ตอนที่ 174 เข้าพักหอว่างไห่

พันธกานต์ปราณอัคคี

เบาะรองนั่ง ตั่ง ตู้เล็ก กำแพงขาวดุจหิมะแขวนภาพทิวทัศน์ที่แฝงความหมายลึกซึ้ง ซ้ายขวาต่างมีกลอนหนึ่งวรรค วรรคบนคือ ‘ลมพัดไม่ทั้งวัน’ วรรคล่างคือ ‘ฝนย่อมมียามหยุด’

 

 

นอกเหนือจากนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก ดูก็รู้ว่าเป็นที่พำนักของผู้บำเพ็ญเพียรผู้บากบั่น

 

 

“ท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ” หน้าประตูเสียงอันพินอบพิเทาลอยมา

 

 

ในห้องผู้เฒ่าคนหนึ่งหนวดเคราผมเผ้าขาวโพลนถามนิ่งเรียบว่า “อันใด?”

 

 

เสียงนั้นลอยมาอีกครั้ง “เรียนท่านหัวหน้าตระกูล คุณชายหกพาหญิงสาวนางหนึ่งขอเข้าพบขอรับ”

 

 

ผู้เฒ่าที่หนวดเคราผมเผ้าขาวโพลนสีหน้าเคร่งขรึม ได้ยินดังนั้นแล้วขนคิ้วสั่นแล้วสั่นอีก

 

 

แม้เขาเป็นหัวหน้าตระกูล ทว่าปกติไม่ค่อยจะถามไถ่เรื่องในตระกูลสักเท่าไร เรื่องธรรมดาทั่วไปลูกหลานในตระกูลก็จะไม่มารบกวน

 

 

หวังหกเป็นชนรุ่นหลังที่รู้กาลเทศะ ตามหลักแล้วไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้ เขาพาหญิงสาวนางหนึ่งขอเข้าพบตน หรือว่า…คิดจะบำเพ็ญเพียรคู่กับหญิงสาวคนนั้น?

 

 

ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องสืบสกุลยิ่งนัก ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหากคิดจะแต่งงานกับผู้อื่นเป็นสามีภรรยา จึงเป็นเรื่องใหญ่ในตระกูล ต้องได้รับความเห็นชอบของหัวหน้าตระกูล นี่ย่อมไม่ใช่ประเภทการรับอนุหรูติ่งอะไรจะเทียบได้

 

 

นึกถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”

 

 

หน้าประตู ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งคำนับคุณชายหกว่า “คุณชายหก ท่านหัวหน้าตระกูลเชิญท่านทั้งสองเข้าไปขอรับ”

 

 

“ขอบใจที่นำแจ้ง” คุณชายหกพยักหน้าแผ่วเบา พามั่วชิงเฉินเดินเข้าไป

 

 

“หวังหกขอคารวะท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ” เมื่อคุณชายหกเข้าห้อง ก็คารวะด้วยมารยาทสูงสุด

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง กลับคารวะด้วยมารยาทของผู้น้อยธรรมดาเท่านั้น ปากเอ่ยว่า “ข้าน้อยมั่วชิงเฉินขอคารวะท่านหัวหน้าตระกูลหวังเจ้าค่ะ”

 

 

มารยาทสูงสุดเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรจะใช้คำนับผู้อาวุโสทางสายเลือดหรือครูบาอาจารย์ของตนเท่านั้น นั่นยังเป็นในยามที่พบเจอเรื่องสำคัญบางเรื่องหรือกลับจากการเดินทางไกลกลับมาเท่านั้น

 

 

ผู้เฒ่าไม่ได้ออกเสียง หากแต่สายตาจับจ้องอยู่บนตัวหญิงสาวข้างกายคุณชายหก ชั่วครู่ถึงว่า “สหายน้อยอายุยังน้อยกลับพลังความสามารถไม่ธรรมดา ใช่ท่องมาจากแดนไกลเพื่อฝึกตนที่ทะเลขนาบใจของเข้าหรือไม่?”

