ตอนที่ 175 พี่น้องสองสาวฝาแฝด

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินไม่รู้ประโยชน์ใช้สอยของหอว่างไห่ กลับสามารถดูออกจากสีหน้าตกตะลึงของพวกคุณชายสี่สองคนว่าการที่นางถูกจัดให้พักที่หอว่างไห่ มีความผิดปกติอยู่บ้าง

 

 

แม้นางสงสัยในใจ สีหน้ากลับไม่แสดงอาการ ปล่อยให้ทั้งสองคนพิจารณาไป

 

 

แล้วก็ได้ยินคุณชายหกว่า “แม่นางมั่วมาจากสำนักอันเลื่องชื่อ อีกทั้งอาจารย์ก็เป็นคนรู้จักของท่านหัวหน้าตระกูล เข้าพักที่หอว่างไห่ก็ไม่แปลก”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะในใจ คุณชายหกก็มีเวลาที่เจ้าเล่ห์เหมือนกัน เมื่อพูดเช่นนี้แล้วพวกเขาย่อมนึกว่าหัวหน้าตระกูลและอาจารย์เป็นสหายกัน ยิ่งกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปหาหัวหน้าตระกูลเพื่อยืนยัน วันหลังตนทำอะไรขึ้นมาก็สะดวกขึ้นมากแล้ว

 

 

เป็นไปตามคาดคุณชายสี่ฟังที่คุณชายหกพูดแล้ว สีหน้าตระการตามาก สายตาที่มองมาที่มั่วชิงเฉินยิ่งคาดเดาไม่ถูกแล้ว

 

 

คุณชายหกจึงให้สัญญาณให้ทิงเฉานำทาง ฉวยโอกาสสลัดหลุดจากสองคนมุ่งหน้าไปที่หอว่างไห่

 

 

พื้นที่ของตระกูลหวังกว้างขวางนัก มียอดเขาทั้งแถบถูกล้อมอยู่ในจวน หอว่างไห่ก็สร้างอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดลูกหนึ่ง

 

 

เดิมทีมั่วชิงเฉินนึกว่าที่ว่าหอว่างไห่ก็คือลานบ้านแห่งหนึ่ง กลับนึกไม่ถึงว่าหอว่างไห่ยึดพื้นที่ยอดเขาทั้งลูก ศาลาหอสูงๆ ต่ำๆ น่าสนใจยิ่งนัก ห้องหับสวนหย่อม เป็นคฤหาสน์ที่สง่าตามธรรมชาติหลังหนึ่งดีๆ นี่เอง

 

 

ที่ยิ่งวิเศษคือ ไม่ว่ายืนอยู่ที่มุมไหน ล้วนสามารถเห็นทะเลกว้างใหญ่องอาจ ช่างสมกับชื่อหอว่างไห่[1]

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “คุณชายหก ท่านหัวหน้าตระกูลหวังเกรงใจเกินไปแล้วจริงๆ หึๆ หากเช่าอยู่ที่ที่พำนักเช่นนี้ ไม่เกินสองสามเดือน ชิงเฉินต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแน่”

 

 

ที่นางพูดเช่นนี้ย่อมเป็นการถ่อมตน ทว่าจากการนี้กลับดูออกว่าหัวหน้าตระกูลหวังผู้นั้นปฏิบัติต่อนางด้วยมารยาททั่วถึง ดูท่าแล้วตนพนันถูกแล้ว

 

 

ตระกูลที่สืบทอดกันมาหลายพันปีเช่นนี้ ปักหลักอยู่ที่ทะเลขนาบใจมาตลอด ย่อมชินกับอากาศภูมิประเทศของทะเลขนาบใจ

 

 

ชนิดของทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรในทะเลขนาบใจมีน้อย ทว่าน่าจะมีของพื้นเมืองที่พอออกหน้าออกตาได้ เช่นมุกจื่อหวาสงบจิต หรืออาจจะยังมีอย่างอื่นก็ไม่อาจรู้ได้ คิดจะใช้ผลผลิตพื้นเมืองพวกนี้แลกทรัพยากรที่ขาดไป เช่นนั้นก็ขาดการติดต่อกับที่อื่นไม่ได้

