ตอนที่ 38 เป็นเพื่อนร่วมห้องกับอสุรา

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เจ้าของร่างมู่เฉียนซีคนก่อนชอบหนีเรียน ตลอดสามปีเข้าเรียนไม่เกินยี่สิบวัน ทำให้นางที่ย้อนเวลามาลืมนึกถึงเรื่องเข้าเรียนไปเสียสนิท

“เตรียมรถม้า ข้าจะกลับไปสำนักศึกษา”

นางตั้งใจแล้วว่าจะไปเที่ยวเล่นที่สำนักศึกษาสักหน่อย ปล่อยให้พวกผู้เฒ่าน่าเบื่อทั้งหลายมีเวลาเริงร่าไปสักพัก  ยิ่งพวกเขาเริงร่ามีอิสระมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้พวกเขายิ่งตกลงมาเจ็บหนัก

“ขอรับ”

รถม้าที่ผู้นำตระกูลมู่ใช้ หรูหราน่ามอง ดูจะมีเพียงคันเดียวในแคว้นจื่อเยี่ย

มู่เฉียนซีมุมปากกระตุก  ใช่ รถนี้หรู แต่มันจะไม่สะดุดตาไปหน่อยหรือ ?

ม้าที่ลากรถก็ไม่เลว อย่างไรตอนนี้ไม่มีเวลาเปลี่ยนรถม้าแล้ว มู่เฉียนซีจำต้องใช้ไปก่อน

สำนักศึกษาของแคว้นจื่อเยี่ย ผู้ที่จะเข้าสำนักศึกษานี้ได้ จะต้องมีพื้นเพตระกูลที่ดี มีความสามารถอันล้ำเลิศ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

มู่เฉียนซีคนก่อนไม่มีคุณสมบัติข้อหลัง แต่คุณสมบัติข้อแรกมีครบถ้วนสมบูรณ์

มู่เฉียนซีเพิ่งมาถึงสำนักศึกษาของแคว้นจื่อเยี่ย ทันใดนั้นรถม้าพลันพุ่งตรงมาจากด้านข้าง  ขวางหน้ามู่เฉียนซีไว้!

ม่านรถม้านั้นถูกเปิดออกมา สาวน้อยสวมชุดชาววังยืนอยู่ในรถม้า ชี้หน้าด่าสาปแช่งมู่เฉียนซี

“มู่เฉียนซี เจ้าคนไร้ความสามารถ เจ้าเป็นสิ่งหยาบช้าน่าอับอายสำหรับแคว้นจื่อเยี่ยของพวกเรา  เจ้าจงกลับไปตระกูลมู่ของเจ้าที่มีกลิ่นคาวเงิน ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตายในวันนี้”

ข่าวที่มู่เฉียนซีประลองชนะมู่หรูอวิ๋นและซวนหยวนหลี่เทียนที่จวนตระกูลมู่ถูกปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนา  ไม่ว่าจะเป็นตระกูลมู่เองหรือทางราชสำนัก ก็ไม่อยากให้ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป

ส่วนเรื่องซวนหยวนหลี่เทียนถูกถอนหมั้น ทั้งยังโดนทิ้งไว้ในโลงศพ ทุกคนต่างคิดว่าคุณชายอวู่ซวงใช้อำนาจรังแกองค์ชายเจ็ด

ดังนั้น องค์หญิงแปดซวนหยวนเจียผู้ไม่รู้อะไรเลย  คิดว่ามู่เฉียนซียังคงเป็นคนไร้ความสามารถ ยินยอมให้ถูกดุด่าตบตีดังเช่นแต่ก่อน

หากมู่เฉียนซีสามารถเอาชนะมู่หรูอวิ๋น ผู้ฝึกยุทธระดับสี่ และชนะองค์ชายเจ็ดที่ติดอันดับเก้าในรายชื่ออัจฉริยะของแคว้นจื่อเยี่ยได้  ถ้านางเป็นขยะไร้ค่า พวกเขาที่แพ้ให้กับนางจะนับเป็นตัวอะไร

มู่เฉียนซีพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “หยุดทำไม ? ขับตรงเข้าไปเลย”

คนขับรถม้าอึกอัก “ท่านผู้นำ … เอ่อ… นั่นคือองค์หญิงแปด”

“องค์หญิงแล้วอย่างไร ?  ทำตามที่ข้าสั่ง ข้าบอกให้ชนเจ้าต้องชน  อย่างมากก็แค่ชดเชยรถม้าให้ใหม่ เสียเงินเพียงเศษเหรียญทองคำ เงินแค่นิดหน่อยตระกูลมู่ของข้าชดเชยได้” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยิ่งผยองลำพองใจ

