บทที่ 84 วิ่งวุ่น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

นับแต่ได้ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ มาอยู่ในมือสกุลอวี้ก็นับเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว ระหว่างนั้นก็เกิดเรื่องราวขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ทุกคนในสกุลอวี้ตกอยู่ในความกระวนกระวาย แต่ในที่สุดตอนนี้ก็โยนหม้อทิ้งไปได้แล้ว ทั้งอวี้เหวินและอวี้หย่วนต่างก็รู้สึกเบาสบาย คิดว่าคืนวันอันแสนสงบสุขจะกลับคืนมาสู่ชีวิตของพวกเขาเสียที

“เรื่องแผนที่ พวกเราก็ทำตามที่นายท่านสามบอกก็พอ” อวี้เหวินบอกกับอวี้หย่วนอย่างอารมณ์ดี “บ้านเราควรเตรียมตัวสำหรับงานปีใหม่ได้แล้ว”

อวี้หย่วนพลันหน้าแดงๆ

เขากับแม่นางเซียงมอบของหมั้นให้กันแล้ว ตอนช่วงปีใหม่ยังต้องส่งของขวัญไปให้สกุลเซียงเพื่อหารือวันแต่งงานด้วย อีกอย่างร้านค้าที่ถนนฉางซิ่งก็จะเริ่มกลับมาเปิดกิจการแล้ว

อวี้เหวินกำชับเขาว่า “สถานการณ์ของแม่นางเซียงนั้นค่อนข้างพิเศษ อีกเดี๋ยวข้าจะให้อาสะใภ้เจ้าไปลองถามสกุลเว่ยดู ว่าแม่นางเซียงจะอยู่ร่วมงานปีใหม่ที่สกุลเว่ยหรือกลับไปที่สกุลเซียง หากว่าแม่นางเซียงรั้งอยู่ที่สกุลเว่ย เกรงว่าปีใหม่นี้เจ้าคงต้องส่งของขวัญที่เหมือนกันสองชิ้นแล้ว”

ทางนี้มีบุญคุณด้วยเลี้ยงดู ทางนั้นมีบุญคุณด้วยให้กำเนิด สองบ้านล้วนไม่อาจละเลยได้

อวี้หย่วนพยักหน้ารับติดๆ กัน

อวี้เหวินให้คนสกุลเฉินไปเยี่ยมสกุลเว่ย

คนสกุลเฉินแต่ไรก็ไม่ค่อยคบค้ากับใคร เรื่องในเรือนส่วนมากก็เป็นอวี้เหวินตัดสินใจ แม้คิดว่านายหญิงเว่ยเป็นคนดีเข้ากับนางได้ แต่นางกลับไม่มั่นใจนัก เห็นว่าช่วงนี้อวี้ถังจัดการเรื่องๆ ต่างได้เรียบร้อย กระทั่งอวี้เหวินก็เริ่มฟังความเห็นของนาง ในใจจึงค่อยๆ เริ่มพึ่งพาบุตรสาวของตัวเองมากขึ้น เมื่ออวี้เหวินพูดเช่นนั้น นางจึงคิดลากอวี้ถังไปด้วย “เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าแล้วกัน จะได้ไปทักทายท่านน้าเว่ยด้วย”

หลังกลับมาจากสกุลเผย อวี้ถังก็ยุ่งแต่กับเรื่องแผนที่ ไม่ได้เจอคนของสกุลเว่ยมาช่วงหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าถึงเวลาสมควรที่ตนต้องไปกล่าวทักทายนายหญิงเว่ย จึงตกปากรับคำด้วยความยินดี

คนสกุลเฉินเห็นดังนั้น ก็ลากนางไปที่ร้านเครื่องเงินสกุลเผย ให้อวี้ถังสั่งทำเครื่องประดับเงินและทองที่เด็กสาวชอบใส่กันหลายชิ้น ทั้งบอกว่า “ประมาณวันที่สิบห้าช่วงเดือนแรกของปีก็คงกำหนดวันแต่งงานให้พี่ชายเจ้ากับแม่นางเซียงได้แล้ว ช่วงปีใหม่ที่เรือนคงมีแขกมามากมาย ถึงตอนนั้นเจ้าต้องแต่งตัวให้งดงามหน่อยจึงจะถูก”