 

 

หัวหน้าตระกูลที่มองการณ์ไกลสักหน่อย เพื่อสืบต่อความรุ่งเรืองของตระกูล ก็จะไม่ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรที่มีคนหนุนหลังส่งเดช โดยเฉพาะศิษย์หัวกะทิที่มาจากสี่สำนักแปดนิกายเช่นนาง

 

 

คำพูดหวานหูใครๆ ก็ชอบฟัง มั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ปุ๊บ ทิงเฉาที่นำทางให้ทั้งสองคนทนไม่ไหวพูดขึ้นมา ทิวทัศน์ที่ไหนสวย ทางเล็กเส้นไหนทะลุไปที่ใด ค่อยๆ ชี้แนะไป

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มฟังอย่างตั้งใจ แล้วพยักหน้าแผ่วเบาให้คุณชายหก

 

 

ทิงเฉาพูดได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือออก ชี้อีกด้านหนึ่งว่า “แม่นางมั่ว หอว่างไห่เป็นสถานที่รับรองแขกสำคัญของตระกูลหวังเราโดยเฉพาะ ก่อนท่านจะมา ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรสองท่านพักอยู่ที่นั่น ข้าน้อยบอกไว้ก่อน ถึงเวลาจะได้ไม่เข้าใจผิดกันขอรับ”

 

 

“เอ่อ ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองท่าน? ไม่ทราบว่าสองคนนั้นก็มาจากดินแดนเทียนหยวนเหมือนดั่งชิงเฉินหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเห็นเด็กรับใช้ทิงเฉาพูดจาฉะฉาน จึงฉวยโอกาสถาม

 

 

ทิงเฉายิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบแล้วขอรับ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสองท่านนั้นหนึ่งในนั้นเป็นยอดฝีมือระดับก่อแก่นปราณ อีกคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทั้งสองคนเป็นศิษย์อาจารย์กันขอรับ”

 

 

ฟังถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินไม่ถามมากอีก ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางอยู่ข้างนอกให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวเสมอมา อีกทั้งตนก็ไม่กล้าล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณนั่น แม้พักอยู่หอว่างไห่เหมือนกัน ที่นี่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ขอเพียงตนรักษาระเบียบ น่าจะไม่มีโอกาสเห็นหน้ากัน

 

 

คาดไม่ถึงคำพูดประโยคหนึ่งของทิงเฉากลับเกี่ยวความสนใจของนางขึ้นมา “พูดไปแล้วแขกสองท่านนี้กลับมีสิ่งที่พิเศษอยู่ ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ ข้าน้อยยังเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

 

 

“ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์?” มั่วชิงเฉินและคุณชายหกประสานสายตากันปราดหนึ่ง ล้วนรู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย

 

 

คุณชายหกถามขึ้นก่อนว่า “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์จริงหรือ? แม่นางมั่ว เจ้าเคยเจอผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์มาก่อนหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ว่าไปแล้วละอายใจ เต๋า มาร ปีศาจ พระ ปราชญ์ ห้าแขนงใหญ่แห่งการบำเพ็ญเพียร ข้าเคยเจอแค่สามแขนงแรกเท่านั้น ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรพระและผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ เพียงแค่เคยอ่านการบรรยายเล็กน้อยตามคัมภีร์บ้าง”

 

 

พูดถึงตรงนี้ในใจรู้สึกปวดร้าว ปีนั้นเคราะห์กรรมของตระกูลมั่ว คนเสื้อแดงที่เปิดฉากฆ่าอย่างโหดเ**้ยมยามที่เสกคาถามีปราณสีดำรางๆ จนกระทั่งนางเข้าพรรคเหยากวง ได้อ่านม้วนคัมภีร์หยกมากแล้ว ถึงค่อยๆ เข้าใจว่าคนคนนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่ง

 

 

