ตอนที่ 176 ชื่ออารมณ์กวี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สายตานิ่งเรียบของมั่วชิงเฉินกวาดมา สาวใช้คนนั้นรีบคุกเข่าลงว่า “แม่นางมั่วท่านอย่าถือสา ไห่อิงพูดจาไม่ยั้งคิด ไม่รู้ประสีประสาเจ้าค่ะ”

 

 

ในใจกลับแอบกลัวลนลาน ไห่อิงบอกว่าพวกนางปรนนิบัติแขกคนสำคัญเป็นครั้งแรก เช่นนั้นแม่นางมั่วท่านนี้จะเข้าใจผิดคิดว่าในตระกูลขาดตกบกพร่องหรือไม่ หากไปบอกคนอื่นสักสองสามคำ เช่นนั้นพวกนางพี่น้องสองคน…

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็อดสีหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นไหลโทรมลงมาไม่ได้

 

 

สาวใช้ที่ชื่อไห่อิงคนนั้นดูเหมือนก็รู้แล้วว่าตนเองก่อเรื่อง คุกเข่าลงเช่นกันว่า “แม่นางมั่ว พวกเราพี่น้องแม้มาปรนนิบัติที่หอว่างไห่เป็นครั้งแรก ทว่าน้องสาวนางกระทำการสุขุม ใครก็บอกว่าดี ไม่เหมือนบ่าวที่มักก่อเรื่อง ขอให้แม่นางอย่างรังเกียจน้องสาว หากว่า หากว่าไม่พอใจ ก็คืนบ่าวกลับไปได้หรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

ดวงตากลมโตที่จะร้องไห้คู่นั้นมองมั่วชิงเฉินเปี่ยมด้วยความวิงวอน ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนตนกำลังรังแกคนอื่น ต่อให้ยามนี้นางยังงงงวยไม่เข้าใจสถานการณ์

 

 

“ท่านพี่ไม่ต้องพูดแล้ว” สาวใช้อีกคนหนึ่งกระตุกไห่อิงทีหนึ่ง พูดกับมั่วชิงเฉินอีกว่า “แม่นางมั่ว ข้าและพี่สาวแม้ปรนนิบัติแขกคนสำคัญเป็นครั้งแรก ประสบการณ์ไม่พอ ทว่าจะปรนนิบัติท่านด้วยใจแน่นอนเจ้าค่ะ ขอท่านอย่าได้รังเกียจ หากท่านไม่พอใจ ก็คืนพวกเราพี่น้องกลับไปพร้อมกันเถอะเจ้าค่ะ”

 

 

จนถึงยามนี้มั่วชิงเฉินถึงนับว่าฟังรู้เรื่อง สาวใช้สองคนนี้ตกใจจนทั้งโขกศีรษะทั้งวิงวอนเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเพียงเพราะไม่ระวังหลุดปากว่าพวกนางรับหน้าที่เป็นสาวใช้ที่นี่เป็นครั้งแรก กลัวตนรังเกียจแล้วคืนพวกนางกลับไป

 

 

หลังจากมั่วชิงเฉินฟังเข้าใจแล้วจะหัวเราะก็ใช่ที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ กลับรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้ช่างคุ้นเคยอะไรเช่นนี้ ทันใดนั้นนึกถึงสมัยเยาว์วัย คนรับใช้ของตระกูลมั่วอยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียร ก็ตัวสั่นงันงกเช่นกันมิใช่หรือ ไม่กล้าเดินผิดสักก้าวเดียว

 

 

นี่คงจะเป็นส่วนที่ต่างกันของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรและสำผู้บำเพ็ญเพียรแล้วล่ะกระมัง ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรอาศัยสายเลือดสืบทอดต่อไป ทว่าคนในตระกูลที่มีรากวิญญาณอย่างไรเสียก็มีจำนวนน้อยนัก เช่นนั้นการใช้ชีวิตของพวกเขายิ่งคล้ายตระกูลขุนนางในคนธรรมดา

 

 

