ตอนที่ 177 ดอกท้อในส่วนลึกช่างงดงาม

พันธกานต์ปราณอัคคี

“แม่นางมั่ว ข้างหน้าตรงนั้นก็คือสวนปี้ซิ่วแล้วเจ้าค่ะ” ไห่เอี้ยนในสาวใช้ฝาแฝดเอ่ย

 

 

คบหามาหลายวัน มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้วว่าพี่สาวชื่อไห่อิง ร่างเริงเปิดเผยสักหน่อย น้องสาวชื่อไห่เอี้ยว สุขุมรอบคอบสักหน่อย ถึงบัดนี้แม้นางจะแยกทั้งสองคนจากรูปโฉมไม่ได้ ทว่าหากเปิดปากปุ๊บ ก็สามารถแยกแยะจากน้ำเสียงและท่าทางเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างได้

 

 

“สวนปี้ซิ่วนี้ ก็ไม่ห่างจากหอว่างไห่สักเท่าไร” มั่วชิงเฉินพูดตามสบาย

 

 

ไห่อิงยิ้มว่า “นั่นน่ะสิเจ้าคะ ทั้งสองที่นี้ล้วนเป็นสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเข้มข้น สร้างอยู่บนแหล่งปราณวิญญาณสายเดียวกันเจ้าค่ะ”

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูท่าฐานะของคุณชายสี่ผู้นั้นในตระกูลหวังไม่ธรรมดาจริงๆ

 

 

สองวันก่อนคุณชายหกก็เล่าให้นางฟังแล้ว ตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน ท่านหนึ่งคือท่านหัวหน้าตระกูลที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ปกติจะสนใจเพียงเรื่องสำคัญเท่านั้น เรื่องทั่วไปจึงให้ปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นอีกท่านหนึ่งดูแล

 

 

ส่วนคุณชายสี่ นับว่าเป็นชนรุ่นหลังสายตรงของปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นท่านนั้น บวกกับพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ได้รับความรักใคร่มาก ฐานะของเขาในตระกูลย่อมสูงขึ้นตามด้วย นับว่าเป็นคนที่โด่งดังที่สุดในรุ่นของพวกเขา

 

 

ระดับก่อแก่นปราณระยะต้น มั่วชิงเฉินย่อมสู้ไม่ได้เป็นธรรมดา ทว่ามีสมบัติวิเศษตามธรรมชาติไหมเกล็ดน้ำแข็งอยู่ในมือ หากเกิดเรื่องขัดแย้งกันก็มั่นใจว่าจะหนีจากเงื้อมมือเขาได้ นางก็อาศัยสิ่งนี้ถึงกล้ามาตระกูลหวังโดยลำพังคนเดียว ทว่าหากไม่ถึงสุดท้าย นางไม่มีทางใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งเด็ดขาด

 

 

สมบัติวิเศษและอาวุธเวท สามารถแยกแยะได้จากแสงวิญญาณที่เปล่งออกจากตัวพวกมันเอง เมื่อไหมเกล็ดน้ำแข็งปรากฏออกมา ทุกคนในตระกูลหวังก็จะเห็นได้ว่านางใช้สมบัติวิเศษ ส่วนสมบัติวิเศษที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานใช้ได้ย่อมต้องเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติอยู่แล้ว

 

 

คนตายเพราะละโมบนกตายเพราะตะกละ ต่อให้คนหนุนหลังมั่วชิงเฉินใหญ่โตเพียงไหน เกรงว่าทุกคนในตระกูลหวังก็ต้านความเย้ายวนของสมบัติวิเศษตามธรรมชาติไม่ได้ รวมทั้งหัวหน้าตระกูลหวังที่ปฏิบัติต่อนางอย่างค่อนข้างให้เกียรติผู้นั้นด้วย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรประลองวิชาเวทกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณคิดจะโดดเด่นเหนือผู้อื่น อาศัยยันต์เป็นหลัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอาศัยอาวุธเวทเป็นหลัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอาศัยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นหลัก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อก่อนปราณสิ่งที่อาศัยก็คือสมบัติวิเศษ โดยเฉพาะสมบัติวิเศษประจำตัวที่บ่มเพาะอยู่ในตันเถียน ยิ่งหล่อเลี้ยงบ่มเพาะนาน อานุภาพก็ยิ่งแข็งแกร่ง ปกติเป็นสิ่งตัดสินความสูงต่ำของพลังความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับชั้นเดียวกัน