คุณชายหกถอนใจว่า “เช่นนั้นข้ายังสู้แม่นางมั่วไม่ได้ จนถึงบัดนี้เคยพบเพียงผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าและผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจเท่านั้น ดูท่าต่อไปต้องเดินทางไปหลายๆ ที่แล้ว เช่นนั้นแม่นางมั่วรู้หรือไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์มีลักษณะพิเศษอะไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดว่า “ข้าเคยอ่านเจอในม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งโดยบังเอิญ บอกว่าคนที่บำเพ็ญเพียรปราชญ์ไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณ หากแต่ต้องการปราณคัมภีร์อะไรสักอย่าง เอาเป็นว่าพูดได้ลี้ลับมาก พวกเราคนวงนอกรู้เพียงแค่แง่มุมเล็กๆ เท่านั้น”

 

 

“ไม่ต้องมีรากวิญญาณ เช่นนั้น เช่นนั้นเงื่อนไขมิต่ำมากหรอกหรือ?” คุณชายหกประหลาดใจ

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ตรงข้ามกันต่างหาก ได้ยินมาว่าคนที่มีปราณคัมภีร์น้อยกว่าคนที่มีรากวิญญาณมาก ดังนั้นจำนวนผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์จึงน้อยมาก ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายทั้งชีวิตก็ไม่เห็นจะได้พบเจอ”

 

 

คุณชายหกถอนใจว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์สองท่านนั้นมาถึงทะเลขนาบใจ หากไม่หาโอกาสพบสักครั้ง ก็น่าเสียดายแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินอยู่ข้างนอกมาหลายปี อีกทั้งผ่านความยากแค้นมามากตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าการรู้จักคนและสิ่งของมากหน่อย มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรด้านจิตใจมากกว่าการได้สมบัติล้ำค่าในฟ้าดินบางอย่างเสียอีก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ในตำนานย่อมอยากพบสักครั้งเป็นธรรมดา เพียงแต่โอกาสเช่นนี้กลับไม่ค่อยเหมาะสม เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือได้พบมั่วหนิงโหรว

 

 

ทิงเฉานำมั่วชิงเฉินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง มีสาวใช้สองคนรออยู่ตรงนั้น เห็นทุกคนเข้ามา จึงคารวะอย่างอ่อนช้อย

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไป รู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าสาวใช้สองคนนี้จะเป็นพี่น้องฝาแฝดระดับหลอมลมปราณขั้นสี่คู่หนึ่ง หน้าตาหมดจด ท่าทางอายุสิบห้าสิบหกปี กำลังเป็นวัยดอกไม้แรกแย้ม

 

 

ทิงเฉากวักมือเรียกสองคนเข้ามา บอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว สาวใช้สองคนนี้รับผิดชอบปรนนิบัติอาหารการกินความเป็นอยู่ของท่านโดยเฉพาะ ท่านต้องการสิ่งใดก็สั่งพวกนางได้ ไห่อิง ไห่เอี้ยน พวกเจ้ายังไม่รีบมาคารวะแม่นางมั่วอีก”

 

 

สาวใช้สองคนคำนับใหม่อีกครั้ง “ไห่อิง (ไห่เอี้ยน) ขอคารวะแม่นางมั่วเจ้าค่ะ”

 

 

ท่าทางแบบเดียวกัน เสียงเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน มั่วชิงเฉินดูจนงงแล้ว

 

 

“รีบลุกขึ้นเถอะ” มั่วชิงเฉินไม่ใช่เจ้านายจริงๆ ของพวกเขาเสียหน่อย ย่อมรีบยกมือขึ้น พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งพยุงสองคนขึ้นมา

 

 

“แม่นางมั่ว เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวแล้วขอรับ ท่านพักผ่อนให้สบายก่อน” ทิงเฉาพูดธุระเสร็จ จึงกล่าวอำลา

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยขอบคุณ ทิงเฉามองคุณชายหก กลับเห็นคุณชายหกไม่ขยับเขยื้อน จึงมองอีกปราดหนึ่ง คุณชายหกยังคงไม่ขยับเขยื้อน ด้วยความจำใจจึงไปเองคนเดียวแล้ว

 

 