ถึงเวลาที่จะให้นายหญิงสกุลต่างๆ ได้รู้จักกับอวี้ถังแล้ว และเป็นโอกาสดีที่จะให้นายหญิงทุกท่านช่วยเรื่องคู่หมายของอวี้ถังด้วย

อวี้ถังกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ หลายวันมานี้นางเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเผยเยี่ยน

คนผู้นั้นทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับล้วนพิถีพิถันเป็นที่สุด แต่กลับวางท่าเหมือนเป็นคนเรียบง่าย นี่เป็นวิญญูชนจอมปลอมชัดๆ เขายังชมชอบให้สตรีแต่งตัวให้สวยงามพริ้มเพรา ดูไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของเขาเลยสักนิด

ในใจของคนผู้นั้นต้องมีลูกเล่นซุกซ่อนไว้มากมายแน่

ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว เรื่องงานประมูลยังไม่มีข่าวคราว ภายหลังจะได้ร่วมมือกับสกุลใดยังต้องให้เขาช่วยตัดสินใจและแนะนำผู้ร่วมหุ้นให้ สกุลอวี้อย่างไรก็ต้องส่งขวัญที่ถูกใจไปให้เขาสักชิ้น

หากว่าที่เมืองหลินอันหาซื้อไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องให้ญาติผู้พี่ไปที่เมืองหังโจวสักเที่ยว

ไหนจะฝั่งสกุลกู้อีก

กู้ซีสนิทสนมกับกู้ฉ่างพี่ชายแท้ๆ บ้านของหลี่ตวนทะเลาะกับบ้านสายหลักคิดจะแยกสกุล นางต้องลองไปสืบดูว่าสกุลกู้มีท่าทีเช่นไรกับเรื่องนี้

อีกอย่างคือเหตุใดบ้านสายตรงสกุลหลี่ถึงต้องการแยกสกุลกับบ้านของหลี่ตวนนั้น นางก็ต้องไปสืบหาให้ชัดเจน ไม่แน่ต่อไปอาจจะได้ใช้ประโยชน์…

อวี้ถังนึกแล้วก็รู้สึกว่ามีเรื่องมากมายให้ทำเป็นพะเนิน

แต่บัดนี้ไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายให้กังวล ไม่เหมือนแต่ก่อนที่มีเรื่องให้ต้องร้อนใจไม่หยุดหย่อน คิดว่าอย่างไรก็ต้องมีความหวัง นางไม่รู้สึกยุ่งยากเลยสักนิด รอกระทั่งสั่งทำเครื่องประดับเรียบร้อยแล้ว ก็ชวนมารดาไปดูที่ร้านขายวัตถุโบราณ “ต้องเลือกของสักชิ้นมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้นายท่านสามเจ้าค่ะ”

คนสกุลเฉินคลำกระเป๋าเงินไปมา “เจ้าค่อยมาเดินเลือกกับบิดาเจ้าดีหรือไม่?”

อวี้ถังหัวเราะ “นายท่านสามมีสิ่งใดขาดแคลนบ้าง? มอบของขวัญปีใหม่ให้เขา ต้องใช้ความคิดไปเสาะหา ของที่ใช้เงินซื้อมาง่ายๆ ไม่แน่เขาอาจจะไม่ต้องการ เป็นถึงผู้นำสกุลเผยของสูงค่าย่อมเรื่องรอง ที่สำคัญคือต้องน่าสนใจเจ้าค่ะ”

คนสกุลเฉินคิดตามแล้วก็เห็นด้วย “เช่นนั้นเจ้าก็ลองปรึกษาพี่ชายเจ้าดู ตอนที่เขาอยู่นอกเมือง อาจได้เจอสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง”

อวี้ถังพยักหน้ายิ้มแฉ่ง แล้วพาคนสกุลเฉินเดินเข้าร้านขายวัตถุโบราณที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

คนสกุลเฉินเห็นถ้วยล้างพู่กันรูปสระบัว ก็นึกถึงเครื่องประดับที่สั่งทำไปเมื่อครู่ “แต่ก่อนเจ้าชื่นชอบของที่เรียบง่ายกะทัดรัดไม่ใช่หรือ? เดี๋ยวนี้ทำไมเลือกแต่ลายบุปผาเล่า?”

