บทที่ 31 ผมยังกล้าฆ่าคุณด้วย

The king of War

บทที่ 31 ผมยังกล้าฆ่าคุณด้วย

ณ ยอดเมฆา ทันทีที่หยางเฉินเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เขาหยิบมันขึ้นมาดู คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฉินซี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอโทรศัพท์มาหาเขาด้วยตัวเอง

หยางเฉินรีบรับสายทันที “เสี่ยวซี”

เขาเพียงเพิ่งจะเรียกชื่อ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนกระวนกระวายของฉินซีก็โพล่งออกมาทันที “หยางเฉิน เสี่ยวยีถูกคนลักพาตัวไปแล้ว คุณรีบไปช่วยเธอเร็วเข้า”

หลังจากที่ได้รับสายโทรศัพท์จากซุนเถียน ฉินซีก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก และภาพของหยางเฉินก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธอทันที

“คุณอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป ตอนนี้ผมกำลังจะไปหา คุณช่วยเล่าทุกสิ่งที่ตัวเองรู้ให้ผมฟังสักรอบก่อน”

ขณะที่หยางเฉินกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็สวมเสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็ว และออกไปจากคฤหาสน์แล้ว ฉินซีเล่าเรื่องทั้งหมดที่เธอรู้มาจากซุนเถียนพวกนั้นให้เขาฟังอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

“หม่าชาวออกไปกับฉัน!”

โฟล์คเภาตันสีดำทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็ว หม่าชาวเป็นคนขับรถด้วยตัวเอง หยางเฉินนั่งอยู่บนเบาะหลังด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

หม่าชาวที่กำลังขับรถอยู่อดสั่นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากพูดออกมาว่า “พี่เฉิน พวกเรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ”

“ตระกูลฉิน!” สีหน้าของหยางเฉินเต็มไปด้วยความเย็นชา

ขณะเดียวกันภายในห้องส่วนตัวของไนท์คลับขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ก็มีชายหัวเกรียนหน้าตาไม่น่ามองกำลังมองหญิงสาวที่ยังคงเมามายไม่ได้สติบนโซฟาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว

ผู้หญิงคนนี้ก็คือฉินยีที่เพิ่งถูกลักพาตัวมา และตรงข้ามชายผมเกรียนคนนั้นก็มีชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบปีนั่งอยู่

“ไอ้ลูกหมา แกนี่มันทั้งน่ารังเกียจและไร้ยางอายจริงๆ ขนาดลูกพี่ลูกน้องของตัวเองก็ยังไม่เว้น” ชายผมเกรียนมองไปทางฉินเฟยด้วยสีหน้าดูถูกพลางกล่าวออกมา ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยการหยอกล้ออยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจอย่างมาก

ฉินเฟยกัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “ก็ต้องโทษที่ยายนี่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี รอผมได้ภาพเปลือยของเธอมาเมื่อไหร่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยอมเธออีกต่อไปแล้ว”

“ฮ่าๆ พูดได้ดี คืนนี้ผู้หญิงคนนี้เป็นของฉันแล้ว” ชายผมเกรียนพูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น

สีหน้าของฉินเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบพูดต่อทันที “เฮียสง ผู้หญิงคนนี้ยังมีประโยชน์กับผมอยู่ ผมให้เฮียเล่นกับเธอได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ไม่ใช่ว่ารอเฮียมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอแล้ว หลังจากนี้เธอก็จะกลายเป็นคนของเฮียหรือไง”

ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะต้องการบังคับฉินยีให้ไปขอร้องตระกูลซู ถ้าหากฉินยีถูกไอ้หัวล้านนี่ควบคุมตัวเอาไว้ทั้งคืนละก็ ความพยายามทั้งหมดของเขาก็สูญเปล่าหมดน่ะสิ

“ไอ้ลูกหมา ผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรอกใช่ไหม” ชายผมเกรียนหรี่ตาลงเล็กน้อย