หลังจากทิงเฉาไปแล้ว มั่วชิงเฉินจึงพูดกับสาวใช้ฝาแฝดว่า “พวกเจ้าถอยไปก่อนเถอะ ปกติไม่ต้องปรนนิบัติข้าหรอก หากมีเรื่องอะไรข้าจะหาน้องสาวสองคนเอง” พูดได้เกรงใจ น้ำเสียงกลับไม่ยอมให้สงสัย

 

 

พี่น้องสองคนประสานสายตากัน คำนับเอ่ยพร้อมกันว่า “เจ้าค่ะ”

 

 

รอพี่น้องสองคนถอยลงไป คุณชายหกถึงนั่งลงเต็มก้น ยกน้ำชาจอกหนึ่งดื่มจนเกลี้ยง แล้วหัวเราะหึๆ ว่า “เจ้าเด็กทิงเฉานั่นต้องรู้สึกว่าหนังหน้าแก่ๆ ของข้านี่นับวันยิ่งหนาขึ้นแล้วแน่ๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ทีหนึ่ง “คุณชายหก เจ้าไยต้องหัวเราะเยาะตนเองด้วย บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าจะพบพี่สิบสี่ของข้าได้อย่างไร?”

 

 

คุณชายหกเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ถึงว่า “โหรวเอ๋อร์นาง…นางเป็นอนุของหวังสี่ โอกาสเช่นนี้ ไม่เหมาะจะออกมา”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนหน้านี้ตนคาดเดาเองคือเรื่องหนึ่ง ได้ฟังคุณชายหกพูดความจริงออกมาตรงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

 

 

พี่สิบสี่ อย่างไรเสียก็เป็นคุณหนูสายเลือดโดยตรงอย่างเป็นทางการที่ได้รับการจัดอันดับของตระกูลมั่ว มาถึงตระกูลหวังของพวกเขา ก็ตกต่ำกลายเป็นอนุที่ออกหน้าออกตาไม่ได้เสียแล้ว ความโกรธนี้ยากที่จะกลืนลงไปได้จริงๆ!

 

 

“คุณชายหก เจ้าก็บอกเข้ามาเลยว่าต้องทำเช่นไรถึงพบพี่สิบสี่ของข้าได้!” มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งว่า

 

 

คุณชายหกชะงัก ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินที่ใจเย็นอ่อนโยนเสมอมาได้ยินเรื่องนี้แล้วจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ คิดอีกทีนึกถึงว่าฐานะนางก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันก็เกิดเข้าใจขึ้นมา ถอนใจว่า “ที่จริงถ้าอยากพบก็ง่ายดายยิ่งนัก หากหวังสี่เชิญแม่นางมั่วไปเป็นแขก เจ้ารับปากก็แล้วกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินหลุดหัวเราะออกมา ตนใจร้อนเกินไปแล้วจริงๆ กลับลืมวิธีที่ง่ายที่สุด ใช่น่ะสิ หวังสี่นั่นวางแผนมากมายก่ายกองคิดจะตีสนิทกับตน วันหลังต้องเชิญตนไปเป็นแขกที่สวนปี้ซิ่วแน่

 

 

“แม่นางมั่ว เจ้ารอนแรมเป็นเพื่อนข้ามาหลายเดือน ผ่านเป็นตายมา บัดนี้พักผ่อนให้ดีก่อนเถอะ ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงมีข้าอยู่ จะไม่ให้หวังสี่ได้สมหวังแน่” คุณชายหกพูดพลางลุกขึ้นอำลา

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วความซาบซึ้งเอ่อขึ้นจางๆ ในใจ ความใกล้ไกลสนิทห่างเหินระหว่างคนด้วยกันแม้จะเปลี่ยนแปลงไปตามสาเหตุต่างๆ ได้ตลอดเวลา ทว่าคำพูดของคุณชายหกในยามนี้ นางฟังออกว่าเป็นคำพูดจากใจจริง

 

 

ผู้ชายคนนี้ ยามนี้กำลังบอกนางว่า เขายินยอมใช้ชีวิตปกป้องสวัสดิภาพของนาง นี่ไม่เกี่ยวกับความรัก หากแต่เป็นความรู้คุณและคุณธรรมระหว่างมนุษย์ ต่อให้โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจะโหดร้ายแล้งน้ำใจเช่นไร ก็ยังคงมีอยู่

