บทที่ 125 ไม่เกี่ยวกับพวกข้า + บทที่ 126 ถอยเพื่อบุก Ink Stone_Romance
บทที่ 125 ไม่เกี่ยวกับพวกข้า
แรกเริ่มเดิมทีนั้นหยางซิ่วเอ๋อร์ยังคงทำตามแผนการที่นางวางไว้ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาเสียแล้ว เรื่องราวมันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ ไม่ เจ้าไม่กลัวการถูกลงโทษหรือ?” หยางซิ่วเอ๋อร์จ้องมองข้ารับใช้ผู้นั้นด้วยความไม่เชื่อ ความมั่นใจที่นางเคยมีเองก็ถูกหนิงเมิ่งเหยามองเป็นเรื่องตลกไปแล้วเมื่อคราวก่อน
นางรู้ว่าถ้าหากพวกเขาไม่ช่วยนาง เช่นนั้นชีวิตนางก็คงจบสิ้นแล้ว
ข้ารับใช้หัวเราะเสียงดังอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นสีหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์ “ถูกลงโทษหรือ? แล้วเจ้าล่ะ? เพียงแค่เพราะเจ้าต้องการแก้แค้นและต้องการเงิน เจ้าจึงเลือกที่จะทำร้ายชาวบ้านซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับตัวเจ้าเอง มิหนำซ้ำนางนั้นก็ยังเคยเป็นเพื่อนของเจ้าเสียอีก ควรเป็นข้าต่างหากที่ถามเจ้าว่าเจ้าไม่กลัวถูกลงโทษหรือ?”
คำพูดของข้ารับใช้นั้นเป็นเหมือนดั่งฝันร้าย วนเวียนอยู่ในจิตใจของหยางซิ่วเอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะตัวนางเอง นางจะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นตอนนี้หรือ?
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะระวังตัวแล้วทำเหมือนกับว่าเหตุร้ายครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” ข้ารับใช้พูดจาเยาะเย้ยหยางซิ่วเอ๋อร์
เป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่าชาวบ้านธรรมดาซึ่งมาจากหมู่บ้านเล็กๆ อย่างหยางซิ่วเอ่อร์นั้นคงไม่สามารถทนทานต่อคลื่นแห่งความโหดร้ายเช่นนี้ได้
ถ้าหนิงเมิ่งเหยารู้เรื่องแล้ว แล้วมันทำไมกันล่ะ? นางมีหลักฐานอะไรที่จะใช้ชี้เป้ามายังพวกนางด้วยหรือ?
หากว่านางมีหลักฐาน ป่านนี้นางก็คงเริ่มเคลื่อนไหวไปแล้ว แต่เหตุใดนางกลับรออยู่เฉยๆ จนถึงตอนนี้ล่ะ?
หยางซิ่วเอ๋อร์มองข้ารับใช้ นางอ้าปากเหมือนจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่คำเดียว
“กลับไปเสีย แล้วก็อย่ามาที่นี่อีก” เมื่อเห็นว่าหยางซิ่วเอ๋อร์พูดอะไรไม่ออก ข้ารับใช้ก็มองนางอย่างเย็นชา
ดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์เบิกกว้าง พวกเขาจะทอดทิ้งข้าจริงๆ หรือ?
หยางซิ่วเอ๋อร์กลับบ้านด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา ภายในใจของนางเต็มไปด้วยคำพูดของข้ารับใช้ผู้นั้น
แน่นอนว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามที่หนิงเมิ่งเหยาบอก พวกเขาไม่ห่วงนางเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของพวกเขา นางก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา สิ่งที่น่าขันคือการที่นางคิดเป็นจริงเป็นจังว่าตนเองนั้นเป็นคนสำคัญ นางทำได้เพียงแค่ตำหนิตัวเองกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา
หยางซิ่วเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงของตน รู้สึกสับสนและทำอะไรไม่ถูก บัดนี้ข้าควรจะทำเช่นไรดี?
