ตอนที่ 178 คลับคล้ายคลับคลาว่าคนบ้านเดียวกัน

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเหลือบมองสีหน้าบึ้งตึงของคุณชายสี่ แล้วเม้มปากยิ้ม นางว่าแล้วว่านางมาสวนปี้ซิ่วคุณชายหกต้องมีความเคลื่อนไหวเป็นแน่ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเชิญผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ที่พักอยู่ที่หอว่างไห่เช่นกันมาด้วย คิดว่าน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นกระมัง

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินที่ไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์มาก่อนในใจก็คาดหวังยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ นี่มีวิธีการบำเพ็ญเพียรที่ต่างกับผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าของพวกเขาโดยสิ้นเชิงเลยนะ หากแลกเปลี่ยนความรู้กันสักครา ไม่แน่อาจจะมีผลพลอยได้ก็ได้นะ

 

 

ไม่นานนัก ก็เห็นเด็กรับใช้คนนั้นเดินนำผู้ชายสองคนมา

 

 

คนหนึ่งในนั้นใส่ชุดเขียวธรรมดา ย่อมต้องเป็นคุณชายหกอยู่แล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งชุดเขียวทั้งชุดเช่นกัน กลับเป็นชุดยาวที่สีอ่อนกว่าสักหน่อย ผมผูกด้วยผ้าสี่เหลี่ยมสีเดียวกัน ใส่รองเท้าผ้าสีดำพื้นขาว แต่งตัวลักษณะเหมือนบัณฑิตแบบดั้งเดิม

 

 

บัณฑิตคนนี้หน้าผากอิ่มเอิบ ดั้งจมูกสูงเป็นสัน ทำให้คนมองดูแล้วรู้สึกถึงความมีคุณธรรม ดันมีดวงตาทั้งโตทั้งดำคู่หนึ่ง บดบังความรู้สึกยุติธรรมเกินไปไว้ กลับกันให้ความรู้สึกไร้เดียงสาและฉลาดเฉลียวแบบเด็กเล็กน้อย เป็นผู้ชายที่ดูแล้วอายุน้อยมากคนหนึ่ง

 

 

ในพริบตาที่มั่วชิงเฉินเห็นหน้าบัณฑิตอย่างชัดเจน ก็ชะงักในทันใด

 

 

คนคนนี้ นางเคยพบมาก่อน!

 

 

ในปีนั้น มั่วหนิงโหรวพานางไปไกวชิงช้า สุดท้ายมั่วหนิงโหรวไม่ระวังตกจากบนชิงช้าออกไปนอกกำแพง ตนกระโดดตามลงไป แล้วก็มีชายหนุ่มสามคนวิ่งมาช่วย ตนพอดีถูกบัณฑิตน้อยคนหนึ่งรับไว้

 

 

กาลเวลาผ่านไป พริบตายี่สิบหกปีผ่านไป บัณฑิตยังคงรูปโฉมดังเดิม เพียงแต่ความไร้เดียงสาหายไปเท่านั้น นางที่ความจำดียิ่งย่อมจำได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว

 

 

ในชั่วเวลาหนึ่ง มั่วชิงเฉินฟังไม่ถนัดว่าไม่กี่คนนี้พูดอะไรอยู่ เพียงเพราะในใจนางเกิดความรู้สึกน่าพิศวง

 

 

ยามอายุแปดขวบ นางและมั่วหนิงโหรวมีวาสนาได้พบหน้าบัณฑิตคนนี้ครั้งหนึ่งนอกกำแพงจวนตระกูลมั่วพร้อมกัน จากนั้นตระกูลมั่วมีภัย พี่น้องสองคนต่างคนต่างเจอกับสภาพการณ์ที่ต่างกัน ทว่ากลับได้มารวมกันอีกครั้ง ที่ตระกูลหวังในทะเลขนาบใจหลังจากนั้นยี่สิบกว่าปี นี่ คือวาสนาประเภทไหนกันแน่?