 

 

หลังจากคุณชายหกจากไป มั่วชิงเฉินใช้จิตตระหนักวาดบริเวณที่ตนพำนักอยู่รอบหนึ่งก่อน จากนั้นตั้งค่ายกลป้องกันขึ้น ถึงทำความสะอาดรอบหนึ่งแล้วหลับสนิทไป

 

 

วันที่สอง มั่วชิงเฉินที่กระปรี้กระเปร่าตื่นมาแต่เช้า เดินออกจากห้องก็เห็นสาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นกำลังปัดกวาดทำความสะอาดอยู่ คนหนึ่งในนั้นได้ยินความเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้น แล้วรีบคำนับทีหนึ่ง จากนั้นว่า “แม่นางมั่ว บ่าวเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ จะไปยกมาเดี๋ยวนี้”

 

 

สาวใช้อีกคนหนึ่งคำนับทีหนึ่งเช่นกัน เอ่ยเสียงใสว่า “แม่นางมั่ว บ่าวไปยกน้ำชาให้ท่านเจ้าค่ะ” เสียงกระฉับกระเฉง ดั่งนกขมิ้นบินออกจากหุบเขา

 

 

มั่วชิงเฉินแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ดูท่าทางยุ่งอยู่ของพวกนางแล้วนึกถึงสาวใช้เพียงคนเดียวของตนอวิ๋นจือ ชั่วเวลาหนึ่งช่างสะเทือนอารมณ์

 

 

อาหารน้ำชาที่หอว่างไห่ใช้รับรองแขกล้วนเป็นของชั้นดี ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉินที่เลี่ยงธัญพืชมานานแล้วก็ทนไม่ไหวกินไปไม่น้อย เมื่อคิดดูอีกทีนี่เป็นระเบียบในการต้อนรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็เกิดเข้าใจขึ้นมา

 

 

สาวใช้สองคนรักษากฎเกณฑ์มาก ปรนนิบัติมั่วชิงเฉินแล้วก็ไปปัดกวาดอีก เห็นชัดว่าจำที่มั่วชิงเฉินสั่งไว้ได้ว่าไม่มีธุระอันใดไม่ต้องเข้ามา

 

 

จู่ๆ มั่วชิงเฉินกลับกวักมือว่า “พวกเจ้าสองคนมานั่งนี่”

 

 

พี่น้องสองคนเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย เพียงแต่นั่งแตะอยู่ขอบเก้าอี้หิน ท่าทางพินอบพิเทา

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา “พวกเจ้าไม่ต้องเกร็งเช่นนี้ วางใจได้ ข้าไม่กินคน”

 

 

ท่าทางเป็นกันเองของมั่วชิงเฉินทำให้ทั้งสองคนค่อยๆ ผ่อนคลายลง หลังจากคุยสัพเพเหระอีกครู่หนึ่งแล้ว ทั้งสองคนก็เกร็งน้อยลงมาก

 

 

สาวใช้คนหนึ่งในนั้นถามอย่างระมัดระวังว่า “แม่นางมั่ว ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหรือเจ้าคะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ว่าในฐานะที่พวกนางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ พอกล้อมแกล้มดูเขตแดนของตนออกได้ จึงพยักหน้าว่า “ถูกต้อง ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ที่พวกเจ้ารับใช้เมื่อก่อนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ดังนั้นจึงแปลกใจอยู่บ้างใช่หรือไม่?”

 

 

ได้ยินดังนั้น สาวใช้ที่ถามรีบส่ายศีรษะว่า “ไม่ใช่ไม่ใช่เจ้าค่ะ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่พวกเรามีคุณสมบัติมาเป็นสาวใช้ที่หอว่างไห่ โชคดีได้พบแม่นางท่าน…”

 

 

ยังพูดไม่จบ ก็ถูกสาวใช้อีกคนหนึ่งตะคอกให้หยุดอย่างรีบร้อน “ไห่อิง!”

 

 

 

 

——

 

 

[1] หอว่างไห่ แปลว่า หอมองทะเล