— ปัง! —

คนขับรถได้ยินท่านผู้นำกล่าวมาเช่นนั้น  แม้กลัว ก็จำต้องทำตามคำสั่ง

ถนนหน้าสำนักศึกษาแห่งแคว้นจื่อเยี่ยเกิดอุบัติเหตุรถม้าชนกัน

ผู้ก่อเหตุ มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ และซวนหยวนเจียองค์หญิงแปด

แม้ว่ารถม้าของตระกูลมู่จะหรูหราแบบธรรมดา แต่ใช้ทองคำที่แข็งที่สุดนำมาทำ  รถม้าขององค์หญิงแปดดูดีมีสง่า แต่หากเทียบกับความทนทานแล้วต่ำกว่ามาก

เพียงชนกันครั้งนี้ ก็ทราบได้ว่าใครคือคนที่ ‘ซวย’

“อ๊า!” เสียงร้องดังมา องค์หญิงแปดกลิ้งตกลงจากรถม้า หลุน ๆ ไปตามพื้น

โชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามจึงไม่บาดเจ็บมากนัก เพียงหน้าผากถลอก

องค์หญิงแปดแผ่คลื่นอารมณ์โกรธ “มู่เฉียนซี เจ้ากล้าชนข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!!!”

ตอนที่นางกำลังจะตะโกนให้องครักษ์ไปสังหารมู่เฉียนซี  รถม้าหรูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางสำนักศึกษา

“แค่ก ๆ ๆ” ฝุ่นเข้าหู เข้าตา จมูก ปาก  ซวนหยวนเจียสำลักจนน้ำตาไหล

นางยังได้ยินเสียงของมู่เฉียนซีที่ล้อเลียนนาง

“เหวย ๆ ๆ องค์หญิงแปดสภาพดูไม่จืด อ้อ… เงินค่าซ่อมแซมรถม้าไปเบิกเอาที่ตระกูลมู่ได้ ข้าไปก่อนล่ะ”

“กรี๊ด! มู่เฉียนซีเจ้าคนไร้ค่า ไปตายเสียไป!” ซวนหยวนเจียโกรธจนกระทืบเท้า โมโหถึงขนาดอยากจะฉีกมู่เฉียนซีเป็นชิ้น ๆ

สำนักศึกษาของแคว้นจื่อเยี่ยใหญ่มาก มู่เฉียนซีเดินตามหาที่พักตามความทรงจำที่เคยมี  แม้บอกว่าเป็นหอพัก อันที่จริงเปรียบเสมือนรีสอร์ตส่วนตัวเสียมากกว่า

เพราะตระกูลมู่มีเงิน ดังนั้นเจ้าของร่างคนก่อนจึงให้ทางสำนักศึกษาจัดที่พักพิเศษส่วนตัวให้  มีแค่นางอยู่อาศัยคนเดียว

แต่ว่า…

ทันทีที่มู่เฉียนซีเข้าไปในอาคารที่พัก  กลับพบว่ารองอาจารย์ใหญ่พาบุรุษชุดดำเข้ามาในที่พักของนาง

เขายิ้มประจบประแจง “ท่านอ๋องเยี่ย เชิญด้านใน เชิญด้านใน…”

แผ่นหลังของชายผู้นั้นงดงามไร้ที่ติ เส้นผมดุจแพรไหม ปอยผมเสียบด้วยปิ่นหยกสีแดงคล้ำ มีเสน่ห์ยั่วยวนยิ่ง เพียงแค่แผ่นหลังก็ทำให้อยากทำสิ่งผิดจารีต

เขา…. เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?!

มู่เฉียนซีรีบเข้าไป “ช้าก่อน ท่านรองอาจารย์ใหญ่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ส่วนตัวของข้าหรือ  ท่านพาคนนอกเข้ามา หมายความว่าอย่างไร ?”

ซวนหยวนจิ่วเยี่ยที่ตอนนี้ใส่หน้ากาก ดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นจ้องมองมู่เฉียนซี เหมือนมองคนไม่รู้จัก

รองอาจารย์ใหญ่ยิ้ม  เอ่ยขึ้น “ที่แท้นักเรียนมู่เฉียนซีกลับมาเข้าเรียนนี่เอง อันที่จริงแล้วที่พักหลังนี้ แต่เดิมอาจารย์ใหญ่มอบเป็นพิเศษให้ท่านอ๋องเยี่ย แต่ท่านอ๋องเยี่ยไม่มาเข้าเรียนเสียที อีกทั้งนักเรียนมู่เฉียนซีก็ทุ่มเทให้กับสำนักศึกษาไว้มาก ดังนั้นจึงให้ที่พักนี้แก่เจ้าด้วย”

มู่เฉียนซีมุมปากกระตุก อะไรที่เรียกว่าทุ่มเทให้กับสำนักศึกษานี้ไปเยอะ ? เพียงแค่ทุ่มเงินก้อนใหญ่สร้างอาคารโรงเรียนรึ ?