อวี้ถังหัวเราะเอ่ยว่า “ไม่สวยหรือเจ้าคะ?”

“สวยก็สวยอยู่” คนสกุลเฉินมองไปทางบุตรสาว ตอบอย่างจริงจังว่า “แก้วตาของข้างดงามเพียงนี้ จะปักบุปผาแบบใดก็น่ารักทั้งนั้น แต่เมื่อก่อนเจ้าดื้อซน มักบอกว่ารำคาญ หรือเพราะตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว?”

หาได้เป็นแบบที่มารดาคิดไม่

นางกลัวว่ารอบหน้าเผยเยี่ยนจะให้นางแต่งกาย ‘ถูกต้องเรียบร้อย’ อีกน่ะสิ

ทว่านางไม่อาจบอกมารดาไปเช่นนั้นได้ จึงหัวเราะแล้วชี้ไปที่แจกันหรู่เหยา[1]แล้วบอกว่า “ท่านแม่ ดูสิเจ้าคะ! สวยหรือไม่?”

คนสกุลเฉินบอกว่า “แน่นอนว่าสวยอยู่แล้ว แต่แจกันใบนี้?”

ต่อให้พวกเขาไม่เอาเงินไปจัดงานแต่งให้อวี้หย่วนก็ซื้อไม่ไหวอยู่ดี

อวี้ถึงเม้มปากหัวเราะ “แค่ให้ท่านดูเท่านั้นเจ้าค่ะ”

สักวันหนึ่ง นางคิดอยากซื้ออะไรก็จะซื้อตามใจชอบให้ได้เลย

คนสกุลเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่

อวี้ถังเห็นว่าข้างๆ มีห่วงเคาะประตูสำริดรูปสัตว์ แต่มองไม่ออกว่าเป็นสัตว์ประเภทใด แต่คล้ายสัตว์ประหลาดโบราณที่บ้าคลั่ง ให้ความรู้สึกสูงค่าไม่น้อย

นางหันไปยิ้มให้เด็กในร้านที่เดินตามมา “ในร้านขายของเช่นนี้ด้วยหรือ?”

เด็กในร้านรู้จักสินค้าในร้านตนราวกับเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “คุณหนูอาจจะไม่รู้ ห่วงเคาะประตูชิ้นนี้ประณีตมาก ท่านดูออกหรือไม่ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด? นั่นคือผีซิว[2]ขอรับ ท่านคงคาดไม่ถึงใช่หรือไม่? นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ประหลาดที่สุด ยังมีสิ่งน่าแปลกใจกว่านี้อีกขอรับ” พูดจบ เด็กในร้านก็หยิบมือจับประตูขึ้นมา แล้วดึงห่วงวงกลมที่อยู่ในปาก จากนั้นปากของสัตว์ประหลาดก็เปิดออกแล้วคายสัตว์ประหลาดตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนกับมันออกมา

อวี้ถังกับคนสกุลเฉินต่างรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

เด็กในร้านเห็นดังนั้น ก็ดึงห่วงวงกลมที่อยู่ในปากสัตว์ประหลาดตัวน้อยอีกทีหนึ่ง

สัตว์ประหลาดตัวน้อยจึงคายสัตว์ประหลาดที่ตัวเล็กยิ่งกว่าออกมา

“น่าสนใจ น่าสนใจ!” อวี้ถังร้อง รอจนเด็กในร้านดันสัตว์ประหลาดตัวน้อยเข้าที่เดิมแล้ว นางถึงได้ดึงเล่นอีกรอบหนึ่ง

