ตอนที่ 39 รูปลักษณ์ที่ทำให้คนหลงผิด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

อาถิงกัดฟันพูด “ยายผู้หญิงใจดำ เจ้าลองทำแบบที่ว่านั่นดูสิ หึ!”

มู่เฉียนซีพึมพำ “โธ่ ๆ ๆ ข้าแค่ล้อเล่นเองหน่า  อาถิง เจ้าเป็นศาลานิรันดร์ หนึ่งในศาสตราวุธเซียนเชียวนะ ข้าจะยกเจ้าให้คนอื่นไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า”

“เชอะ! เจ้ารู้ตัวไว้ก็ดีแล้ว” อาถิงเอ่ยขึ้น เบะปากคว่ำ น้ำเสียงเจือความเย็นชาเต็มที่

ความขมขื่นฉายชัดบนใบหน้ามู่เฉียนซี  พูดก็พูดเถอะ สำหรับอาถิง นางไม่มีทางให้ใคร  แต่… นางคิดไม่ออก เจ้าก้อนน้ำแข็งนั่น จิ่วเยี่ยที่งดงามและเยือกเย็นผู้นั้น ต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?

“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดสิ! เจ้าก็แค่ขยันฝึกฝนจนแข็งแกร่งมากกว่าเขา ถ้าแข็งแกร่งกว่า เจ้ายังจะกลัวเขาอยู่อีกหรือ ?” เสียงของอาถิงดังขึ้นผ่าแทรกความกังวลของสตรีน่าตาย

มู่เฉียนซีได้สติจากคำพูดของอาถิง “ใช่สิ! ขอให้มีความแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าชายผู้นั้นจะดูลึกลับขนาดไหน ก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว”

กลับมาถึงสำนักศึกษา ก็ต้องเข้าเรียน

นางไม่อยากจะเป็นผู้นำตระกูลคนแรกของแคว้นจื่อเยี่ยที่ถูกไล่ออก หากเป็นเช่นนั้น คงกลายเป็นเรื่องตลกขำขันไปทั่วทั้งแคว้น

อาจารย์ห้องเรียนระดับต่ำรู้สึกฉงนใจที่ผู้นำของตระกูลอันร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ยมาเข้าเรียน

เข้าเรียนเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ประกาศขึ้น “การสอบของสำนักศึกษาใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว สามปีนี้ถ้าสอบเลื่อนชั้นไปห้องเรียนระดับกลางไม่ได้ จะถูกไล่ออก”

คนอื่นยังดี อาจารย์หันมามองมู่เฉียนซีอย่างจงใจ

มู่เฉียนซีเป็นคนเดียวที่อยู่ห้องเรียนระดับต่ำมาแล้วสามปี ยังไม่ได้เลื่อนชั้นเป็นนักเรียนห้องเรียนระดับกลาง

มู่เฉียนซีมุมปากกระตุก ดูแล้วการสอบในครั้งนี้ หากเปรียบนางเป็นแมวเก้าชีวิต  ชีวิตทั้งเก้าของนางประหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย

อาจารย์เอ่ย “เวลาแห่งการสอบเลื่อนชั้นใกล้เข้ามา ต่อไปพวกเจ้าจงไปสนามฝึกประลองเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ หวังว่าพวกเจ้าจะได้เลื่อนชั้นไปห้องเรียนระดับกลางในเร็ววัน”

นักเรียนทุกคนกำลังหาคู่ฝึกซ้อม มีเพียงมู่เฉียนซีคนเดียวที่ไม่มีคนสนใจ

ที่ผ่านมามู่หรูอวิ๋นเอาใจใส่ในการสอนมู่เฉียนซี ทำให้เจ้าของร่างในอดีตไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นสักเท่าไหร่ นอกจากมู่หรูอวิ๋นแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง

 –ฟั่บ! —

เสียงของดาบที่ถูกดึงออกมาชี้ไปที่มู่เฉียนซี “เพื่อนนักเรียนมู่เฉียนซี เจ้ากล้ารับคำท้าประลองกับข้าหรือไม่ ?”