 

 

วาสนาการพานพบระหว่างคนและคน คือเหตุในชาติก่อนก่อให้เกิดผลในชาตินี้ใช่หรือไม่นะ?

 

 

ทางแห่งผลกรรม ทางแห่งผลกรรม สี่คำนี้ปรากฏขึ้นในใจมั่วชิงเฉินซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

รู้แจ้งหลายครั้ง นางเคยตริตรองถึงทางแห่งธรรมชาติ ทางแห่งความเป็นตาย บัดนี้ก็รู้แจ้งเกี่ยวกับทางแห่งผลกรรมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

หรือว่าเมื่อยามนางมีโอกาสรู้แจ้งถึงทางแห่งสังสารวัฏ ทางแห่งความว่างเปล่าต่างๆ ถึงสามารถตระหนักถึงทางที่ตนต้องเดินกระมัง

 

 

“แม่นางมั่ว แม่นางมั่ว…” คุณชายสี่เห็นมั่วชิงเฉินจ้องบัณฑิตหนุ่มตะลึงงัน สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

คุณชายหกก็แอบแปลกใจ แม่นางมั่วผู้นี้เหตุใดจึงมองผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์คนนั้นตาไม่กะพริบ เอาเถอะ แม้เขาไม่ยอมรับไม่ได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์นั่นมีบุคลิกที่หาไม่ได้บนตัวผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าทั่วไป ทำให้เขาดูแล้วต่างจากคนอื่น ทว่าด้วยนิสัยของแม่นางมั่ว ไม่น่าใช่หญิงสาวที่จะถูกยั่วยวนได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกกระมัง

 

 

ได้ยินเสียงเรียกขอวคุณชายสี่มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา ยิ้มให้พวกเขาอย่างอักอ่วนเล็กน้อย ในใจกลับตัดสินใจจะไม่พูดถึงเรื่องอดีต เพราะอย่างไรเสียปีนั้นมีโอกาสเจอกันเพียงครั้งเดียว ได้คุยกันน้อยมาก เดิมทีก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงอยู่แล้ว อีกอย่าง คนเขาเกรงว่าก็จำแม่นางน้อยอายุแปดขวบเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้กระมัง

 

 

“แม่นางมั่วสวัสดี” บัณฑิตทักทายอย่างมีมารยาท ราวกับอาการเสียกิริยาเมื่อครู่ของมั่วชิงเฉินไม่ได้เกิดขึ้นมาก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินคารวะกลับอย่างเกรงใจเช่นกัน ทุกคนนั่งลงใหม่

 

 

“วันนี้ช่างเป็นเกียรติแก่สวนปี้ซิ่วของข้าจริงๆ มีแขกสำคัญมาติดต่อกันถึงสองท่าน คุณชายหลี่ ข้าน้อยเลื่อมใสท่านและอาจารย์ของท่านมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้พบมาตลอด วันนี้ดีที่ได้น้องหกแล้ว” คุณชายสี่กลับมาใจเย็น พูดจาถูกกาลเทศะดังเดิม

 

 

เมื่อมั่วชิงเฉินประสานสายตากับคุณชายหก คุณชายหกก็พยักหน้าเบาๆ ให้นาง จึงอดแอบหัวเราะในใจไม่ได้ว่าเป็นแผนของคุณชายหกจริงๆ ด้วย เพียงแต่สองวันก่อนคุณชายหกยังบอกว่าไม่รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์สองท่านที่หอว่างไห่อยู่แลย วันนี้ตกลงใช้วิธีอันใดกันแน่ถึงเชิญคุณชายหลี่ท่านนี้มาสวนปี้ซิ่วได้นะ?”