ฉินเฟยไม่มั่นใจเลยสักนิด ในสายตาของเขา ฉินยีก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตระกูลซูถูกใจเท่านั้น จึงรีบส่ายหน้าทันที “เฮียสงวางใจเถอะ ถ้าหากเธอมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรจริงๆ จะถูกนายท่านของบ้านผมขับออกจากตระกูลได้ยังไง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายผมเกรียนเลยคิดได้ว่ามันก็จริง ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดออกมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งทองพันชั่ง แกยังไม่รีบไสหัวไปอีกเหรอ”

ฉินเฟยรีบพยักหน้าก่อนจะโค้งตัวให้แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว “เฮียสง เฮียอย่าลืมถ่ายวิดีโอไว้ด้วยละ”

ภายในห้องส่วนตัวจึงเหลือเพียงชายผมเกรียนกับฉินยีแค่สองคน ชายผมเกรียนหน้าตาไม่น่ามองยื่นมือออกไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไปหาฉินยี “เด็กดี เฮียมาแล้ว!”

“แหวะ…”

ทันใดนั้นเอง ฉินยีก็อาเจียนออกมา

ก่อนหน้านี้เธอดื่มไปเยอะขนาดนั้น ตอนนี้จึงอาเจียนรดใส่ตัวเอง ภายในห้องส่วนตัวจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าเหม็นๆ

“อีฉิบหาย!”

ชายผมเกรียนสบถออกมาอย่างโมโห เขาเรียกพนักงานหญิงสองคนเข้ามา “รีบเข้ามาทำความสะอาดให้ฉันเดี๋ยวนี้ อย่าให้ฉันต้องเสียเวลาในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิอันมีค่าไปแม้แต่นาทีเดียว”

ณ ตระกูลฉิน

นายท่านฉินที่ขังตัวเองเอาไว้ในห้องคนเดียวสีหน้าย่ำแย่เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ฉินซีกลับมาบ้าน เขาก็ออกไปหาเพื่อนเก่าหลายคนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทว่ากลับไม่ได้แม้แต่จะได้พบหน้า

“หรือว่าตระกูลฉินจะล่มสลายแล้วจริงๆ”

สีหน้าของนายท่านฉินเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ก่อนจะปรากฏความเหี้ยมโหดสายหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะยายผู้หญิงสารเลวฉินยีคนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเธอปฏิเสธที่จะไปขอร้องตระกูลซูละก็ ตระกูลฉินไม่มีทางที่จะเดินมาถึงจุดนี้แน่”

ทันใดนั้นบริเวณข้างนอกห้องก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น คล้ายกับว่ามีคนกำลังต่อสู้กันอยู่

นายท่านฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เขารีบรุดออกไปดูอย่างโมโห “นี่มันเวลาไหนกันแล้ว พวกแกยังจะ…”

เขายังไม่ทันจะพูดจบ ดวงตาทั้งสองข้างก็ต้องเบิกกว้างทันที กระทั่งเสียงในลำคอเองก็ยังเงียบสนิทไปด้วย

บอดี้การ์ดที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของตระกูลนับสิบคนล้มตัวอยู่หน้าประตูห้องของเขา คนพวกนี้เป็นคนที่เขาใช้เงินก้อนใหญ่จ้างมาจากแต่ละพื้นที่ของประเทศ

ทว่าวันนี้ นอกจากเงาร่างที่ทั้งแปลกหน้าและทั้งคุ้นเคยซึ่งยังคงยืนอยู่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนพากันไปล้มกลิ้งอยู่บนพื้น

“พวกแกนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ !” สีหน้าของนายท่านฉินไม่น่ามองเป็นอย่างมาก

หยางเฉินขยับกายเดินเข้ามาใกล้นายท่านฉินทีละก้าว หม่าชาวยังคงยืนจับจ้องบอดี้การ์ดพวกนั้นอยู่ตรงที่เดิม

ฟิ้ว!