ข้ารับใช้เตือนนางว่าถ้าหากนางกล้าเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง นางจะไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอีก
ไม่ นางยังอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง แม้แต่คนรักก็ยังไม่เคยมี และนางก็ยังไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างคนอื่นเขาเลย นางจะตายไปทั้งอย่างนี้ได้เช่นไร?
นางจะไม่ปล่อยให้เรื่องพรรค์นั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นางจะปล่อยให้พวกเขาทอดทิ้งนางเหมือนนางเป็นขยะสักชิ้นไม่ได้ หากพวกเขาต้องการจะเขี่ยนางให้พ้นทาง นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะมีความสามารถขนาดไหน
เมื่อยันตัวลุกขึ้นจากตียง หยางซิ่วเอ๋อร์ก็เดินไปที่ตู้เก็บของและมองออกไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ นางก็เอากล่องใบหนึ่งออกมาจากตู้ก่อนเปิดมันออก ภายในกล่องนั้นมีหยกชิ้นหนึ่งวางอยู่ มันดูมีมูลค่ามหาศาล และบนนั้นมีตัวอักษรตัวหนึ่งถูกสลักเอาไว้ “เซียว”
หยางซิ่วเอ๋อร์มองหยกสีเขียวในมือของตนก่อนยิ้มอย่างมุ่งร้าย นี่เป็นสิ่งที่นางฉกมาโดยที่ข้ารับใช้ไม่รู้ตัว
”เจ้าอยากจะทิ้งข้าหรือ? มาดูกันว่าเจ้าจะทำได้หรือเปล่า” หยางซิ่วเอ๋อร์เยาะหยัน
หนิงเมิ่งเหยามองชิงเซวียน “เจ้าบอกว่าคนของเซียวจื่อเซวียนกำลังจะทิ้งหยางซิ่วเอ๋อร์แล้ว? แต่หยางซิ่วเอ๋อมีป้ายหยกของจวนอ๋องเซียวรึ?”
“ใช่ขอรับ ข้ารับใช้ผู้นั้นไม่รู้ว่าตอนนี้ป้ายหยกอยู่ในมือของหยางซิ่วเอ๋อร์ขอรับ” ชิงเซวียนกล่าว เสียงเหมือนกำลังเยาะ
ดูเหมือนว่าหยางซิ่วเอ๋อร์จะไม่ได้โง่และสิ้นหวังขนาดนั้น
“ท่าทางเรื่องจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ” หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะ
นางไม่คิดมาก่อนว่าหยางซิ่วเอ๋อร์จะผุดความคิดเช่นนี้ออกมาได้ มันทำให้นางรู้สึกแปลกใจเอาการทีเดียว ตอนนี้นางแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเซียวจื่อเซวียนหัวเสียขึ้นมา
นางแค่ไม่แน่ใจว่าหยางซิ่วเอ๋อร์จะมีชีวิตรอดได้จนถึงวันนั้นหรือเปล่า
“จับตาดูนางต่อ แล้วก็อย่าให้นางตายล่ะ” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างโหดร้าย
หยางซิ่วเอ๋อ์นั้นยังมีประโยชน์อยู่ หากนางหรือป้ายหยกในมือหายไป หนิงเมิ่งเหยาจะสามารถดูละครที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ขอรับ คุณหนู”
ข้ารับใช้กลับไปที่ตระกูลหลังจากพบกับหยางซิ่วเอ๋อร์
ขณะนั้นเซียวจื่อเซวียนกำลังวุ่นวายในการต่อกรกับอนุภรรยาจำนวนหนึ่งอยู่ เมื่อนางเห็นว่าข้ารับใช้ของตนกลับมา นางก็เอ่ยถามขึ้นอย่างหมดความอดทน “เกิดอะไรขึ้น?”