เด็กในร้านเห็นว่านางถูกใจ ก็รีบเล่าความเป็นมาของห่วงเคาะประตูทันที “นี่เป็นห่วงเคาะประตูห้องลับขององค์หญิงใหญ่ในจิ้นหยางราชวงศ์ก่อนขอรับ ในบัญชีของเถ้าแก่ เดิมลงไว้ว่ามีหนึ่งคู่ แต่ตอนนี้อีกชิ้นหายไปแล้ว…”

สิ่งของประเภทที่ไม่สามารถตรวจสอบลำดับความเป็นมาได้ มากกว่าครึ่งมีแต่คำโอ้อวดทั้งสิ้น

อวี้ถังตอบว่า “ไม่อย่างนั้น ข้าถือไปให้เถ้าแก่ถงช่วยดูสักหน่อย”

เด็กในร้านหุบปากฉับทันที

อวี้ถังถามเขาว่า “ห่วงเคาะประตูนี้ราคาเท่าไร”

เด็กในร้านลังเลเล็กน้อยแล้วตอบว่า “สิบตำลึงขอรับ”

อวี้ถังเริ่มต่อราคากับเขา “เจ้าลองไปถามเถ้าแก่ดู สองตำลึงขายหรือไม่?”

เด็กในร้านข่มใจจนหน้าแดงเถือกแล้วไปตามเถ้าแก่ร้านมา สุดท้ายตกลงราคาขายที่สองตำลึง

คนสกุลเฉินไม่ได้ออกเสียงมาโดยตลอด รอกระทั่งเดินออกจากร้านขายวัตถุโบราณจึงกระซิบถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดจะมอบสิ่งนี้ให้นายท่านสามหรือ?”

“เจ้าค่ะ!” อวี้ถังหัวเราะ “ถือว่าโยนหินถามทาง ถ้าเขารับไว้ ต่อไปข้าก็รู้แล้วว่าต้องซื้ออะไรให้เขา”

คนสกุลเฉินไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธอย่างไรดี ส่วนทางอวี้เหวินคิดว่าน่าสนใจไม่น้อย ตอนอยู่เรือนก็หยิบไปเล่นอยู่นานสองนาน ถึงได้หากล่องผ้าไหมมาใส่ให้ เตรียมส่งให้กับสกุลเผยพร้อมของขวัญปีใหม่ชิ้นอื่นๆ

ส่วนทางสกุลเว่ย ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแม่นางเซียงก็จะออกเรือนแล้ว แม้ทุกๆ ปีจะอยู่ร่วมงานปีใหม่กับสกุลเว่ย แต่ปีนี้ท่านแม่เฒ่าสกุลเซียงส่งคนมารับด้วยตนเอง บอกว่าตอนแต่งงานไม่ได้อยู่ที่สกุลเซียง ก็นับว่าไม่ถูกธรรมเนียม หากว่าตอนนี้ไม่กลับมาร่วมปีใหม่ที่บ้านอีก นางก็คงมีชีวิตต่อไม่ได้แล้ว

นายหญิงเว่ยไม่กล้ารั้งแม่นางเซียงเอาไว้ จึงส่งยิ้มขื่นๆ ให้คนสกุลเฉิน “เด็กคนนี้ หากกลับไปแล้วไม่รู้จะถูกทรมานอะไรบ้าง?”

คนสกุลเฉินปลอบใจนายหญิงเว่ยว่า “อย่างมากก็แค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น อดทนหน่อย ถือว่าพระโพธิสัตว์ให้นางผ่านด่านเคราะห์ ต่อไปจะได้อยู่อย่างสงบสุขแล้ว”

นายหญิงเว่ยส่ายหน้า คล้ายไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้กับนางอีก แล้วหันไปชวนอวี้ถังคุยเรื่องงานปีใหม่แทน “หลังปีใหม่สี่วันก็มาที่นี่กับมารดาเจ้า ถึงเวลานั้นพี่สะใภ้เจ้าคงกลับมาแล้ว ข้าให้นางเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?”