หลังจากลมแรงสายหนึ่งพัดมา หยางเฉินก็มาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของนายท่านฉินในชั่วพริบตา และยังใช้มือคว้าลำคอของเขาเอาไว้แล้ว

สีหน้าของนายท่านฉินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่การหายใจก็แทบจะหยุดนิ่ง

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉินยีละก็ ผมจะทำให้ตระกูลฉินของพวกคุณพินาศย่อยยับ!” หยางเฉินพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรังสีสังหาร

ทันทีที่พูดจบเขาก็สะบัดมือ ร่างกายของนายท่านฉินไม่ต่างอะไรจากว่าวขาดๆ เขากลิ้งตกลงไปบนพื้นในระยะหลายเมตรอย่างแรง

“แคก…แคก…”

นายท่านฉินไอหนักๆ ออกมาในทันที

คนในตระกูลฉินทั้งหมดพากันมองอย่างตกตะลึง แม้กระทั่งคนแก่ก็ยังไม่คิดจะปล่อยไปเลยหรือ

“แก คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าลงมือกับฉัน” นายท่านฉินโมโหเป็นอย่างมาก

ตึก! ตึก! ตึก!

หยางเฉินเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงบนหน้าอกของนายท่านฉิน “ลงมืองั้นเหรอ เชื่อไหมว่าผมยังกล้าฆ่าคุณด้วย”

สิ่งที่มาพร้อมกับคำพูดของหยางเฉินก็คือกำลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่ง นายท่านฉินรู้สึกเพียงหน้าอกของตนเองมีม่านหมอกปกคลุม เวลานี้เขาจึงตระหนักได้ว่าหยางเฉินกล้าที่จะฆ่าเขาจริงๆ

“โทรหาฉินเฟยเดี๋ยวนี้ บอกให้เขาพาฉินยีกลับมา ถ้าหากภายในสิบนาทีนี้ผมไม่ได้พบคนละก็ คุณก็รอเก็บศพเขาได้เลย” หยางเฉินพูดจบก็ยกเท้าออกมา

ถึงแม้ว่าเขาอยากจะฆ่าตาแก่ที่จริงๆ ทว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเป็นปู่ของฉินซี

“ลองสวะอย่างแกกล้าแตะต้องลูกชายของฉันแม้แต่เพียงนิดเดียวดูสิ” ทันใดนั้นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังใส่หยางเฉินด้วยความโมโห

หยางเฉินเลิกคิ้วขึ้น “ปิดปากเธอซะ!”

“เผียะ!”

ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเสียงใสกังวานดังขึ้น คนตระกูลฉินยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง หม่าชาวก็ตรงเข้าไปฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็วแล้ว

หม่าชาวคอยติดตามร่วมต่อสู้กับหยางเฉินอยู่ในสนามรบมาตลอด พละกำลังมากมายเพียงใด ก็ถึงกับขนาดที่ว่าเพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็ทำผู้หญิงคนนั้นหมดสติไป

บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท!

หยางเฉินเพิ่งจะลงมือกับชายชราที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีไป ตอนนี้ลูกน้องของเขาก็ยังลงมือกับผู้หญิงอีก ช่างไม่มีความเมตตาปรานีเลยจริงๆ

แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ จะหยางเฉินหรือหม่าชาวก็ล้วนแต่เพิ่งออกแรงแค่นิดหน่อยเท่านั้น

“ยังเหลืออีกเก้านาที!” หยางเฉินยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา จากนั้นก็มองไปยังไงท่านฉินที่มีสีหน้าโง่งมแล้วพูดออกมา

ในที่สุดนายท่านฉินก็เข้าใจแล้วว่าหยางเฉินไม่ได้ล้อเล่น ทั่วทั้งร่างจึงสั่นสะท้าน ได้แต่กดโทรศัพท์ด้วยสองมือที่สั่นระริก

“แกทำอะไรกับฉินยีไปบ้าง ถ้าภายในเก้านาทีนี้ไม่พาผู้หญิงคนนั้นกลับมาในสภาพครบสมบูรณ์ แกก็รอความตายไปได้เลย!” ทันทีที่ฉินเฟยรับสายโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดของนายท่านใหญ่ตะโกนดังขึ้นมา

เขากัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “ผมทำงานที่ปู่มอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ฉินยียังไปไหนไม่ได้”

“ไอ้หลานทรพี! ฉันขอสั่งให้แกรีบพาตัวฉินยีกลับมาเดี๋ยวนี้!” ถึงแม้นายท่านฉินจะไม่รู้ว่าฉินเฟยทำอะไรลงไป แต่พอได้ยินหลานชายพูดแบบนี้แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าฉินยีจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน

สิ่งที่หยางเฉินทำทั้งหมดนั้นห่างจากที่เขาเคยจินตนาการไว้ไปไกลมาก เขารู้ดีว่าขอแค่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฉินยี อย่าว่าแต่ตระกูลจะล่มสลายเลย กระทั่งตัวเขาเองก็อาจจะถูกฆ่าตายด้วยเช่นกัน

ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงทะยานขึ้นมาในหัวใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นหลานเขยที่ไร้ค่าคนนั้นจริงๆ เหรอ

ฉินเฟยกัดฟันแล้วพูดต่อว่า “ปู๋ครับ ตอนนี้ฉินยีอยู่ที่แมนชั่นอีเห้า ต่อให้เป็นเครื่องบินก็ไม่มีทางที่จะไปถึงภายในเก้านาที ภารกิจก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ปู่ไม่ต้องสนใจหรอก ผมจะทำให้ปู่พอใจเอง”

หลังจากพูดจบฉินเฟยก็วางสายโทรศัพท์ทันที

“ฮัลโหล! ฮัลโหล! ฮัลโหล!”นายท่านฉินตระโกนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมา

“ดูเหมือนว่าหลานชายของคุณจะรังเกียจที่ชีวิตตัวเองยืนยาวเกินไปแล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็คงต้องช่วยสนับสนุนสักหน่อย” กลิ่นอายสังหารอันรวดเร็วและดุดันพาดผ่านนัยน์ตาของหยางเฉิน

นายท่านฉินตกตะลึงจนหน้าถอดสี ก่อนจะรีบพูดออกมาทันทีว่า “หยางเฉิน อย่าทำแบบนี้ ขอร้องแกช่วยปล่อยเขาไปสักครั้งเถอะ”

เขาตื่นตระหนกแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าฉินเฟยจะยื่นคำขาด แต่หากยังไม่สามารถแก้ไขวิกฤตของตระกูลฉินได้ ก็ไม่อาจปล่อยให้เด็กคนนั้นกลับมา ทว่าท้ายที่สุดแล้วอย่างไรฉินเฟยก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเขา

เขามีลูกชายเพียงคนเดียว และพ่อของฉินเฟยก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ฉินต้าหย่งลูกนอกสมรสที่ภรรยาของเขาพานเข้ามา ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาเลยแม้แต่สักนิด

ตอนนี้ตระกูลฉินจึงเหลือฉินเฟยที่เป็นหลานชายสายตรงเพียงคนเดียว ถ้าหากอีกฝ่ายตายไป ตระกูลฉินก็จะขาดผู้สืบทอดทันที

เขารู้สึกได้ว่าหยางเฉินต้องการที่จะฆ่าฉินเฟยจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็ภาวนาให้ฉินยีไม่เป็นอะไรไปแล้วกัน!” หยางเฉินกล่าวออกมาอย่างเย็นชาแล้วหมุนกายเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน!”

ทันใดนั้นนายท่านฉินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบพูดออกมาทันที “ฉินเฟยบอกว่าฉินยีอยู่ที่แมนชั่นอีเห้า จากที่นี่ไปปกติต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที แต่ตอนนี้ก็ดึกแล้ว บนถนนไม่น่าจะมีรถรามากมาย หากเร่งความเร็ว สิบนาทีก็คงเป็นไปได้จริงๆ ”

“หม่าชาวออกรถ!” หลังจากหยางเฉินได้ยินคำพูดนี้ก็หันไปกล่าวกับหม่าชาวทันที

รถโฟล์คเภาตันสีดำแล่นผ่านถนนอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าทมิฬ

จากเดิมที่ควรใช้เวลายี่สิบนาที ทว่าหม่าชาวกลับใช้เวลาเพียงแปดนาที ก็สามารถมาถึงแล้ว

“เอี๊ยด!”

ยางรถยนต์เสียดสีกับพื้นถนนอย่างรุนแรง รถทั้งคันลอยไปหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูของแมนชั่นอีเห้า