 

 

คุณชายหกตะลึงในใจ เดิมทีเขานึกว่าหัวหน้าตระกูลต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขาและแม่นางมั่วผิดเป็นแน่ ถึงตอบรับให้เข้าพบง่ายดายเช่นนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าท่านหัวหน้าตระกูลเปิดปากก็คาดได้อย่างแม่นยำว่าแม่นางมั่วเดินทางฝึกตนมาถึงที่นี่ ในคำพูดไม่เพียงแต่ไม่มีความเข้าใจผิดต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแม้แต่น้อย กระทั่งให้ความสำคัญกับแม่นางมั่วผู้นี้ค่อนข้างมากทีเดียว

 

 

แม้ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าแม่นางมั่วเป็นน้องสาวของโหรวเอ๋อร์ สามารถล่วงรู้ว่าแม่นางมั่วผู้นี้กำลังอยู่ในช่วงวัยสาวโดยผ่านอายุของโหรวเอ๋อร์ อายุเพียงเท่านี้ก็มีตบะระดับสร้างรากฐานพรสวรรค์ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ ทว่าในฐานะหัวหน้าตระกูลที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายในคำพูดกลับแฝงความชื่นชมเช่นนี้ อย่างไรก็เกินไปบ้างแล้ว ต้องรู้ว่าในตระกูลมิใช่ไม่มีคนอายุสามสิบกว่าก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ที่ไกลออกไปไม่พูดถึง หวังสี่ปีนั้นก็สร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบเก้าเชียวนะ ก็ไม่เห็นท่านหัวหน้าตระกูลจะชื่นชมเขาเป็นพิเศษ

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้าครึ่งหนึ่งอย่างนบนอบตอบว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังพูดได้ไม่ผิด ข้าน้อยเป็นผู้บำเพ็ญเพียรดินแดนเทียนหยวน ยามที่ออกเดินทางฝึกตนมาถึงที่ทางของท่านโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้รู้ว่าตระกูลของท่านเป็นผู้ปกครองที่แห่งนี้ จึงมาเพื่อคารวะเจ้าค่ะ”

 

 

หัวหน้าตระกูลหวังพอใจท่าทีนอบน้อมของมั่วชิงเฉินมาก ยิ้มว่า “สหายน้อยช่างถ่อมตน ไม่ทราบสหายน้อยเป็นศิษย์ที่ใด?”

 

 

นี่ก็คือถามที่มาของสำนักนางแล้ว

 

 

ดีที่มั่วชิงเฉินคิดไว้นานแล้ว ได้ยินดังนั้นจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าน้อยเป็นศิษย์พรรคเหยากวงเจ้าค่ะ”

 

 

คุณชายหกแอบเดาะลิ้น รู้แต่แรกแล้วว่าที่มาของแม่นางมั่วผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพรรคเหยากวงที่อยู่อันดับสามในสี่สำนักแปดนิกายแห่งดินแดนเทียนหยวน

 

 

แม้พวกเขาจะอยู่ห่างไกล ทว่าไม่ใช่ไม่ติดต่อกับดินแดนเทียนหยวนและแม้กระทั่งสิบทวีปแห่งทะเลตะวันออกเอาเสียเลย สำนักเล็กๆ บางสำนักแม้ไม่รู้จัก ทว่าสำหรับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ไม่กี่กลุ่มของทั้งสองที่ยังเคยได้ยินมาบ้าง

 

 

มิน่าแม่นางมั่วกล้ามาตระกูลหวัง เข้ากราบคารวะท่านหัวหน้าตระกูลหวังด้วยฐานะศิษย์พรรคเหยากวงอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ ต่อให้หวังสี่อยากทำเหลวไหล ท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่อนุญาต ต้องรู้ว่าท่านหัวหน้าตระกูลไม่ใช่ปรมาจารย์ที่ลำเอียงรักใคร่เขาเป็นพิเศษท่านนั้นหรอกนะ ไม่มีทางล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลใหญ่เช่นนั้นเพื่อคนคนเดียวเด็ดขาด

 

 

หัวหน้าตระกูลหวังตาเป็นประกาย น้ำเสียงยิ่งอบอุ่นขึ้น “เป็นศิษย์สำนักชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ไม่ทราบสหายน้อยสะดวกบอกชื่ออาจารย์หรือไม่ หึๆ ข้าเคยไปดินแดนเทียนหยวนหลายครั้ง ไม่แน่อาจเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง”

 

 

คุณชายหกได้ยินคำพูดนี้แล้วยิ่งทอดถอนใจที่ท่านหัวหน้าตระกูลสายตาเฉียบขาด แม้เขาไม่เคยไปดินแดนเทียนหยวนกลับไม่ใช่ไม่เคยคบค้าสมาคมกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากที่อื่น รู้ว่าในสำนักเช่นพรรคเหยากวงนั้น ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทุกคนจะสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้ นอกเสียจากจะเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครจนได้รับความชื่นชมจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ

 

 

หากไม่เพราะได้ไปผจญภัยพร้อมแม่นางมั่วนานถึงเพียงนี้ แม่นางมั่วแสดงออกถึงความสามารถและความรู้ที่ไม่ธรรมดาตลอดเวลา ยามคุยเรื่องสัพเพเหระก็ได้ฟังนางพูดถึงอาจารย์ตนโดยไม่ตั้งใจอีก เขาคงไม่กล้าแน่ใจเหมือนดังที่ท่านหัวหน้าตระกูลแน่ใจเช่นนี้

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลชั่วครู่ ยังคงตอบว่า “ข้าน้อยโชคดี ถูกนักพรตเหอกวงรับเข้าเป็นศิษย์เจ้าค่ะ”

 

 

ในเมื่อตัดสินใจเข้าเยี่ยมคารวะอย่างสง่าผ่าเผย เช่นนั้นผู้หนุนหลังตนเองยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม ตนจึงจะทำอะไรได้ยิ่งสะดวกขึ้น

 

 

“นักพรตเหอกวง?” หัวหน้าตระกูลหวังบ่นพึมพำว่า จากนั้นเกิดหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาทันที ลุกขึ้นถามว่า “คือท่านผู้ที่อายุสิบแปดสร้างรากฐาน อายุหกสิบแปดก่อแก่นปราณ นักพรตเหอกวงที่เป็นศิษย์หลิวซางเจินจวินผู้นั้นใช่หรือไม่?”

 

 

คุณชายหกที่อยู่ข้างๆ แม้ไม่เคยได้ยินสมญานามนักพรตเหอกวงมาก่อน กลับต้องตกใจเพราะตัวเลขเป็นพวงนี้จนวิงเวียนศีรษะ

 

 

อายุสิบแปดสร้างรากฐาน? อายุหกสิบแปดก่อแก่นปราณ? นี่…นี่ยังใช่คนอยู่หรือไม่?

 

 

สายตาที่คุณชายหกมองไปที่มั่วชิงเฉินอดประหลาดขึ้นมาไม่ได้ มิน่าวันนั้นยามที่คุยสัพเพเหระกันตนเองทอดถอนใจว่าคนที่สามารถเป็นอาจารย์ของนางได้ ไม่รู้ต้องเป็นบุคคลระดับใด แม่นางมั่วกลับพูดว่าสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างล้นพ้น

 

 

วันนั้นตนถือเพียงว่านางถ่อมตน ทว่าวันนี้ถึงพบว่า ต่อให้ใครก็ตามสามารถมีอาจารย์เช่นนี้ได้ ก็ต้องเป็นความโชคดีอย่างล้นพ้นแล้วล่ะ

 

 

เห็นหัวหน้าตระกูลหวังอารมณ์ตื้นตัน มั่วชิงเฉินตอบว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังพูดได้ไม่ผิด ไม่คิดว่าท่านหัวหน้าตระกูลหวังจะรู้จักอาจารย์ข้าจริงๆ”

 

 

หัวหน้าตระกูลหวังไม่พูด กลับทอดถอนใจแล้วส่ายศีรษะ ตนและนักพรตเหอกวงผู้นั้นพูดไม่ได้ว่ารู้จักกัน แต่กลับเคยพบหน้ากัน

 

 

นึกถึงครั้งล่าสุดที่ไปดินแดนเทียนหยวนยังเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นช่วงที่ถูกดึงเข้าสงครามวิกฤตอสูรที่เกิดจากผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจหมานฮวง จากครั้งนั้นได้รู้จักบุคคลที่โดดเด่นในดินแดนเทียนหยวนไม่น้อย ก็เพราะอาศัยโอกาสวาสนาในครั้งนั้น ตนถึงได้เกิดรู้แจ้ง และกลับมากักตนสิบกว่าปีที่ทะเลขนาบใจ

 

 

บัดนี้ตนอายุขัยเหลือไม่มาก กลับมีความรู้แจ้งอย่างเลือนรางต่อการก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาไม่ค่อยสอดมือยุ่งเรื่องในตระกูล เขาจะเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การบำเพ็ญเพียร พยายามเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่สามของตระกูลหวังในหลายปีนี้ให้ได้

 

 