ส่วนสำผู้บำเพ็ญเพียรรับศิษย์ล้วนรับศิษย์ที่มีรากวิญญาณ แม้ฐานะมีความแตกต่างกันเช่นกัน ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือพลังความสามารถ ต่อให้ยามที่นางเป็นศิษย์จิปาถะ ก็ไม่อ่อนข้อต่อศิษย์อย่างเป็นทางการ ยิ่งกว่านั้นศิษย์จิปาถะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เพราะอย่างไรเสียการที่เข้าสำนัก ต่างเพื่อคิดไล่ตามหนทางแห่งอายุยืนยาว ไม่ใช่มาเป็นบ่าวรับใช้

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็กลับเกิดสงสารพี่น้องสองสาวคู่นี้ขึ้นมา อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสี่ หากอยู่ในสำนัก ต่อให้เป็นศิษย์จิปาถะ ก็ไม่ถึงกับต้องเป็นเช่นนี้

 

 

“พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ข้าปรนนิบัติยากเช่นนั้นเลยหรือ?” มั่วชิงเฉินอมยิ้มถามว่า

 

 

พี่น้องสองคนมองมั่วชิงเฉินด้วยใจตุ้มๆ ต่อบๆ ปราดหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินทำหน้าบึ้งว่า “รีบขึ้นมา ข้าไม่ชอบผู้อื่นคุกเข่าไปคุกเข่ามาให้ข้า ยิ่งกว่านั้นหากพวกเจ้าเอะอะก็ตกใจจนโขกศีรษะ ข้าถึงจะพิจารณาว่าควรเปลี่ยนคนหรือไม่”

 

 

พี่น้องสองคนสีหน้าซีดเซียว รีบลุกขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “เช่นนี้สิถูกแล้ว หากพวกเจ้ามีใจ ก็เล่าเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นี่ให้ข้าฟังมากๆ เถอะ จะได้ไม่ทำอะไรให้เป็นที่หัวเราะเยาะได้”

 

 

พี่น้องสองคนนั่งลงใหม่ภายใต้การใบ้ของมั่วชิงเฉิน พูดทางนี้ทีทางนั้นทีตามหัวข้อของมั่วชิงเฉินขึ้นมา

 

 

อย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวกันหมด ต่อให้ฐานะต่างกันราวฟ้าดิน ลักษณะภายนอกของมั่วชิงเฉินก็เพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี อีกทั้งมักยิ้มหวานละมุนตลอดเวลา พูดไปพูดไปสาวใช้สองคนก็ผ่อนคลายแล้ว มั่วชิงเฉินก็รู้ข้อมูลไม่น้อยจากคำพูดของทั้งสองคนเช่นกัน

 

 

ยกตัวอย่างเช่นหอว่างไห่นี้ เป็นห้องรับรองที่ดีที่สุดของตระกูลหวัง มีไว้รับรองผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปโดยเฉพาะ ส่วนสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ที่หอว่างไห่ ล้วนต้องผ่านการฝึกอย่างเข้มงวด อีกทั้งจำเป็นต้องเป็นคนที่มีรากวิญญาณ

 

 

ฟังถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแล้ว ไห่เอี้ยนในพี่น้องคู่นี้ก็ช่างเถอะ สาวใช้คนที่ชื่อไห่อิงดูแล้วไม่เหมือนผ่านการฝึกที่เข้มงวดมาก่อนจริงๆ

 

 

ทว่านี่สำหรับนางแล้วไม่สำคัญ นางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ในโลกฆราวาสที่จำเป็นต้องได้รับการปรนนิบัติอย่างตั้งใจเสียหน่อย

 

 

มั่วชิงเฉินคุยกับสาวใช้สองคนนี้ตามอารมณ์ อีกาไฟที่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณก็โวยวายขึ้นมา

 

 

นางยิ้มอย่างจำใจ เจ้านี่เมื่อใดที่มีแหล่งพำนักที่มั่นคงแล้วก็รังเกียจที่ต้องอยู่ในถุงอสูรวิญญาณ เรื่องมากยิ่งนัก จึงได้แต่เพ่งจิตปล่อยอีกาไฟออกมา ทำให้สาวใช้สองคนตกใจร้องอยู่พักหนึ่ง

 

 

สามวันให้หลัง

 

 

“อันนั้น อันนั้น ข้าจะดื่มอันนั้น”

 

 

“เอ๊ะๆ เจ้านั่นแหละ เหตุใดไม่รู้จักปอกเปลือกผลไม้แล้วค่อยยกขึ้นมา?”