แม่นางเซียงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ท่านน้า ชมดอกเหมย กินผลไม้ ปาลูกดอก มีอย่างไหนไม่น่าสนุกบ้าง เหตุใดจะเล่นแต่ไพ่นกกระจอกล่ะเจ้าคะ?”

ทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจ

อวี้ถังชอบที่แม่นางเซียงเป็นคนเปิดเผย พลันรู้สึกสนิทสนมกับนางขึ้นมาทันที

เมื่อกลับจากสกุลเว่ย นางก็เริ่มช่วยมารดาเตรียมของวันปีใหม่ อวี้ป๋อตอนนี้ก็กลับมาจากเจียงซีพอดี เขามีท่าทีเหนื่อยล้า ไม่เพียงส่งสินค้ามาหนึ่งเรือ แต่ยังพาช่างฝีมือทำเครื่องลงรักมาจากเจียงซีด้วยสองคน เมื่อหาช่างฝีมือได้แล้ว โรงงานสร้างเสร็จแล้ว สินค้าจัดวางแล้ว ร่างคร่าวๆ ไว้เสร็จสรรพว่าต้องเชิญใครมาร่วมงานวันเปิดร้านบ้าง ท่านลุงใหญ่ก็วิ่งวุ่น หัวหมุนจนไม่ได้เห็นหน้าเห็นตา เรื่องส่งของขวัญให้แม่นางเซียงกับสกุลเว่ยจึงตกเป็นหน้าที่ของคนสกุลเฉิน

อวี้ถังก็วุ่นวายตามไปด้วย

เผยเยี่ยนก็เช่นเดียวกัน

แต่เรื่องวุ่นวายของเขายังดีกว่าอวี้ถังอยู่หน่อย งานต่างๆ ในจวนล้วนเคยทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว เขาก็แค่ต้องคอยตัดสินใจเรื่องที่นอกเหนือจากงานปกติเท่านั้น บวกกับทุกคนต้องร่วมงานปีใหม่ โจวจื่อจินก็กลับไปแล้ว เขาจึงค่อยมีเวลาว่างสามารถทำสิ่งที่ตนอยากทำได้

เขาทุ่มความสนใจไปที่งานประมูลภาพแผนที่ผืนนั้น

ตอนที่พ่อลูกสกุลอวี้จากไปได้ทิ้งแผนที่ไว้กับเขา เขาคิดว่าอยากจะลองคัดลอกเองสักหนึ่งผืน ต่อมาพบความยุ่งยากไม่น้อย ไม่เหมือนกับตอนที่ตนวาดภาพออกมาเองภาพหนึ่ง เขาจึงเขียนจดหมายถึงศิษย์พี่ที่ทำการค้าทางทะเลนามว่า ‘เถาอัน’ ให้เขาส่งคนมาที่นี่เพื่อคัดลอกภาพแผนที่ ทั้งยังบอกกับเถาอันอีกว่า เป็นแผนที่เดินเรือจากกว่างโจวไปยังอาหรับ

เถาอันไม่ได้ตอบจดหมายเขา กระทั่งเทศกาลล่าปา[3]ผ่านพ้นไป พ่อบ้านใหญ่ของสกุลเถากับที่ปรึกษาทางการทหารก็พาอาจารย์สองคนที่สามารถคัดลอกภาพแผนที่ได้มาถึงหลินอัน สิ่งของที่มาพร้อมกันด้วยนั้นยังมีทองคำสองหีบใหญ่

“นายท่านข้าพูดไว้แล้ว สกุลเผยเป็นสกุลใหญ่ที่มีวิชาความรู้ นายท่านสามยังเป็นคนสูงส่ง ใจสะอาด เงินทองเหล่านี้ เป็นค่าชดเชยเล็กน้อยระหว่างที่พวกข้าพักอยู่จวนสกุลเผย ขอนายท่านสามอย่าได้ใส่ใจขอรับ” พ่อบ้านใหญ่สกุลเถาเอ่ยอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว “นายท่ายใหญ่ของข้ากลัวว่าจะทำให้งานของท่านล่าช้า ทันทีที่ได้รับจดหมายจากท่านก็สั่งให้พวกข้าเดินทางออกจากกว่างโจวตรงมาที่นี่ หากท่านต้องการสิ่งใด สามารถสั่งการมาได้เลยขอรับ”