 

 

ด้วยเหตุนี้จึงรู้ได้ว่า สมบัติวิเศษตามธรรมชาติที่ทัดเทียมกับสมบัติวิเศษประจำตัวมีแรงดึงดูดมากเพียงใดต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว

 

 

โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้แล คนที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์มีมากมาย เพราะผลประโยชน์ของการแหกกฎเทียบไม่ได้กับสิ่งชดเชยที่ต้องเสียไป สิ่งชดเชยนี้รวมทั้งสิ่งที่อยู่ในที่แจ้ง และก็รวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย

 

 

ส่วนเมื่อยามที่ผลประโยชน์ที่ได้จากการแหกกฎมากกว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาก พูดได้เพียงว่าคนที่ยังสามารถไม่สะดุ้งสะเทือนได้มีเพียงคนส่วนน้อยมากเท่านั้น

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งได้แต่ใช้ในการหนีเอาชีวิตรอดในยามสุดวิสัยเท่านั้น และนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่มั่วชิงเฉินอยากได้ เพราะอย่างไรเสียการเดินทางมาตระกูลหวังหากต้องปิดฉากด้วยการที่นางหนีอย่างทุลักทุเล เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของมั่วหนิงโหรวดีขึ้นแต่อย่างใด กระทั่งยังจะนำการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งแย่มาให้

 

 

ดังนั้นเมื่อยามที่มั่วชิงเฉินรับรู้ว่าตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่านนั้น จึงรู้ว่าหากควบคุมสถานการณ์ได้ดี ไม่แน่ยังสามารถประหยัดเวลาได้ไม่น้อยทีเดียว

 

 

ก็ไม่รู้วันนี้ คุณชายสี่จะเชิญผู้ที่หนุนหลังเขาท่านนั้นออกมาหรือไม่?

 

 

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจพลางก็ถึงประตูใหญ่สวนปี้ซิ่วแล้ว

 

 

สามคนหนึ่งอีกาเพิ่งยืนนิ่ง ประตูใหญ่ก็เปิดดังเอี๊ยด คุณชายสี่เดินนำออกมาก่อน คุณชายสิบเจ็ดตามอยู่ข้างๆ ด้านหลังคือผู้ชายสองสามคนที่แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ หนึ่งในนั้นทำให้มั่วชิงเฉินชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าคือหยางปี้อู่คนเก็บมุก!

 

 

“แม่นางมั่วมาเยือน ช่างกันเกียรติแก่ข้าจริงๆ” คุณชายสี่ยิ้มเหมือนฟ้าใสเดือนกระจ่าง ชุดสีเหลืองสว่างชุดใหม่ยิ่งขับจนเขาสง่าดั่งต้นไม้หยกยามต้องลม

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ มั่วชิงเฉินก็นึกถึงนกยูงรำแพนหาง จึงอดเม้มปากยิ้มไม่ได้ “คุณชายสี่พูดจนข้ารู้สึกละอายใจไม่กล้าเข้าไปแล้ว”

 

 

เห็นลักยิ้มข้างปากมั่วชิงเฉินปรากฏรางๆ คุณชายสี่ใจสั่นไหว จึงพิจารณานางอย่างตั้งใจอีกปราดหนึ่ง ในใจแอบคิดว่าตั้งแต่เห็นแม่นางมั่วคนนี้ ก็หมายตาแต่ตบะของนาง ตัดสินใจจะบำเพ็ญเพียรคู่กับนาง ไม่คิดเลยว่าจะไม่ค่อยได้ใส่ใจรูปลักษณ์ของนางสักเท่าไร วันนี้นางยิ้มเช่นนี้ กลับเสน่ห์ล้นเหลือ หรือว่าการที่นางแต่งตัวไม่สะดุดตาเช่นนี้เพราะมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ จึงสังเกตรูปร่างท่วงท่าของมั่วชิงเฉินอีก จึงยิ่งรู้สึกว่านางในชุดเขียวช่างมีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ทันใดนั้นในใจก็คาดหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