 

 

อีกาที่ลอยอยู่กลางอากาศตัวหนึ่ง หางหันเข้าข้างในทำท่านั่ง ปีกสองข้างประเดี๋ยวชี้ทางนี้ประเดี๋ยวชี้ทางนั้น ใช้สาวใช้น้อยสองคนจนวิ่งวุ่นไปมา

 

 

ยามที่มั่วชิงเฉินเข้ามา สิ่งที่เห็นก็คือสภาพการณ์เช่นนี้ จึงหน้าบึ้งทันทีว่า “นี่เจ้าทำอะไรอยู่?”

 

 

อีกาไฟปีกสั่นทีหนึ่ง เห็นเป็นมั่วชิงเฉิน เปล่งเสียงแว้ดๆ ที่คุ้นเคยและไม่น่าฟัง “อ้าว วันนี้เจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้เชียว?”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน ชี้สองสาวพี่น้องนั่นว่า “เจ้ายังไม่ได้ตอบ นี่เจ้าทำอะไรอยู่?”

 

 

อีกาไฟใช้ปีกข้างหนึ่งพัดลมอย่างตามใจ พูดอย่างไม่แยแสว่า “ไม่ได้ทำอะไรนี่ ข้าก็เพียงแค่ขอของกินเล็กหน่อย”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าบึ้ง “ขอของกินมีใครใช้คนเช่นนี้กันไหม?”

 

 

อีกาไฟทำหน้าน้อยใจทันทีว่า “พวกนางเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติเจ้าโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ต้องให้คนปรนนิบัติ ก็ปรนนิบัติข้าฆ่าเวลาสักหน่อยสิ อีกอย่าง ข้าเป็นอสูรวิญญาณของเจ้านะ ของของเจ้าก็เป็นของของข้ามิใช่หรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก มีใครเขาฆ่าเวลากันเช่นนี้ไหม อย่าบอกนะว่ามันหมายความว่าการให้คนอื่นปรนนิบัติมัน คนอื่นยังต้องรู้สึกซาบซึ้งต่อมันน่ะ จึงมองพี่น้องฝาแฝดปราดหนึ่งทันที

 

 

ใครจะรู้ว่าบนใบหน้าพี่น้องสองสาวคู่นั้นไม่มีความไม่พอใจใดๆ กลับมีความปีติที่เกิดจากใจจริง เห็นมั่วชิงเฉินมองมา รีบว่า “แม่นางมั่ว ท่าน…ท่านอีกาท่านนี้พูดถูกต้องเจ้าค่ะ พวกเราเต็มใจมากที่จะทำเรื่องพวกนี้”

 

 

มั่วชิงเฉินงงงัน สีหน้าสาวใช้ฝาแฝดคู่นี้ไม่เหมือนเสแสร้ง ดูท่าทางยังเต็มใจจริงๆ ด้วย กระทั่งยังมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อสองวันก่อนอีก

 

 

ลองคิดดู ในใจก็กระจ่างขึ้นมา ตนไม่ต้องการให้พวกนางปรนนิบัติแม้เป็นเพราะความเคยชินในการใช้ชีวิต ทว่าในใจพวกนางเกรงว่าคงตุ้มๆ ต่อมๆ กังวลเสมอมา จนกระทั่งอีกาไฟใช้พวกนางอย่างไม่เกรงใจ ถึงสบายใจขึ้นมาจริงๆ

 

 

ในเมื่อยินยอมทั้งคู่ มั่วชิงเฉินก็ขี้เกียจยุ่งแล้ว ทว่าหางตาเหลือบไปเห็นท่าทางเหมือนคนถ่อยได้ใจของอีกาไฟเช่นนั้น แล้วอดโมโหไม่ได้ จึงกวักมือเรียกอีกาไฟ

 

 

อีกาไฟบินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ เรียกว่า “มีอันใด?” ท่าทางเหมือนบอกว่ามีอะไรรีบพูดมีลมรีบผาย

 

 

“ข้าคิดว่า ควรตั้งชื่อให้เจ้าได้แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า

 

 

อีกาไฟเสียวสันหลังวาบ แอบเหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง มักรู้สึกว่านางยิ้มไม่ประสงค์ดี จึงแย่งพูดขึ้นก่อนว่า “ข้า ข้ามีชื่อตั้งนานแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินเบ้ปาก ปากมากอย่างมันนี่นะ หากมีชื่อก็เทกระจาดออกมาตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันแล้ว ยังต้องรอให้ถึงยามนี้

 

 

“ข้า ข้าชื่อ…” อีกาไฟตาขาวคู่หนึ่งกวาดไปมา พอดีเห็นพี่น้องสองสาวนั่นมองมาทางนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น จึงคิดขึ้นได้ในยามคับขันว่า “ข้าชื่อเสี่ยวเอี้ยนจื่อ!”

 

 

มั่วชิงเกือบสะดุดหน้าทิ่ม

 

 

อีกาไฟเห็นดังนั้นจึงเอ่ยอย่างได้ใจว่า “ถูกต้อง ข้าก็ชื่อเสี่ยวเอี้ยนจื่อแหละ”

 

 

ยามเดียวกับที่แอบชมว่าตนเองฉลาด เมื่อมองไห่อิงไห่เอี้ยนสองพี่น้องก็ยิ่งเจริญหูเจริญตาขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างหมดแรงว่า “ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย”

 

 

“เพราะเหตุใด?” อีกาไฟกรีดร้องว่า

 

 

มั่วชิงเฉินนวดขมับ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิดว่า “เพราะว่าข้าจะหัวเราะ ทุกครั้งที่เรียกเจ้าข้าคงไม่อาจ หัวเราะก่อนสักครึ่งค่อนวันใช่หรือไม่ล่ะ อีกอย่าง เมื่อครู่เจ้าก็บอกแล้วว่าเป็นอสูรวิญญาณของข้า เช่นนั้นชื่ออะไรย่อมต้องให้ข้าตัดสิน”

 

 

“ไม่ยุติธรรม คัดค้าน คัดค้าน” อีกาไฟอาละวาดตีลังกาอย่างไม่สนใจภาพพจน์

 

 

มั่วชิงเฉินแม้แต่มองก็ไม่มองสักปราด เอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่ยินยอมก็ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นอสูรวิญญาณของข้าก็แล้วกัน”

 

 

อีกาไฟคอตกลงมา เอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “ขอให้เจ้านายประทานชื่อ”

 

 

พูดตามตรง เพราะโอกาสวาสนานำพาในครั้งนั้น มั่วชิงเฉินไม่ได้เห็นอีกาไฟเป็นอสูรวิญญาณที่แท้จริงมาตลอด มักรู้สึกว่าช้าเร็วมันก็ต้องไป ดังนั้นจึงไม่เคยคิดถึงปัญหาเรื่องตั้งชื่อให้มันมาก่อน บัดนี้เลยตามเลยพูดมาถึงตรงนี้ ปุบปับนางก็คิดชื่ออะไรไม่ออก

 

 

ถูกแล้ว อสูรเสือพายุทะลุฟ้าของอาจารย์ชื่อต้าฮวา อินทรีวิญญาณหยกหิมะชื่อเสี่ยวอวี้…

 

 

เอาเถอะ ไม่ยอมรับไม่ได้ว่าความสามารถในการตั้งชื่อของอาจารย์ยังสู้ตนไม่ได้เลย

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาอีกาไฟ เห็นอีกาไฟจะร้องไห้แล้ว ถึงว่า “ได้แล้ว ไม่สู้เจ้าก็ชื่ออู๋เย่ว์เถอะ”

 

 

“อู๋เย่ว์?” อีกาไฟชะงัก ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะต้องชื่อปกติเช่นนี้ให้มันอีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์กวีเล็กน้อย

 

 