เผยเยี่ยนส่งเสียงร้อง ‘เหอะ’ ในใจทีหนึ่ง

ศิษย์พี่ร่วมสำนักคนนี้ของเขามีฉายาว่า ‘เมิ่งฉางจวิน[4]’ ปกติก็ใจคอกว้างขวาง แต่ถ้าจะใจกว้างถึงขั้นนี้…เขากระตุกริมฝีปาก หากมิใช่เพราะช่วยเหลือสกุลอวี้ เขาคงแสร้งหูหนวกตาบอดไม่รับรู้แล้ว

“นายท่านของเจ้ายังสั่งอะไรไว้อีกหรือไม่?” เขาเอ่ยถามตรงๆ “หากว่าไม่มี พวกเจ้าก็กินข้าวกินน้ำแล้วช่วยข้าคัดแผนที่ได้เลย!”

“มีขอรับ มีขอรับ” พ่อบ้านใหญ่สกุลเถาคิดถึงถ้อยคำในจดหมายที่นายท่านเขากำชับว่าให้พูดอะไรไปตามตรง จึงรีบเอ่ยไปทันที “นายท่านข้ายังพูดเอาไว้ว่า หากท่านสะดวก หลังจากจบงานแล้วสามารถให้ข้าพาตัวอาจารย์ทั้งสองกลับไปได้หรือไม่ขอรับ?”

อาจารย์ที่คัดลอกภาพเป็น ปกติมักจะต้องเสี่ยงอันตรายมากกว่าคนอื่นๆ

ก็เหมือนกับอาจารย์ที่วางผังสุสาน มักประสบกับเรื่องที่เป็นความลับ เป็นไปได้มากว่าอาจไม่ได้กลับออกไปอีก

สกุลเถาขอตัวอาจารย์ทั้งสองคนกลับไป แน่นอนว่าไม่ใช่ต้องการคุ้มครองชีวิตของคนทั้งคู่อย่างเดียวแน่ แต่กำลังยืมเรื่องนี้มาถามเผยเยี่ยนว่า สามารถแบ่งเนื้อชิ้นนี้ให้สกุลเถาได้หรือไม่!

————————————————

[1]แจกันหรู่เหยา เป็นหนึ่งในห้าเตาเผาผลิตเครื่องเคลือบอันโด่งดังในยุคสมัยซ่งของเมืองจีน ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนองต่อความต้องการของพระราชวังราชวงศ์ซ่ง มีการกล่าวขานกันว่าเป็นสุดยอดแห่งเครื่องเคลือบของจีน

[2]ผีซิว คือสัตว์ประหลาดตามความเชื่อของจีนมาแต่โบราณ โดยเชื่อว่าคือ เทพลก กวางสวรรค์ มี 1 เขา แต่ส่วนหน้า หัว และขาคล้ายสิงห์ มีปีกคล้ายนก ส่วนหลังคล้ายปลา และมีหางเป็นแมว มีปาก แต่ไม่มีทวาร ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยป้องกันและปัดเป่าภูตผีปีศาจ ขับไล่สิ่งไม่ดีต่างๆ

[3]เทศกาลล่าปา ตรงกับวันที่ 17 มกราคม หมายถึงการล่าสัตว์ เพราะช่วงท้ายปีพืชผลถูกเก็บเกี่ยวตากแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้คนจึงเข้าป่าล่าสัตว์สำหรับบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับเป็นสิริมงคล

[4]เมิ่งฉางจวิน เป็นขุนนางรัฐฉีสมัยรัฐสงคราม เขาเลี้ยงคนไว้มากมายเพื่อใช้งานในวันหน้า เล่ากันว่าคนดีมีปัญญาที่เขาเลี้ยงไว้มีถึงสามพันคน เพื่อรอโอกาสใช้งาน ชื่อของเขาจึงมีความหมายเปรียบเปรยถึงคนที่ใจกว้างชอบรับแขกนั่นเอง