มั่วชิงเฉินตามพวกคุณชายสี่ไม่กี่คนเดินเข้าสวนปี้ซิ่ว ในใจเริ่มตื่นเต้น อยากรีบเจอมั่วหนิงโหรวแทบทนไม่ไหว แต่ก็มีความรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกอีก ตาสองข้างคอยสอดส่องไปทั่ว

 

 

สวนปี้ซิ่วไม่สง่าเท่าหอว่างไห่ กลับมีความสวยงามประณีตเพิ่มขึ้นมา ไม่รู้ใช่เพราะมั่วชิงเฉินอคติหรือไม่ มักรู้สึกว่าในอากาศมีกลิ่นหอมของแป้งแต่งหน้าเพิ่มขึ้นมา ทำให้นางไม่สบายยิ่งนัก

 

 

เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไป ก็เห็นป่าท้อผืนหนึ่ง ดอกไม้แย่งกันเบ่งบาน สวยงามอร่ามตา

 

 

จิตตระหนักของมั่วชิงเฉินสะดุ้งทีหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตของนางกำลังระริกระรี้อยู่ในถุงอสูรวิญญาณ ส่งสัญญาณอย่างรุนแรงว่าจะออกมา

 

 

นางอดดีใจไม่ได้ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตที่ว่าง่ายเสมอมาผิดปกติเช่นนี้ หรือว่าอยากออกมาเก็บน้ำหวานจากดอกไม้แล้ว?

 

 

ตั้งแต่ได้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตมา เดิมทีนางนึกว่าจะสามารถกินน้ำผึ้งทิพย์รสโอชาได้เสียอีก ทว่าใครจะรู้ว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้นอกจากชอบกินโอสถที่ตนหลอมไว้เพื่อให้อสูรวิญญาณใช้โดยเฉพาะแล้ว ก็ไม่สนใจดอกไม้พวกนั้นเลย

 

 

ในเวลานั้นมั่วชิงเฉินถึงกับตะลึงงัน อีกทั้งเพราะลงจากเขาแล้วไม่อาจขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่หวังหน้าทารกผู้นั้นได้ จึงได้แต่ปล่อยมันไปตามสบาย

 

 

เพียงแต่บางทีก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ตนนี้ช่างดวงไม่เลวเลยจริงๆ ก่อนอื่นเลี้ยงอีกาที่มีอุดมการณ์จะเกาะคนอื่นกินตัวหนึ่ง ต่อมาก็เลี้ยงผึ้งไม่กี่ตัวที่เอาแต่กินโอสถไม่ยอมเก็บน้ำผึ้งอีก

 

 

มั่วชิงเฉินแอบปล่อยผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกมา แล้วก็เห็นผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนั้นถลาเข้าไปในป่าดอกท้อตามคาด

 

 

มั่วชิงเฉินกระดกมุมปาก ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตแม้ไม่มีพลังโจมตี ในด้านเก็บงำกลิ่นอายกลับโดดเด่นเป็นพิเศษ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นอกจากเห็นพวกมันเข้าโดยบังเอิญ มิเช่นนั้นลำพังใช้จิตตระหนักกวาดผ่านละก็ยากมากที่จะค้นพบความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณ จะเห็นพวกมันเป็นเพียงแมลงทั่วไปเท่านั้น

 

 

ทุกคนกำลังเดินอยู่ ทันใดนั้นสาวใช้อ้อนแอ้นอรชรกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามา เห็นทุกคนแล้วจึงรีบหลบไปอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นใส่ชุดสีเขียว คอระหงหลุบต่ำ ดวงตาสวยงามคู่นั้นกลับทนกวาดไปมาบนหน้าคุณชายสีไม่ไหว ใบหน้าเขินอายและดอกท้อละอ่อนต่างขับกันและกัน ดูคนงามกว่าดอกไม้เสียอีก กลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิรุนแรงนัก

 

 

“ซื่อสี่ ประเดี๋ยวไล่สาวใช้ที่ใส่ชุดเขียนนั่นออกไปจากสวนปี้ซิ่ว” คุณชายสี่ส่งเสียงทางจิตนิ่งเรียบ

 

 