ทว่าคำพูดต่อจากนั้นของมั่วชิงเฉินกลับทำลายความซาบซึ้งแทบน้ำตาไหลที่เพิ่งเอ่อขึ้นในใจของมันจนสิ้น “ใช่น่ะสิ กลางคืนเมื่อไม่มีพระจันทร์แล้ว ก็มืดสนิทมิใช่หรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูสีหน้าของอีกาไฟแล้วแอบหัวเราะอยู่ในใจ ด้านหนึ่งเดินเข้าเรือนไปด้านหนึ่งว่า “ถูกแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าอย่าจำกลับกันล่ะ เจ้าเป็นอสูรวิญญาณของข้า ดังนั้นของของเจ้าก็คือของของข้า ของของข้ายังเป็นของของข้า”

 

 

อีกาไฟ…

 

 

“ไห่อิง ไห่เอี้ยน ขอสุราสองขวดให้ข้า!” อีกาไฟเตรียมไปยืมสุราดับทุกข์แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินยังไม่ได้เดินเข้าห้อง จึงหยุดลงมา เอ่ยกับสาวใช้ฝาแฝดว่า “ไปเปิดประตูเถอะ”

 

 

หลายวันมานี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในตระกูลหวังไม่น้อยเข้ามาคารวะไม่ขาดสาย หรือไม่ก็ใช้เด็กรับใช้ส่วนตัวเชิญมั่วชิงเฉินไปแลกเปลี่ยนความรู้ในการบำเพ็ญเพียร สำหรับการนี้ไห่อิงไห่เอี้ยนไม่แปลกใจแล้ว ได้รับคำสั่งจึงรีบเดินไปเปิดประตูลานบ้าน

 

 

ผู้ที่มาใส่ชุดสีน้ำเงิน ดวงตาล่อกแล่กคู่หนึ่งกวาดไปมาบนตัวสาวใช้ฝาแฝด แล้วถึงยืนยิ้มอยู่หน้าประตูว่า “แม่นางมั่ว”

 

 

“คุณชายสิบเจ็ด เชิญเข้ามาเถอะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้าเป็นการคำนับกลับ ใจคิดว่าในที่สุดก็มาจนได้

 

 

คุณชายสิบเจ็ดส่ายหน้าหัวเราะว่า “ข้าน้อยก็ไม่เข้าไปแล้ว แม่นางมั่ว ข้าน้อยได้รับการไหว้วานให้มาน่ะ พี่สี่เตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ ที่สวนปี้ซิ่วไว้นานแล้ว ขอให้แม่นางมั่วให้เกียรติด้วย”

 

 

“ไม่ทราบกำหนดไว้เวลาใด?” มั่วชิงเฉินถามด้วยสีหน้าสงบ

 

 

ฟังมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ คุณชายสิบเจ็ดก็โล่งอก รีบเอ่ยว่า “กำหนดไว้ยามบ่าย แม่นางแม่หากไม่มีธุระอะไร ไม่สู้เราก็ไปพร้อมกัน?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมา ยังไม่ได้พักสักอึดใจ เอาอย่างนี้คุณชายสิบเจ็ดไปก่อนก้าวหนึ่ง อีกครู่ข้าก็ไปแล้ว”

 

 

“เช่นนั้นได้ เช่นนั้นได้ ขอเพียงแม่นางมั่วไปก็พอ หึๆ ถึงเวลาให้สาวใช้สองคนนี้นำทางให้เจ้าก็ได้” คุณชายสิบเจ็ดพูดพลางเหล่สาวใช้สองคนอีกปราดหนึ่ง นี่ถึงลาจากไป

 

 

มั่วชิงเฉินดูออกอย่างชัดเจนว่าพี่น้องสองสาวหน้าถอดสี ในใจถอนใจเสียงหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไรก็เข้าห้องไปแล้ว

 

 

ศาลาที่หนึ่งในสวนปี้ซิ่ว คุณชายสี่กำลังพูดกับเด็กรับใช้ที่ใบหน้าธรรมดาไม่มีอะไรเด่นคนหนึ่งว่า “จัดการเสร็จหมดหรือยัง?”

 

 

“คุณชายวางใจ ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้วขอรับ” เด็กรับใช้ตอบ