ทุกคนอึ้งงัน

“หวังฮ่าวท้าทายการประลองกับมู่เฉียนซี เขาเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับสาม การสอบครั้งนี้เขาอาจจะได้เลื่อนไปห้องเรียนระดับกลาง”

“เขามีความแข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนของเรา ยังจะขอท้าประลองกับมู่เฉียนซีที่ไร้ความสามารถอีกรึ ?”

“มู่เฉียนซีที่ไร้ความสามารถต้องไม่กล้ารับคำท้าแน่ กลัวว่าสักพักคงจะตกใจวิ่งหนีไป ต่อไปคงอย่างน้อยสามเดือน เราจะไม่เห็นนาง”

ห้องเรียนระดับต่ำไม่มีคนเก่ง  เขา หวังฮ่าวจึงนับเป็นคนที่เก่งที่สุดในชั้นเรียน

มู่เฉียนซีทำอะไรไม่ถูก มิใช่นางสู้ไม่ได้  เพียงแต่คู่ต่อสู้นี้ นางขี้เกียจลงมือเอง

แต่ต้องไม่ทำให้คนอื่นสงสัย

มู่เฉียนซีจ้องมองหวังฮ่าว ยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่นั้นที่ดำขลับดุจน้ำหมึกเป็นประกายกล้า

“ได้ ข้ารับคำท้า”

เพียงหนึ่งสายตา หนึ่งคำพูดที่เรียบเฉย ทำให้หวังฮ่าวตกใจจนหัวใจเต้นระส่ำ มือที่จับกระบี่พลันมีเหงื่อไหล

มู่เฉียนซีกล่าว  ท่าทีนิ่งสงบ “ใครขึ้นประลองฝีมือกับหวังฮ่าวแทนข้า ข้าให้รางวัลหนึ่งพันเหรียญ”

“เจ้า…”

“ข้าทำไมรึ ? ข้ารับคำท้าของเจ้า แต่ไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องประลองกับเจ้าเองหนิ” มู่เฉียนซีมองหวังฮ่าวด้วยรอยยิ้มยียวนกวนประสาทเต็มที่

มีเงินสามารถจะทำอะไรก็ได้มันคือเรื่องจริง สักพักก็มีคนเสนอตัวออกมา

“เพื่อนนักเรียนหวังฮ่าว ถ้าเจ้าแน่จริง ก็มาประลองกับข้าสักสนามหนึ่งเซ่!”

คนที่เสนอตัวมา หุ่นเหมือนหมีก็ไม่ปาน ความแข็งแกร่งพอ ๆ กันกับหวังฮ่าว  หวังฮ่าวยังไม่ทันตอบรับ เพื่อนหุ่นหมีก็โดดขึ้นเวทีไปแล้ว

— ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! —

คนแรกที่ออกมา ถึงแม้จะไม่ได้ตีหวังฮ่าวจนหมอบ แต่ก็ช่วยทำให้เขาอ่อนแรงลงได้เยอะ

มู่เฉียนซีนำตั๋วเงินหนึ่งใบมูลค่าหนึ่งพันยื่นให้เขา “เอ้า รับไป นี่เป็นเงินค่าตอบแทนเจ้า”

คนอื่นต่างจ้องมอง  เกิดเสียงฮือฮา

“คิดไม่ถึงว่าจะได้เงินจริง ๆ”

“มู่เฉียนซีสมแล้วที่เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่ มีเงินทองมากมาย พันเหรียญสามารถจ่ายให้อย่างง่ายดาย”

“ข้าเองก็จะไปประลองด้วย”

“หวังฮ่าว มาประลองกับข้า!”

“หวังฮ่าว มาสู้กับข้า!”

“หวังฮ่าว!”

ถึงจะเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง แม้หวังฮ่าวจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของห้อง แต่เมื่อโดนท้าประลองแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็กลายสภาพเป็นคนดูไม่ได้ หน้าตาบวมปูดตะปุ่มตะป่ำราวกับผิวลูกน้อยหน่า

ทั้งพลังวิญญาณยังหมดไปเรื่อย ๆ แต่คนอื่นหลาย ๆ คนก็ยังท้าประลองเข้ามาไม่หยุด

หวังฮ่าวทนไม่ไหวแล้ว  กล่าวขึ้น “พอ! พวกเจ้าไม่ต้องท้าประลองข้าแล้ว ข้าได้รับคำสั่งมา…”

— ผัวะ! —

“หวังฮ่าว เจ้าอย่าพูดจาให้มากความ ช่วยพี่น้องทำเงิน เจ้าก็เสียสละหน่อยเป็นไร”

พวกเพื่อนพี่น้องแต่เดิมที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหวังฮ่าว ตอนนี้ก็นึกจะประลองการต่อสู้กับเขาแล้ว

— ผัวะ! —

“โอ๊ย!”

“องค์หญิงช่วยข้าที” หวังฮ่าวหันไปทางมุมหนึ่งร้องเรียกขึ้นมา

หากแต่คนที่เขาเรียกไม่คิดจะออกมาช่วยเหลือ

“องค์หญิง เราควรทำอย่างไรดี ? เจ้าหวังฮ่าวนี่ทำงานผิดพลาด แทนที่จะสั่งสอนมู่เฉียนซีกลับสั่งสอนไม่ได้”

“มู่เฉียนซี ความแค้นวันนี้ที่ทำข้าบาดเจ็บ ข้าต้องเอาคืน  ในสำนักศึกษาไม่สามารถต่อสู้กันส่วนตัวได้ ใกล้จะถึงเวลาสอบเลื่อนขั้น ข้าจะทำให้นางได้เห็นดี” ซวนหยวนเจียกล่าว ใส่อารมณ์ความแค้นเข้าไปเต็มสิบส่วน

มู่เฉียนซีจ้องมองไปทางมุมนั้น สายตาเยือกเย็นกวาดผ่าน  เหอะ! อยากแก้แค้นก็ต้องใช้วิธีที่ท้าทายกว่านี้  กล้าส่งคนแบบนี้มา น่าอับอายขายหน้านัก

ท้ายที่สุดหวังฮ่าวก็ถูกหามออกไป มีนักเรียนไม่น้อยที่ออกแรงเดินเข้ามาอาสาช่วยหามด้วยความพึงพอใจ

หลายคนพูด

“เพื่อนนักเรียนมู่เฉียนซี ต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้มาหาข้าล่ะ”

“เพื่อนนักเรียนมู่เฉียนซี ขอบใจเจ้ามาก ข้าสามารถสั่งทำเสื้อให้แม่ข้าได้หลายชุดเลย”

“…”

มู่เฉียนซีอยู่ห้องเรียนระดับต่ำซึ่งแย่ที่สุดจากในบรรดาห้องเรียนทั้งหมด เป็นห้องที่มีลูกภรรยาน้อยที่คนในตระกูลไม่สนใจมากมายมาเรียน ทั้งชายหญิงอยู่ห้องนี้กันหมด  พวกเขามีชีวิตไม่ค่อยจะดีนัก เพียงเงินพันเหรียญ ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตของพวกเขามากทีเดียว

วันนี้เข้าเรียนเสร็จเรียบร้อย มู่เฉียนซีกลับที่พักอยากจะไปอาบน้ำอุ่น ปรากฏว่าได้เห็นภาพภาพหนึ่ง

ภาพบุคคลงดงามในอ่างอาบน้ำ…

ผมยาวปล่อยสยายกลางหลัง ผิวอันงดงามแช่อยู่ในน้ำอุ่นมีสีขาวเนียนดั่งหยกขาว ไหล่โค้งมนยังคงมีไอน้ำเกาะอยู่เป็นประกาย

