชิง

เหตุใดจึงมีคนเช่นนี้ได้?

อวี้ถังกะพริบตาปริบๆ

หรือว่านี่เป็นอีกด้านที่ไม่เคยมีใครเห็นของเขา?

อวี้เหวินทางนั้นก็กล่าวอย่างจริงใจว่า “นายท่านสาม ข้าแม้ไม่ค่อยรู้เรื่องงานจัดการ แต่ถ้าไม่มีท่าน สกุลใหญ่เหล่านั้นคงไม่มีทางเข้าร่วมการประมูลอย่างใสสะอาดแน่ แผนที่ถูกชิงไปเป็นเรื่องเล็ก ชีวิตของคนในครอบครัวรักษาไว้ได้นับว่าโชคดีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเงินทองจะน้อยหรือมาก เรื่องนี้ ล้วนต้องพึ่งพาโชควาสนาของท่านแล้ว หากว่าท่านไม่ตกลง แผนที่ผืนนี้เราก็ไม่ประมูลแล้ว และขอยกมันให้ท่าน ท่านจะเผาก็ดี โยนทิ้งก็ช่าง หรือจะมอบให้ผู้อื่นก็ได้ ล้วนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเราอีก สกุลเราจะถือว่าไม่ได้ครอบครองภาพแผนที่แผ่นนี้อีกต่อไป”

เผยเยี่ยนเริ่มไม่ชอบใจ

อวี้ถังรีบเข้ามาคลี่คลายทันที “นายท่านสาม บิดาข้าพูดจาไม่น่าฟัง ท่านอย่าได้โมโห พวกเรารู้ดีว่าท่านทำเรื่องเหล่านี้เพราะต้องการปกป้องพวกเรา ที่ท่านพ่อข้าพูดไปแบบนั้น ก็เพราะอยากจะตอบแทนท่านคืนบ้าง อย่างอื่นยังไม่พูดถึง แค่ท่านส่งหมอหลวงหยางมาตรวจอาการให้ท่านแม่ข้าทุกเดือน พวกเราก็แทบจะตั้งแผ่นป้ายสรรเสริญท่านไว้บูชากราบไหว้แล้ว”

แผ่นป้ายสรรเสริญ? เรื่องเหลวไหลอะไรอีก?

เผยเยี่ยนตัดบทนางว่า “เรื่องนั้นก็แค่ลำบากเพียงยกฝ่ามือ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

อวี้ถังมองออกว่าเขาพูดจากใจจริง ไม่รู้เป็นเพราะเขาโง่งมเกินไปหรือถูกผู้คนยกย่องสรรเสริญจนเคยชินกันแน่ นางจึงได้แต่แก้คำพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะทำตามที่ท่านบอกทั้งหมด”

สีหน้าของเผยเยี่ยนคล้ายมีหมอกปกคลุม เขาส่งน้ำชาให้แขกแล้วกล่าวว่า “ถ้าทางนี้มีความคืบหน้า ข้าจะให้เผยหม่านไปแจ้งข่าวพวกเจ้า”

อวี้ถังเห็นดังนั้น ก็ลากบิดาให้ลุกขึ้นขอตัวกลับทันที

อวี้เหวินเอาแต่ตำหนินางว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดกับนายท่านสามเช่นนั้นได้อย่างไร? ถ้าเขาบอกไม่รับพวกเราก็จะไม่ให้จริงๆ รึ? ต่อไปใครจะกล้ามาช่วยสกุลเราเล่า?”