“ชายาซื่อจื่อ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่หมู่บ้านเจ้าค่ะ หญิงชาวบ้านนางนั้น หยางซิ่วเอ๋อร์ บอกว่าหนิงเมิ่งเหยารู้ความจริงเรื่องการปล้นแล้วเจ้าค่ะ” นางสาธยายให้เซียวจื่อเซวียนฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ดวงตาของเซียวจื่อเซวียนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเมื่อนางได้ฟังดังนั้น นางเอาแต่หัวหมุนอยู่กับพวกนางจิ้งจอกที่แม่สามีหามาให้สามีของตน จนลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท
“ที่นั่นมีหลักฐานอะไรเหลือไว้หรือเปล่า?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ดี ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วเรื่องการปล้นนี้มันมีสิ่งใดที่เกี่ยวกับพวกเรากันเล่า?”
บทที่ 126 ถอยเพื่อบุก
เมื่อได้ยินวาจาของเซียวจื่อเซวียน ข้ารับใช้ก็หัวเราะเสียงดังออกมาทันที อย่างที่เซียวจื่อเซวียนกล่าว เรื่องการปล้นนี้มันมีสิ่งใดเกี่ยวกับพวกนางด้วยหรือ?
“เช่นนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้… พวกข้า….” ข้ารับใช้ยังคงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย นางจึงพยายามเอ่ยถามเซียวจื่อเซวียนอย่างระมัดระวัง
เซียวจื่อเซวียนยิ้มเย็นชา “ในเมื่อมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรา ดังนั้นจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องไปสนใจผลของการสืบคดีนั่น? หญิงกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างหนิงเมิ่งเหยาจะมาทำอะไรพวกเราได้?”
ถึงแม้ว่าบุรุษที่อยู่กับนางจะค่อนข้างมีความสามารถ แต่พวกเขาจะทำอะไรได้เล่า? เซียวจื่อเซวียนเป็นถึงชายาซื่อจื่อ และสามีของนางก็คือซื่อจื่อ แค่พรานป่าธรรมดาๆ นางไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาคิดให้ปวดหัว
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเซียวจื่อเซวียน ข้ารับใช้ก็รู้สึกโล่งอก “เช่นนั้นข้าก็โล่งอกเจ้าค่ะ..”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “หากหญิงชาวบ้านผู้นั้นแส่หาเรื่องอีกเมื่อใด เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร?”
ร่างของหญิงชราชะงักไปเล็กน้อย นางเห็นความเย็นชาภายในดวงตาของเซียวจื่อเซวียน จึงรีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้าทราบดี”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้าและส่งสัญญาณให้นางออกไป
หลิงหลัวยืนอยู่ที่หน้าประตู และมองหญิงซึ่งเพิ่งเดินจากไป ดวงตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ หากเขาจำไม่ผิด หญิงผู้นี้ถูกส่งไปนอกเมืองเมื่อเดือนที่แล้วในข้อหาลักขโมย
แต่เหตุใดตอนนี้นางจึงมาอยู่ที่นี่ได้? มิหนำซ้ำยังดูทะนงตนนัก
เซียวจื่อเซวียนสังเกตเห็นหลิงหลัวซึ่งอยู่ตรงทางเดินเมื่อนางกำลังจะเดินออกไป เขากำลังจ้องมองบานประตูอยู่ ภาพที่เห็นยากจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่
หัวใจของเซียวจื่อเซวียนพลันไหววูบ เขาเห็นข้ารับใช้ผู้นั้นแล้วหรือเปล่า? เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เซียวจื่อเซวียนก็สาวเท้าเข้าไปหาหลิงหลัว ด้วยท่าทางหวาดหวั่นเล็กน้อย “ท่านมองอะไรอยู่หรือ?”