หนึ่งในคนที่แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ตอบว่า “ขอรับ”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้สังเกตพวกนี้ หากแต่ตั้งใจพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัว ทันใดนั้นได้ยินเสียงส่งมาทางจิตว่า “อย่าดมดอกท้อ”

 

 

เป็นเสียงของหยางปี้อู่อย่างคาดไม่ถึง

 

 

เสียงที่ส่งมาทางจิตนี้ทั้งเบาทั้งเร็ว อีกทั้งยังสั้นและเรียบง่ายอีก เห็นชัดว่าด้วยตบะของหยางปี้อู่ กลัวว่าพูดมากไปจะถูกคนเห็นพิรุธได้

 

 

มั่วชิงเฉินใบหน้าไม่กระโตกกระตาก แอบกวาดสายตามองหยางปี้อู่ปราดหนึ่ง กลับเห็นเขาตาไม่ว่อกแว่ก ลักษณะเหมือนเด็กรับใช้ที่รักษากฎเกณฑ์

 

 

คำพูดนี้กลับทำให้นางไม่ค่อยเข้าใจแล้ว ยามที่เพิ่งปล่อยผึ้งวิญญาณออก เห็นพวกมันทะยานสู่ป่าดอกท้อ มั่วชิงเฉินยังอุตส่าห์สำรวจทีหนึ่ง กลับไม่พบว่าป่าดอกท้อมีสิ่งผิดปกติ ทว่าคำพูดของหยางปี้อู่ความนัยในความพูดกลับแอบสื่อว่าดอกท้อมีพิษดมไม่ได้ หรือว่าพิษนั้นจะแยบยลเพียงนี้ พูดตามหลักแล้ว พิษที่ยิ่งแยบยลก็ยิ่งล้ำค่า ต่อให้คุณชายสี่จะวางยาพิษก็เป็นไปไม่ได้ที่จะวางทั้งป่าดอกท้อกระมัง

 

 

ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ในใจมั่วชิงเฉินก็ระแวดระวังขึ้นเล็กน้อย

 

 

คุณชายสี่นำมั่วชิงเฉินเดินสู่ส่วนลึกของป่าดอกท้อ พลางเดินพลางหัวเราะว่า “แม่นางมั่ว เจ้าดูป่าท้อผืนนี้ของข้าเป็นเช่นไร?”

 

 

“งามเกินคำบรรยาย” มั่วชิงเฉินชมจากใจ

 

 

คุณชายสี่ยิ้มอย่างได้ใจ “แม่นางมั่วเจ้าดูทางนั้น”

 

 

มั่วชิงเฉินมองไป ไม่ห่างออกไปมีต้นท้อแก่ต้นหนึ่ง ขนาดลำต้นคาดคะเนด้วยสายตาคนสิบกว่าคนก็เกรงว่าจะล้อมไม่มิด เฉพาะเจาะจงความสูงยังไม่เท่าต้นท้อธรรมดาที่อยู่รอบๆ ดังนั้นหากไม่เดินมาถึงที่นี่ก็มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง

 

 

ต้นท้อแก่ใหญ่และเตี้ย ดอกไม้ก็ไม่ได้สวยงามเท่าต้นท้อรอบๆ ดอกท้อแต่ละดอกกลับเปล่งแสงวิญญาณรางๆ กิ่งท้อประสานกันแน่นขนัด รวมกันเป็นเมฆสีแดงผืนใหญ่เหมือนอยู่ในความฝัน หมอกวิญญาณปกคลุมระหว่างใบสีมรกต เหมือนต้นไม้เซียนที่ถูกลืมไว้ในแดนมนุษย์

 

 

มั่วชิงเฉินเบิกตาแผ่วเบา ต้นท้อแก่นี้ดูท่าทางเกรงว่าต้องมีหลายพันปีแล้วกระมัง

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินชะงัก ในตาคุณชายสีฉายแววได้ใจ ปากกลับเอ่ยว่า “ต้นท้อต้นนี้บรรพบุรุษตระกูลหวังเราปลุกเองกับมือยามที่เพิ่งมาถึงทะเลขนาบใจ แม้ไม่ใช่ของเซียนอะไร ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับอยู่มาจนบัดนี้ นับแล้วก็มีหลายพันปีแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาต้นท้อแก่อย่างละเอียดยิ่งขึ้นปราดหนึ่ง พบว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวของตนนั้นกำลังยุ่งอยู่ตามคาด