อวี้ถังอธิบายว่า “เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้ว นายท่านสามไม่ต้องการประโยชน์อะไรจากสกุลเราเลย อีกอย่าง นายท่านสามยินดีจะช่วยเหลือพวกเรา หากว่ารับประโยชน์จากเราไป เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว? ท่านต้องการตำแหน่งฐานะ แล้วนายท่านสามไม่ต้องการหรืออย่างไร? ข้าคิดว่าถ้าท่านจะดันทุรังจนทำให้นายท่านสามไม่พอใจ มิสู้หาวิธีว่าจะตอบแทนเขาอย่างไรจะดีกว่า”

“แต่นายท่านสามไม่ขาดแคลนอะไรนี่?” อวี้เหวินกล่าวอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะพวกเราหาโอกาสตอบแทนเขาไม่ได้มิใช่หรือ?”

อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งดี ต่อไปพวกเราก็จะได้มีข้ออ้างมาส่งของขวัญปีใหม่ให้เขาทุกปี เรื่องเท่านี้เขาคงไว้หน้าเราบ้างกระมัง อีกอย่าง ต่อให้เขาไม่รับ แล้วนายหญิงสามในอนาคตจะไม่ยอมรับเลยหรือ? นายหญิงสามไม่รับ ก็มิใช่ยังมีลูกหลานของเขาอีก? ไม่แน่อาจเพราะเหตุผลนี้ พวกเราก็สามารถไปมาหาสู่กับสกุลเผยได้แล้ว เรื่องเลวร้ายกลายเป็นเรื่องน่ายินดี!”

เมื่อไปขอร้องผู้อื่น ก็ต้องทำหน้าให้หนาเอาไว้

“ก็คงทำได้เท่านั้นแหละ!” อวี้เหวินถอนหายใจ

สองคนกลับมาถึงเรือน พบว่าในลานบ้านมีอวี้หย่วนรออยู่ก่อนแล้ว

“ท่านอา อาอวี้” เขาก้าวไปประคองอวี้เหวินเข้าเรือน “ข้าเก็บกวาดเรื่องที่ร้านเรียบร้อยแล้วจึงมาที่นี่ ท่านกับอาอวี้เหตุใดจู่ๆ ไปที่จวนสกุลเผยอีก? เกิดเรื่องอะไรหรือไม่ขอรับ?”

อวี้เหวินกับอวี้หย่วนย้ายไปคุยกันที่ห้องหนังสือ

อวี้หย่วนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็แตกตื่นจนคางแทบไหลลงมา เขาใช้สายตาตื่นตะลึงมองไปที่อวี้ถัง เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เหตุใดเจ้าใจกล้าเช่นนี้? หากว่านายท่านสามไม่ยอมช่วยเหลือหรืออยากครอบครองแผนที่ผืนนั้นขึ้นมาเองเล่า?”

คนผู้นั้นออกจะสูงส่งมีคุณธรรม จะคิดทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?

แต่นางไม่อยากบอกอะไรกับญาติผู้พี่มากนัก เพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แต่เรื่องก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว ข้านับว่ามีโชคอยู่บ้าง นายท่านสามไม่เพียงจะช่วยเรา แต่เขายังสูงส่งใจสะอาด กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม เป็นคนที่ฝากฝังชีวิตเอาไว้ได้”

อวี้เหวินกับอวี้หย่วนต่างผงกศีรษะเห็นด้วย

อวี้หย่วนถึงกับถอนหายใจเฮือก “อาอวี้ช่างเป็นคนมีโชคโดยแท้”

อวี้เหวินไตร่ตรองดูแล้วรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริง จึงเอ่ยสนับสนุนอีกแรง “น้องสาวของเจ้านับว่ามีโชค ไม่เลวจริงๆ”

อวี้ถังยิ้มแห้งๆ

โชคของนาง ล้วนต้องแลกกับชีวิตที่เคยมีเมื่อชาติก่อน แลกกับความไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาในชาตินี้

ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ชะตาของนางนับว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ

นางยิ่งไม่ควรใช้โชคชะตาดีๆ เช่นนี้อย่างสิ้นเปลือง ไม่เพียงต้องเปลี่ยนแปลงชะตาของตน ทั้งยังต้องเปลี่ยนชะตาของคนในสกุลด้วยถึงจะถูก

—————————