เขาหลับตา ดูผ่อนคลายมาก

หน้ากากได้ถูกถอดออกมา ใบหน้าสวยงามมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนหลงใหล ทำให้คนหลงผิดได้

มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  นางรู้จักบ่อน้ำอุ่นธรรมชาตินี้จากความทรงจำเจ้าของคนก่อน

แค่อยากจะมาผ่อนคลาย คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแย่งเสียก่อน  และยังต้องมาเจอมาพบเห็น

— สวบ! —

ซวนหยวนจิ่วเยี่ยผุดลุกขึ้น ผมยาวสยายถึงเอว

ความเยือกเย็นของเขากลบไออุ่นของอุณหภูมิน้ำ  มู่เฉียนซีตาโต นางเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น  เขาคงไม่คิดจะฆ่าคนปิดปากหรอกใช่ไหม ?

น้ำเสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นมา “เจ้าดูพอรึยัง ?”

ชายผู้ที่นางเรียกว่า ‘เจ้าก้อนน้ำแข็ง’ หันมา  เผยให้มู่เฉียนซีเห็นยอดเหมยแดงคู่นั้นที่ถูกหยดน้ำจากบ่าของเขาไหลผ่าน ตาสีฟ้าเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาล

มู่เฉียนซีใจเต้นระรัวเสมือนไม่ใช่หัวใจของนางเอง มันจะหลุดออกนอกอกอยู่แล้ว  นางหันหน้าหนี กล่าวขึ้นตะกุกตะกัก “จะ… เจ้าใช้ที่อาบน้ำของข้า  ข้าแค่ดูเจ้าอาบน้ำ ระ… เราหายกัน”

“ลาก่อน!”

สิ้นคำลา มู่เฉียนซีวิ่งเหมือนหนีตายมายังห้องพักชั้นสอง  หากหวงแหนชีวิตต้องอยู่ให้ห่างจากซวนหยวนจิ่วเยี่ย

หลังจากที่มู่เฉียนซีออกไป ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นพลันฉายแววอันตราย เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าไม่ชอบถูกเอาเปรียบ”

อยู่ด้วยกันกับซวนหยวนจิ่วเยี่ยยิ่งนานยิ่งอันตราย  มู่เฉียนซีตัดสินใจสอบเลื่อนขั้นเพื่อไม่ให้ตนเองถูกไล่ออกจากสำนักศึกษา  การสอบสนามแรกของสำนักศึกษาได้เริ่มขึ้น

สิ่งที่มู่เฉียนซีคิดไม่ถึงคือ การสอบสนามแรกเป็นการสอบพื้นฐานข้อเขียน

ในช่วงเวลาที่เพิ่งย้อนเวลามาไม่กี่วัน นางก็ต้องหาข้อมูลของแคว้นจื่อเยี่ยและอิทธิพลของเซี่ยโจว ทั้งยังใช้เวลาที่เหลือทดลองปรุงยา

ที่สำนักศึกษาสอนวิชาอะไร นางไม่ได้ดูเลยแม้แต่น้อย

วันนี้อาจารย์แจกข้อสอบแล้ว เวลาสักนิดที่จะเกาะขาพระ นางยังไม่มีโอกาสเลย

ในสมองเจ้าของคนก่อนไม่มีความรู้อะไรเลย

มู่เฉียนซีก้มดูข้อสอบ ข้อสอบหัวข้อที่หนึ่งนางทำได้ ถามว่าทำอย่างไรถึงจะซึมซับพลังวิญญาณได้  หัวข้อที่สองนางก็ทำได้ แต่หัวข้อที่สามนี่สิ…

มันคืออะไรกัน ?

“เฮ้ออออ~” มู่เฉียนซีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายในอารมณ์

ดูจากสภาพการณ์การสอบในสนามแรกนี้แล้ว คงไม่พ้นสอบตกเป็นแน่แท้

.