 

 

ความสงสัยของนางถูกแก้อย่างรวดเร็ว คุณชายสี่เพิ่งพูดเสร็จ คุณชายหลี่ก็เอ่ยว่า “คุณชายสี่เกรงใจไปแล้ว ข้าได้ยินคุณชายหกบอกว่าในสวนของท่านนี้มีต้นท้ออายุมากกว่าพันปีต้นหนึ่ง ยามนี้เป็นยามดอกไม้เบ่งบาน หึๆ ยังขอให้คุณชายสี่อย่าหัวเราะเยาะ คนเช่นข้านี่เมื่อได้ยินว่ามีทิวทัศน์สวยสาวงามอะไรที่ไหน ไม่ไปดูให้เห็นกับตาสักทีในใจก็จะรู้สึกคันคะเยอไม่หาย”

 

 

ทิวทัศน์สวยสาวงาม…เอาเถอะ เด็กคนนี้ช่างซื่อสัตย์จริงๆ มั่วชิงเฉินแอบพูดในใจ

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ คุณชายสิบเจ็ดก็ตาเป็นประกาย แอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ ข้าว่าคุณชายหลี่คนนี้น่าจะค่อนข้างชอบอิสตรี เหตุใดท่านไม่เรียกสาวงามในสวนปี้ซิ่วพวกนั้นออกมาร้องรำทำเพลงสักครา หากสามารถสร้างสัมพันธ์กับเขาได้ ท่านหัวหน้าตระกูลอาจไม่แทรกเรื่องของท่านกับแม่นางมั่วก็ได้”

 

 

คุณชายสี่ใจหวั่นไหวทันที คุณชายหลี่คนนี้แม้มีตบะระดับสร้างรากฐาน อาจารย์ของเขากลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ท่านหัวหน้าตระกูลค่อนข้างให้เกียรติอาจารย์เขา สองคนเคยปิดประตูคุยกันสามวันไม่ออกมา เห็นได้ชัดว่าหวังจะอาศัยการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้บำเพ็ญเพียรในแขนงอื่นๆ เพื่อเกิดการรู้แจ้ง บรรลุทางแห่งการก่อกำเนิด

 

 

หากมีสัมพันธ์อันดีกับคุณชายหลี่ เรื่องที่ตนวางแผนก็ยิ่งมั่นใจขึ้นแล้ว

 

 

นึกถึงตรงนี้คุณชายสี่ตบมือ ยิ้มว่า “คุณชายหลี่ช่างเป็นคนเปิดเผยที่หาได้ยากในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรจริงๆ มีดอกไม้ไม่มีสุราพูดได้ว่าไร้รสชาติ มีสุราไม่มีคนพูดได้ว่าไม่สนุก เช่นนั้นก็ให้พวกเราดื่มสุราชมดอกไม้ดูร่ายรำด้วยกันเป็นเช่นไร?”

 

 

พูดจบก็ไม่รอคุณชายหลี่ตอบรับ ก็ปล่อยสัญญาณออกไปสายหนึ่ง ทันใดนั้นเห็นหญิงสาวเกล้าผมทรงเมฆาในชุดชาววังกลุ่มหนึ่งเดินออกจากส่วนลึกในป่าท้อ บ้างร้องบ้างรำ เหมือนนางฟ้าจำแลง

 

 

คุณชายหลี่ชั่วเวลาหนึ่งดูจนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายแวววับ

 

 

คณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดประสานตากันหนึ่งยิ้ม มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูดไม่จา

 

 

คุณชายหกแอบร้อนใจ เดินทีเขานึกว่านำคุณชายหลี่มา แผนที่สู้หน้าคนไม่ได้ของหวังสี่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็จะใช้ไม่ได้แล้ว ทว่าไม่คิดว่าพวกเขากลับตั้งใจดึงคนคนนี้ให้เข้าเป็นพวก จึงอดแอบส่งเสียงทางจิตบอกเรื่องนี้แก่มั่วชิงเฉินไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินกลับตอบว่า “คุณชายหกไม่ต้องใจร้อน ข้ากลับรู้สึกว่าคุณชายหลี่คนนี้ไม่เหมือนคนประเภทนั้น”

 

 

คุณชายหกร้อนรนว่า “แม่นางมั่ว ความคิดของผู้ชายเจ้าไม่เข้าใจ…” พูดถึงตรงนี้รู้สึกตัวว่าล่วงเกินแล้ว จึงหยุดลง