มู่เฉียนซีเลิกคิ้ว “คือเขามาแล้ว ท่านจึงมาไล่ข้ารึ ?”

“อาคารที่พักใหญ่โตขนาดนี้ อยู่กันสองคนเหลือเฟือ นักเรียนมู่เฉียนซีสามารถพักที่นี่ต่อได้” รองอาจารย์ใหญ่ยิ้ม เขาไม่อยากทำให้เทพเจ้าเงินตราท่านนี้โกรธ  พาลถอนเงินลงทุนที่ให้มา

“ไม่ได้ ข้าไม่ชอบอยู่กับคนอื่น” มู่เฉียนซีหันไปจ้องซวนหยวนจิ่วเยี่ยเขม็ง

เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?  หากอยู่อาคารเดียวกันกับเจ้าก้อนน้ำแข็งนี่ ตกดึกมีหวังต้องฝันร้ายแน่

รองอาจารย์ใหญ่กล่าวขึ้น “นักเรียนมู่เฉียนซี เรื่องนี้ข้าจนปัญญาจริง ๆ หากเจ้าอยากอยู่คนเดียว  ก็เชิญปรึกษากับท่านอ๋องเยี่ยดูเองเถอะ …อ่า! ในสำนักศึกษายังมีเรื่องที่ให้ข้า รองอาจารย์ใหญ่ไปจัดการ ข้าขอตัวก่อน”

รองอาจารย์ใหญ่ที่เป็นถึงราชาแห่งภูตขั้นเจ็ดวิ่งออกไป  มู่เฉียนซีไม่สามารถที่จะหยุดเขาได้

“ให้ตายเถอะ! รองอาจารย์ใหญ่ไม่มีความรับผิดชอบ” ใบหน้าของมู่เฉียนซีหม่นคล้ำ

รองอาจารย์ใหญ่หนีไปแล้ว เหลือเพียงพวกเขาสองคน ทั้งสภาพแวดล้อมรอบข้างยังไร้เสียง บรรยากาศดูอึดอัดพิกล

ริมฝีปากแดงของซวนหยวนจิ่วเยี่ยเปิดออก ขยับเบา ๆ เอ่ยขึ้น “ข้าไม่ไป”

หลังจากพูดจบ บุรุษเยือกเย็นราวน้ำแข็งหันหลังกลับอย่างสง่างาม  ขึ้นชั้นบนไป

มู่เฉียนซีร้อนใจ รีบเอ่ยด้วยเสียงอันดัง “ช้าก่อนจิ่วเยี่ย ข้างบนเป็นพื้นที่ของข้า เจ้าต้องมานอนข้างล่าง”

“ไม่ ข้าต้องการข้างบน” ดวงตาสีฟ้าใสสบตาเข้ากับมู่เฉียนซี แม้เพียงพูดธรรมดา เสียงเขายังดูเด็ดขาดกว่าผู้ใด

มู่เฉียนซีมีหรือจะเกรงกลัว ถึงต้องเถียงคอเป็นเอ็นนางก็ยอม “แต่ข้าอยู่ข้างบนมาก่อน ดังนั้นข้างบนเป็นของข้า”

“ไม่ เจ้าอยู่ข้างล่าง หรือไม่ก็อยู่ข้างบนด้วยกัน”

หลังจากซวนหยวนจิ่วเยี่ยพูดจบ ร่างสูงสง่าก็เดินขึ้นชั้นบนประหนึ่งไม่อยากเสวนากับมู่เฉียนซีมากไป

‘ชิ! ข้างบนก็ข้างบน  ใครจะยอมอยู่ข้างล่างกัน ?’ สาวน้อยผู้นำครุ่นคิดแค้นในใจ เดินตามบุรุษก้อนน้ำแข็งขึ้นไป

ทว่าสิ่งที่ทำให้นางแทบสติแตกคือ… เขาอยู่ข้างบนก็ว่าแย่แล้ว ยังจะมาอยู่ห้องตรงข้ามกับนาง

มีลมหายใจเย็น ๆ มาจากฝั่งตรงข้าม ดีกว่าใช้เครื่องปรับอากาศในฤดูร้อนเสียอีก

มู่เฉียนซีนอนอยู่บนเตียงได้แต่พร่ำบ่นไป “คนบ้า! ไปที่ไหนก็หนีไม่พ้น”

นางรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นน่าจะใส่อุปกรณ์ตรวจจับไว้กับนาง ไม่ว่าจะไปที่ใด จะต้องพบเจอเขาทุกทีไป

มู่เฉียนซีคิดไปมาก็พึมพำ “อาถิง เขากลัวว่าข้าจะนำศาลาเลือนรางเก้าชั้นหนีไปหรือเปล่า ถึงคอยจับตาดูข้าตลอด หรือไม่พวกเรายกเลิกพันธสัญญากัน เจ้าไปอยู่กับเขาเป็นอย่างไร ?”

.