มองดูลักษณะการวางตัวความเหมาะสมสุขุมไม่ลนลานของมั่วชิงเฉินเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หัวหน้าตระกูลหวังเกิดทอดถอนใจ หรือว่านี่ก็คือความแตกต่างระหว่างศิษย์สำนักใหญ่และผู้บำเพ็ญเพียรตามตระกูลหรือผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักกระมัง จึงอดถอนใจไม่ได้ว่า “สหายน้อยอายุน้อยเพียงนี้ ก็มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ไม่แปลกที่บุคคลเช่นนักพรตเหอกวงจะรับเจ้าเป็นศิษย์ อาจารย์เลื่องชื่อศิษย์เก่งกาจ เป็นการช่วยส่งเสริมกันและกันนั่นเอง”

 

 

“อะไรนะ?” คุณชายหกตกใจร้องออกเสียง ดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งจ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง คาถาเก็บงำกลิ่นอายครึ่งๆ กลางๆ ของตนนั่นหลอกหัวหน้าตระกูลหวังระดับก่อแก่นปราณระยะปลายผู้นี้ไม่ได้จริงๆ ดูท่าต่อไปหากมีโอกาสต้องหาวิชายุทธ์เก็บงำกลิ่นอายดีๆ สักชุดหนึ่งถึงจะได้

 

 

ทันใดนั้นก็ไม่ปิดบังอีกแล้ว ปลดปล่อยพลานุภาพระดับสร้างรากฐานระยะกลางออกมา

 

 

คุณชายหกอ้าปากกว้าง ความรู้สึกไม่ใช่คำว่าตกใจจะสาธยายได้แล้ว

 

 

เขาจำได้ว่ายี่สิบหกปีก่อนยามที่พบโหรวเอ๋อร์ โหรวเอ๋อร์ท่าทางเพิ่งจะแปดเก้าขวบ ส่วนแม่นางมั่วคนนี้เป็นน้องสาวของนาง เช่นนั้นบัดนี้อายุต้องไม่เกินสามสิบสี่ปีแน่นอน ทะ…ทว่านางกลับอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว!

 

 

อาจารย์ที่ก่อแก่นปราณเมื่ออายุหกสิบแปดปี แม่นางมั่วที่สามสิบนิดหน่อยก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง นี่ นี่ช่างเป็นศิษย์อาจารย์ที่ผิดปกติเหนือมนุษย์อะไรเช่นนี้!

 

 

คิดถึงตรงนี้คุณชายหกกวาดมองหัวหน้าตระกูลปราดหนึ่ง แอบคิดว่ามิน่าหัวหน้าตระกูลเมื่อเจอแม่นางมั่วคนนี้มองปราดเดียวก็ดูออกว่านางต้องไม่ใช่คู่ที่ตนหามาบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยแน่นอน หญิงสาวเช่นนี้ จะเป็น จะเป็นคนที่ตนคู่ควรได้เช่นไร…ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกสลดใจอย่างบอกไม่ถูกอีก

 

 

ที่คุณชายหกคำนวณไว้ไม่ผิดสักนิด ออกจากสำนักห้าปี หนาวไปผลิมา มั่วชิงเฉินในบัดนี้อายุสามสิบสี่ปีพอดี

 

 

“ท่านหัวหน้าตระกูลหวังชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกระจ้อยร่อย เพิ่งก้าวเข้าประตูเซียนเท่านั้น หนทางที่ต้องเดินยังอีกยาวไกลเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน

 

 

ได้รู้ถึงความเป็นมาของมั่วชิงเฉินแล้ว ท่าทีหัวหน้าตระกูลหวังยิ่งสนิทชิดเชื้อขึ้น “ในเมื่อสหายน้อยมาถึงทะเลขนาบใจแล้ว ก็แสดงว่ามีวาสนากับตระกูลหวังเรา ไม่สู้อยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ศึกษาแลกเปลี่ยนกับลูกหลานตระกูลหวังรุ่นเดียวกันของเรา หากสามารถทำให้พวกเด็กไม่เอาไหนพวกนั้นก้าวหน้าขึ้นได้ ก็ถือเป็นผลงานของสหายน้อยแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบว่า “หัวหน้าตระกูลหวังกล่าวเกินไปแล้ว ที่ข้าน้อยมาคารวะก็มีเจตนาเช่นนี้พอดี สามารถเรียนรู้ประสบการณ์ในที่ของท่านได้บ้าง เพิ่มพูนความรู้ ก็ไม่ต้องถูกอาจารย์ไล่ลงเขาไปฝึกตนเพราะไม่เอาไหนแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

คำพูดซุกซนทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงทันที หัวหน้าตระกูลหวังหัวเราะร่าว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังหกเจ้าต้องรับรองแม่นางมั่วให้ดี ทิงเฉา…”

 

 

ชายหนุ่มข้างนอกผลักประตูเข้ามา เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลมีสิ่งใดจะสั่งขอรับ?”