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “คุณชายหก ผู้อยู่ภายนอกจะเห็นชัดเจนกว่า”

 

 

คุณชายหลี่ผู้นั้นแม้ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม ทว่าแววตาที่เขาดูสาวงามทั้งหลายกับต้นท้อต้นนั้นกลับไม่ต่างกัน พวกเขาที่เป็นผู้ชายแยกแยะไม่ออก ทว่าหญิงสาวที่จิตใจละเอียดอ่อนสามารถรับรู้ถึงความแตกต่างเช่นนี้ได้

 

 

คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินอารมณ์ไม่หวั่นไหวไปด้วย จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

 

 

หญิงสาวทั้งหลายร่ายรำเสร็จ ก็พรั่งพรูมาถึงหน้าโต๊ะ

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจามดังมากเสียงหนึ่ง ทุกคนชะงัก แล้วก็ได้ยินเสียงที่ไม่น่าฟังว่า “ไอยา ฉุนจนจะตายอยู่แล้ว!”

 

 

มั่วชิงเฉินตะเกียบกระตุกทีหนึ่ง เนื้อกระจกที่คีบขึ้นมาตกลงไป อีกาไฟช่างเป็นคนเก่งจริงๆ เลย นิ่งเงียบไม่ไหวติงเกาะอยู่บนไหล่ตนมาตลอด ในเวลาสำคัญกลับพูดเช่นนี้ขึ้นมา

 

 

บรรยากาศสวยงามอ้อนแอ้นที่เหล่าหญิงสาวนำมาถูกกวาดเกลี้ยงในพริบตา คุณชายสี่สีหน้าอึมครึม คุณชายสิบเจ็ดแอบด่าว่าเดรัจฉานขนแบน กลับติดแผนที่คุณชายสี่วางไว้ต่อมั่วชิงเฉินไม่กล้าพูดล่วงเกินอีก คุณชายหกกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ

 

 

คุณชายหลี่เบิกดวงตากลมโตคู่นั้นให้โตยิ่งขึ้น เอนตัวมาข้างหน้าว่า “นี่ นี่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นอีกาไฟชั้นสอง ช่างหายากจริงๆ เลย”

 

 

อีกาไฟหันหน้าไปอย่างไม่แยแส พอดีเห็นสีหน้าบึ้งตึงของคุณชายสิบเจ็ด อีกาไฟที่ถูกกลิ่นแป้งแต่งหน้าบนตัวหญิงสาวกลุ่มนั้นสุมจนไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งโกรธขึ้นมาทันทีว่า “มองอะไร ไม่เคยเห็นสาวงามหรือไร!”

 

 

คุณชายสิบเจ็ดแอบสูดลมอึดหนึ่ง อดทนแล้วอดทนอีกถึงกดความอยากลุกขึ้นอัดมันสักตั้งไว้

 

 

“อู๋เย่ว์ ทำได้ไม่เลว กลับไปทำน้ำองุ่นน้ำให้เจ้าดื่ม” มั่วชิงเฉินใช้จิตตระหนักคุยด้วย

 

 

อีกาไฟสะบัดขน “ข้าจะดื่มสุรา ดื่มสุราที่หมักจากผลองุ่นน้ำ”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบรับปาก แล้วพูดกับคุณชายหลี่ว่า “คุณชายหลี่ความรู้กว้างขวาง ถูกแล้ว ได้ยินว่าคุณชายหลี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ ข้าแปลกใจความแตกต่างของผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์และผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเรามาตลอด ไม่ทราบคุณชายหลี่เต็มใจพูดให้เราฟังหรือไม่?”

 

 

คุณชายหลี่ที่อิ่มบุญตาอีกทั้งสุราเลิศรสลงท้องเกิดอารมณ์อยากพูดแล้ว “ทุกท่านน่าจะรู้ว่าสิ่งที่แตกต่างที่สุดระหว่างพวกเราผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์และผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าก็คือเราไม่ต้องการรากวิญญาณ หากแต่เป็นปราณคัมภีร์ที่ติดตัวกระมัง?”