“เมื่อครู่ข้าเห็นคนผู้หนึ่ง เมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าบอกข้าว่านางลักของของเจ้าไป ดังนั้นข้าก็เลยไล่นางออก แต่ตอนนี้นางกลับมาแล้ว และแทนที่จะไปอยู่ที่อื่น นางกลับมาอยู่กับเจ้า เจ้าอธิบายให้ข้าฟังทีได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” ไม่มีร่องรอยแห่งความรักอยู่ภายในน้ำเสียงของหลิงหลัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินเสียงนั้นเหงื่อเย็นๆ ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเซียวจื่อเซวียน
นางมองหลิงหลัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น แทนที่จะอธิบายให้เขาฟัง แต่นางกลับมองหลิงหลัวอย่างใจเย็น “ท่านไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่?” แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อนาง ฉะนั้น เขาจึงเผลอตั้งคำถามใส่นางไปโดยไม่รู้ตัว
หลิงหลัวมองเซียวจื่อเซวียน เขายิ้มเยาะขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ช่างเป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาดนัก ล่าถอยกลับไปเช่นนั้นก่อนจะยิงคำถามกลับมาหาเขาตรงๆ ฉลาดจริงๆ…. วิธีนี้เป็นการยากที่เขาจะหาช่องว่างสำหรับโจมตีกลับไปได้
“เจ้ารู้ดีว่าทำไมข้าจึงตั้งคำถามกับเจ้าเช่นนี้ คนที่โดนไล่ออกไปแล้วกลับมาอยู่ที่นี่ได้โดยที่ไม่มีใครสะกิดใจเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้เรื่อง เซียวจื่อเซวียน เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?” หลิงหลัวเอ่ยหยันระหว่างมองใบหน้าไร้สีเลือดของเซียวจื่อเซวียน
เขาคิดมาตลอดว่าเซียวจื่อเซวียนนั้นเป็นคนมีเหตุผล แต่ช่วงนี้เขากลับค้นพบว่านางเองก็ไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่น นางไม่ได้สนใจใครเลยเสียด้วยซ้ำไป
เซียวจื่อเซวียนมองดูหลิงหลัวเดินจากไปด้วยใบหน้าซีดเผือด เพียงเพราะผู้หญิงซึ่งพูดจาไม่รู้ความผู้หนึ่ง ก็ทำให้เขาเลิกเชื่อใจนางจริง ๆ
ร่างของนางสั่นเล็กน้อย แล้วนางก็หัวเราะกับตัวเอง เช่นนั้นนางทำทั้งหมดนี้ลงไปเพื่อสิ่งใดกัน? แค่นี้นางก็ตระหนักได้แล้วว่าการกระทำของตนนั้นมีแต่จะผลักให้หลิงหลัวห่างออกไปไกลกว่าเดิม
ข้ารับใช้ซึ่งอยู่ข้างกายจับข้อมือเซียวจื่อเซวียน “ชายาซื่อจื่อ ท่านต้องดูแลสุขภาพของตัวเองนะเจ้าคะ ท่านยังท้องลูกของนายน้อยอยู่”
“นายน้อย? ฮ่าฮ่า เขาจะมาห่วงใยอะไรด้วยหรือ?” ตั้งแต่วันที่หญิงผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นในชีวิตของพวกเขา หลิงหลัวก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อตอนที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานกัน เขานั้นดีกับนางอย่างเหลือล้นจนนางคิดว่าพวกเขาคงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุด และคงได้ครองคู่อยู่ด้วยกันไปจนวันตาย
ทว่าบัดนี้ เขาเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน มากจนนางเชื่อไม่ลงแล้วว่าชายผู้นี้คือคนเดียวกับชายที่รักนางในตอนแรก
ข้ารับใช้มองเซียวจื่อเซวียนด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบประโลมนางเช่นไรดี “ท่านพูดอะไรเจ้าคะ? นี่เป็นลูกคนแรกของเขา เขาจะไม่ห่วงได้อย่างไร?”
“เจ้าแน่ใจรึ? แต่เหตุใดข้าจึงสัมผัสถึงความคาดหวังของเขาที่มีต่อเด็กคนนี้ไม่ได้เลยล่ะ?” เซียวจื่อเซวียนกระซิบออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถ้าหากเขาเป็นห่วงเป็นใยลูกจริงๆ ถ้าหากเขาตั้งตารอจะได้เห็นหน้าลูกจริงๆ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจึงดูไม่เต็มใจที่จะอยู่กับนางเช่นนั้นเล่า? ก่อนหน้านี้เขาแทบจะอดรนทนไม่ได้ ทั้งตื่นเต้นอย่างสุดแสน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า… ดูราวกับว่าเขาไม่ต้องการมีลูกอีกแล้ว