 

 

ดูท่าทางผึ้งวิญญาณเลือดมรกตปากสูงทีเดียวนะ น่าเสียดายสวนสมุนไพรพกพามีเพียงพืชวิญญาณที่อยู่รอดได้ อสูรวิญญาณหากเข้าไปจะต้องตาย พวกมันไม่สามารถเข้าไปเก็บน้ำผึ้งได้

 

 

“แม่นางมั่ว เชิญนั่ง” คุณชายสี่ยื่นมือออกว่า

 

 

มั่วชิงเฉินถึงเห็นโต๊ะยาวกระจ่างใต้ต้นท้อตัวหนึ่ง สองข้างวางเก้าอี้สีเดียวกันไว้

 

 

“ตะลึงต้นไม้เซียนนี้จนมองไม่เห็นสิ่งอื่นแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มพลางเข้าที่นั่ง

 

 

คุณชายสี่ถึงนั่งลง คุณชายสิบเจ็ดนั่งลงข้างๆ

 

 

ทั้งสามคนต่างนั่งลง คุณชายสี่ยื่นมือตบสองที ก็เห็นสาวใช้เสื้อขาวกระโปรงชมพูยกถาดเรียงกันมา แล้วถอยลงไปอีกเหมือนสายน้ำ พริบตาเดียวบนโต๊ะยาวก็วางอาหารรสโอชาเต็มไปหมด

 

 

นิ้วมือเรียวยาวของคุณชายสี่หนีบขวดสุราไว้ เทสุราทิพย์สามจอกนิ่งๆ แล้วยกขึ้นจอกหนึ่งตามสะดวกว่า “แม่นางมั่ว การทดสอบของเราราบรื่นเช่นนี้ เป็นผลงานของแม่นางไม่น้อย ข้าน้อยขอดื่มให้ก่อนเป็นการให้เกียรติ” พูดพลางแหงนหน้าดื่มลงไป พลิกจอกสุรา ให้มั่วชิงเฉินดูก้นจอก

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มพลางยกสุราขึ้นจอกหนึ่ง พูดคำพูดตามมารยาทแล้วดื่มหมดจอกเช่นกัน

 

 

แข่งดื่มสุรา นางไม่กลัวใครหรอกนะ ยิ่งกว่านั้นหากจะทำอะไรในสุรา ยิ่งปิดนางไม่ได้

 

 

สุรารสต่างกัน เป็นเพียงวัตถุดิบในการหมักต่างกันจึงก่อให้เกิดสัมผัสที่ต่างกัน ทว่าหากเพิ่มยาเข้าไป การเปลี่ยนแปลงของรสชาติเช่นนั้นคนธรรมดาแยกแยะไม่ออก นางที่ช่ำชองวิชาหมักสุรากลับเพียงชิมดูก็รู้ทันที

 

 

ไม่ต่างจากที่มั่วชิงเฉินคาดไว้ คุณชายสี่ไม่ได้โง่ถึงขนาดใส่อะไรไว้ในสุรา

 

 

ทั้งสามเพิ่งดื่มหมดจอกแรก คุณชายสี่กำลังคิดจะใช้คารมคมคายสำแดงวิชาเกี้ยวสาวที่ไม่เคยไม่ราบรื่นมาก่อน กลับเห็นเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

คุณชายสี่ขมวดคิ้ว “บอกแล้วว่าไม่มีธุระห้ามมารบกวนมิใช่หรือ?”

 

 

บ่าวรับใช้ฝืนพูดว่า “เรียนคุณชายสี่ คุณชายหกมาขอรับ”

 

 

“ให้เขากลับไป บอกเขาว่าวันนี้ข้ามีธุระ” คุณชายสี่หน้าบึ้งขึ้นมา

 

 

เด็กรับใช้ฝืนอีกว่า “ยังมีคนที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง คุณชายหกบอกว่าเป็นแขกสำคัญที่พักอยู่ที่หอว่างไห่ขอรับ”

 

 

คุณชายสี่โมโหสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง สะบัดเด็กรับใช้ออกไปไกล “เหตุใดเจ้าไม่พูดให้จบในคราเดียว ยังไม่รีบไปพาเข้ามาอีก”