 

 

คุณชายหกละอายใจเล็กน้อย คุณชายสี่กลับว่า “ถูกต้อง นี่ก็เป็นส่วนที่ข้าน้อยแปลกใจ ไม่มีรากวิญญาณ พวกท่านดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้เช่นไรกันนะ?”

 

 

คุณชายหลี่โบกพัด “เราไม่ดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดิน หากแต่ดูดซับปราณแห่งความซื่อตรงและยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้นการบำเพ็ญเพียรของเราก็ไม่ใช่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว อ่านคัมภีร์ เขียนอักษร วาดภาพ หรือกระทั่งปลุกต้นไม้ใบหญ้า สิ่งต่างๆ ในการใช้ชีวิต ล้วนคือการบำเพ็ญเพียร อาจารย์เคยกล่าวไว้ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเน้นคือบำเพ็ญเพียรใจบำเพ็ญเพียรนิสัย บำเพ็ญเพียรทั้งกายใจ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรพระเน้นคือใจกระจ่างเห็นนิสัย สี่ธาตุล้วนว่างเปล่า ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์เราเน้นรักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอก…”

 

 

สิ่งที่พูดมาทำให้มั่วชิงเฉินตื่นตาตื่นใจ นางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารดูดซับปราณมารจากฟ้าดิน ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าดูดซับปราณวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจดูดซับปราณวิญญาณแล้วเปลี่ยนเป็นปราณปีศาจ กลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ดูดซับคือปราณแห่งความซื่อตรงและยิ่งใหญ่ ส่วนรักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอกที่เขาเอ่ยมา ยิ่งฟังจนงงงวย จึงอดถามออกมาไม่ได้ว่า “คุณชายหลี่  รักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอก หมายความว่าเช่นไร?”

 

 

“รักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ก็คือรักษานิสัยติดตัวแต่กำเนิด นิสัยพื้นฐานคนล้วนเมตตา ดังนั้นจึงต้องรักษาไว้อย่าให้หาย อย่าให้เปลี่ยนแปลงไปเพราะความปรารถนาที่เกิดขึ้นภายหลัง นี่ก็คือสิ่งที่เราต้องการ ส่วนปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอก…” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ คุณชายหลี่ก็เกาศีรษะ หัวเราะหึๆ ว่า “อาจารย์บอกว่าตามที่ตบะสูงขึ้นก็จะค่อยๆ สัมผัสได้เอง ให้ข้าอย่างคิดส่งเดชแล้ว”

 

 

นิสัยพื้นฐานคนล้วนเมตตา มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าคำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่ เต๋าที่นักปราชญ์ตั้งมั่นและของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าส่วนใหญ่ต่างกัน ทว่าเป้าหมายสุดท้ายกลับล้วนเป็นการบรรลุหนทางแห่งการมีชีวิตยืนยาว

 

 

นี่ไม่ถูกต้องนี่นา เต๋า มาร ปีศาจ พระ ปราชญ์ วิธีการของห้าแขนงใหญ่แห่งการบำเพ็ญเพียรต่างกันโดยสิ้นเชิง วัตถุที่ดูดซับจากฟ้าดินก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ศีลธรรมคุณธรรมที่แสวงหาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าจากปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่น ตนสรุปได้รางๆ ว่าถึงระยะแยกดวงจิตแล้วพวกเขาต่างเข้าสู่โลกวิญญาณเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นั่นมิใช่หนทางที่แตกต่างกันนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันหรอกหรือ?

 

 

หากเป็นเช่นนี้ จะแยกอะไรเต๋า มาร ปีศาจ พระ ปราชญ์ ไปเพื่ออะไร?