 

 

หัวหน้าตระกูลหวังกลับมาสีหน้าเคร่งขรึม “จัดที่พักให้แม่นางมั่วที่หอว่างไห่ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”

 

 

“ขอรับ” ทิงเฉาตอบอย่างนอบน้อม แล้วพาพวกมั่วชิงเฉินสองคนออกไป

 

 

อีกด้านหนึ่ง คุณชายสี่รีบเร่งมากลับรับรู้ว่าคุณชายหกพามั่วชิงเฉินไปกราบคารวะท่านหัวหน้าตระกูลแล้ว ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาคือแย่แล้ว หรือว่าเขาจะเรียนหัวหน้าตระกูลว่าจะขอแม่นางมั่วแต่งงาน?

 

 

ทีนี้แย่แล้ว เจ้าหวังหกตัวดี ปากก็พูดว่าลืมหนิงโหรวไม่ได้ หันหลังก็ทำลายเรื่องดีของข้า ฮึ เจ้าคิดจะสมหวังอย่าฝันไปเลย!

 

 

คุณชายสี่โมโหแล้ว กลับไม่กล้าบุกที่อยู่ของหัวหน้าตระกูล แม้ปกติหัวหน้าตระกูลคนนี้ไม่ค่อยยุ่งเรื่องในตระกูล กลับเป็นคนที่เด็ดขาด เขายิ่งไม่เหมือนปรมาจารย์อีกคนหนึ่งที่รักใคร่ตนเอง กระทั่งแอบรู้สึกรางๆ ว่าท่าทีของหัวหน้าตระกูลคนนี้เย็นชาต่อตนเอง แม้ไม่เคยแสดงอะไรออกมาอย่างชัดแจ้งมาก่อน กลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

 

 

“พี่สี่ พวกเขาออกมาแล้ว” คุณชายสิบเจ็ดชี้ข้างหน้า

 

 

ทั้งสองคนรีบเดินไปขวางทางไปของพวกคุณชายหกสามคนไว้

 

 

“พี่สี่ น้องสิบเจ็ด พวกเจ้าหมายความว่าเช่นไร?” คุณชายหกถามนิ่งเรียบ มีคำสั่งของหัวหน้าตระกูล เขาก็เชิดหน้าได้มากขึ้นมาก

 

 

คุณชายสี่กวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง กลับเบิกตาโพลงในบัดดล พูดเสียงหลงว่า “มะ…แม่นางมั่ว เจ้า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “ก่อนหน้านี้เพื่อสะดวกในการทำงานจึงต้องปิดบัง ขอให้ทั้งสองท่านอย่าถือสา”

 

 

“ไม่ ไม่หรอก แม่นางมั่ว สวนปี้ซิ่วที่ข้าน้อยพำนักอยู่ปราณวิญญาณเข้มข้น เป็นห้องรับรองชั้นดีพอดี ไม่ทราบแม่นางมั่วจะให้เกียรติได้หรือไม่?” คุณชายสี่ฝืนกดความตะลึงในใจลงแล้วเปิดปากถาม

 

 

มั่วชิงเฉินอยากรับปากจริงๆ พี่สิบสี่ต้องพำนักอยู่ที่สวนปี้ซิ่วเป็นแน่ ทว่ากลับรู้ว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ มิเช่นนั้นไม่เพียงช่วยพี่สิบสี่ไม่ได้ ยังเป็นไปได้มากว่าตนต้องตกอยู่ในอันตรายด้วย

 

 

ไม่รอมั่วชิงเฉินเอ่ยปาก คุณชายหกก็ว่า “ไม่ลำบากให้พี่สี่ต้องหนักใจแล้ว ท่านหัวหน้าตระกูลได้จัดการให้แม่นางมั่วเข้าพักในหอว่างไห่แล้ว”

 

 

“อะไรนะ?” ครั้งนี้คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดตกใจร้องออกมาพร้อมกัน สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้งเกิดตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาทันที

 

 

หอว่างไห่เป็นสถานที่ที่ตระกูลหวังใช้รับรองแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ แต่อดีตมาเพียงจัดให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเข้าพักเท่านั้น เหตุใดหัวหน้าตระกูลถึงจัดให้แม่นางมั่วพักที่นั่น?