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกสงสัย จึงถามคำถามคุณชายหลี่อีกหลายคำถาม ส่วนคุณชายหลี่เมื่อสุราทิพย์ลงท้อง ก็ค่อยๆ พูดมากขึ้นมา ตอบอย่างตั้งใจและเวลาเดียวกันยังถามคำถามมั่วชิงเฉินไม่น้อยอีก ในชั่วเวลาหนึ่ง สองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

 

 

พวกคุณชายสี่เมื่อเพิ่งเริ่มต้นยังตั้งใจฟังอยู่ ถึงตอนหลังเห็นสองคนยิ่งคุยยิ่งสนุก หัวข้อวนเวียนอยู่ที่เต๋า ปราชญ์สองแขนงยิ่งคุยยิ่งกว้าง จึงอดกลัดกลุ้มขึ้นมาไม่ได้

 

 

“พี่สี่ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะ ขืนพูดต่อไป เจ้านั่นมิใช่จะเปลี่ยนจากแขกจะกลายเป็นเจ้าบ้านแล้วหรอกหรือ?” คุณชายสิบเจ็ดส่งเสียงทางจิตว่า

 

 

คุณชายสี่ไม่คิดขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือหรอกนะ จึงรีบพูดแทรกว่า “สิ่งที่คุณชายหลี่พูดช่างทำให้พวกเราเปิดโลกทัศน์จริงๆ มา มา ข้าขอคารวะคุณชายหลี่หนึ่งจอก”

 

 

คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดผลัดกันคารวะเสร็จ คุณชายสี่ใบ้ให้หญิงสาวทั้งหลายเข้าไปคารวะสุราอีก ถูกคุณชายหลี่รีบห้ามไว้ว่า “สาวงามมองได้เพียงไกลๆ ให้คารวะสุราก็แปดเปื้อนแล้ว ไม่ต้อง ไม่ต้อง”

 

 

“บัณฑิตจนคร่ำครึ!” คุณชายสี่แอบด่า

 

 

มั่วชิงเฉินกลับเห็นตาสีดำสะอาดบริสุทธิ์ของคุณชายหลี่ฉายแววเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง

 

 

คุณชายสิบเจ็ดกลอกตา ยิ้มว่า “คุณชายหลี่ พวกเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ต้องมีปราณคัมภีร์ คิดว่าคงเหมือนบัณฑิตในโลกฆราวาสเชี่ยวชาญโคลงฉันท์กาพย์กลอน เอาอย่างนี้ก็แต่งกลอนเกี่ยวกับทิวทัศน์อันสวยงามเบื้องหน้าสักบท จะได้เป็นที่ระลึกในการสังสรรค์ครั้งนี้ท่านว่าเป็นเช่นไร?”

 

 

คุณชายสี่รีบตบมือ “น้องสิบเจ็ดพูดถูก คุณชายหลี่ว่าดอกท้อสุราเลิศรสสาวงามของข้าที่นี่ จะปลุกอารมณ์กวีของคุณชายขึ้นมาได้หรือไม่นะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มมุมปากแผ่วเบา รู้ว่าสองคนนี้เห็นคุณชายหลี่ปฏิเสธไม่ดื่มสุราจึงจงใจทำให้ลำบากใจ ทว่าในใจก็แปลกใจการกระทำของคุณชายหลี่เช่นกัน จึงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ดูความครึกครื้น

 

 

ดวงตากลมโตคู่หนึ่งของคุณชายหลี่โค้งลง กลิ่นอายสุรากลับย้อมแก้มให้เป็นสีแดงระเรื่อ

 

 

เห็นเพียงเขาพลิกข้อมือ ในมือปรากฏพู่กันใหญ่ขึ้นด้ามหนึ่ง ต่อจากนั้นกระดาษข้าวยาวหนึ่งจั้งกว่าใบหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

 

 

คุณชายหลี่เดินไปถึงหน้ากระดาษ ยกพู่กันขึ้นแล้วเขียนดั่งน้ำไหล ถึงสุดท้ายพู่กันใหญ่บินออกไปขีดขีดสุดท้ายลง กระดาษข้าวทั้งใบเปล่งแสงวิญญาณแวบหนึ่ง แล้วตกเข้ามาในมือ

 

 

พวกคุณชายสี่ไม่กี่คนเดินขึ้นไป เริ่มแรกสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความตกใจ ถึงสุดท้ายกลายเป็นความตะลึงพรึงเพริด

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ อดลุกขึ้นเดินเข้าไปไม่ได้

 

 

เห็นเพียงลายมือหวัดบนกระดาษนั่นเหมือนมังกรเหินหงส์ร่ายรำ อิสระสง่างาม อ่านเพียงวรรคแรกของบทกลอนบนกระดาษ มั่วชิงเฉินก็เหมือนถูกฟ้าผ่า รู้สึกเพียงว่าในสมองดังโครมคราม

 

 

“กระท่อมดอกท้อในเถาฮวาวู่ เซียนดอกท้อในกระท่อมดอกท้อ

 

 

เซียนดอกท้อปลูกต้นท้อ เด็ดกิ่งดอกท้อแลกสุรา

 

 

สร่างสุรานั่งลงหน้าดอกท้อ เมาสุรายังมานอนใต้ดอกท้อ

 

 

ครึ่งเมาครึ่งตื่นวันซ้ำวัน ดอกท้อร่วงดอกท้อบานปีซ้ำปี…”

 

 

คุณชายหกเคลิบเคลิ้ม พึมพำอ่านบทกลอนจนจบ แล้วอดตบมือชื่นชมไม่ได้ “กลอนดี ช่างเป็นกลอนดีจริงๆ!”

 

 

มั่วชิงเฉินดวงตาที่งดงามคู่นั้นจับจ้องคุณชายหลี่ไม่กะพริบ สีหน้าที่พยายามสงบใจยากจะปิดบังความตกตะลึงในใจ กลอนที่มีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ ต่อให้นางมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาหลายสิบปี แต่จะให้ลืมไปได้อย่างไร

 

 

นี่คือกลอนกระท่อมดอกท้อของถังปั๋วหู่[1]นี่นา ในโลกนั้น ขอเพียงเป็นคนที่มีความรู้พื้นฐานทางวรรณคดีเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีทางจำผิดได้!

 

 

หรือว่าในโลกนี้ วิญญาณเดียวดายที่มาจากต่างโลกไม่ได้มีเพียงนางคนเดียว?

 

 

มั่วชิงเฉินมองคุณชายหลี่ เขาที่เขียนกลอนบทนี้ลงมากลับสีหน้าไม่สะทกสะท้าน มีความรู้สึกสะใจที่ได้แต่งกลอนระบายความตื้นตันในใจหลังลิ้มลองสุรา

 

 

ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกไม่พอใจแวบหนึ่ง หากคนคนนี้มาจากที่เดียวกัน การขโมยผลงานของคนอื่นอย่างเปิดเผยเช่นนี้แล้วยังไม่รู้สึกละอายใจอีก จิตใจจะเข้มแข็งเกินไปสักหน่อยแล้ว

 

 

ท่ามกลางการจ้องมองด้วยสายตาเป็นประกายของมั่วชิงเฉิน คุณชายหลี่กระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง โคนหูค่อยๆ แดงขึ้นมา

 

 

“แม่นางมั่ว” คุณชายหกเตือนเบาๆ ไม่เข้าใจว่าวันนี้มั่วชิงเฉินเป็นอะไรไป เหตุใดถึงเสียกิริยาต่อหน้าคุณชายหลี่บ่อยครั้ง ทันใดนั้นกลับสะดุ้งเฮือก หรือว่านางพึงใจต่อคุณชายหลี่ตั้งแต่การพบกันครั้งแรกจริงๆ?

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้เบนสายตาออก ในใจลังเลชั่วครู่ ยังคงทนไม่ไหวว่า “กลอนนี้ช่างงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในเวลาสั้นเช่นนี้สามารถแต่งผลงานวิจิตรที่เข้ากับสถานการณ์ได้เช่นนี้ คุณชายหลี่ช่างทำให้ชิงเฉินนับถือจริงๆ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ถังปั๋วหู่ หรือ ถังป๋อหู เป็นกวี จิตรกร ที่เลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์หมิง