บทที่ 32 กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง

The king of War

บทที่ 32 กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง

ออดี้a6สีดำจอดอยู่ตรงหน้าประตูของแมนชั่นอีเห้า พนักพิงระดับไฮเอนด์ของที่นั่งฝั่งคนขับถูกปรับลดลงไปด้านหลัง ฉินเฟยกำลังเอนกายอยู่บนนั้นอย่างเกียจคร้าน ในปากยังคาบบุหรี่แท่งหนึ่งเอาไว้

เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “นี่ก็ยี่สิบนาทีเข้าไปแล้ว ทำไมสงเหว่ยถึงยังไม่ส่งวิดีโอมาอีกนะ”

ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงล้อรถที่ถูกเบรกอย่างรุนแรง จึงเผลอหันไปมองโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะได้เห็นเงาร่างของคนสองคนรีบร้อนลงมาจากรถ

“หยางเฉิน! หมอนั่นมาที่นี่ได้ยังไงกัน”

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ทว่าเพียงไม่นานก็ผ่อนคลายได้ มุมปากยังยกขึ้นเล็กน้อย แล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “แค่ขยะไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ต่อให้พบตัวฉินยีก็ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรได้หรอก ที่นี่เป็นอาณาเขตของสงเหว่ย ใครจะกล้าสร้างปัญหากัน”

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเฟยเหลือบตามองแวบหนึ่งก็พบว่าเป็นนายท่านฉินที่โทรมา เขารีบรับสายแล้วพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ปู่ครับ ปู่จะใจร้อนเกินไปแล้ว อีกเดี๋ยวพอเราได้วิดีโอมาอยู่ในมือ ถึงตอนนั้นฉินยีจะต้องเชื่อฟังผมแต่โดยดี แล้วไปขอร้องตระกูลซูให้แน่นอน วิกฤตของตระกูลฉินก็จะได้รับการคลี่คลาย”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลานชาย นายท่านฉินก็โมโหทันที เขาถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจว่า “วิดีโอเหรอ วิดีโออะไร”

ฉินเฟยจึงตระหนักได้ว่าตนเองเผลอหลุดปากออกไปเสียแล้ว แต่พอคิดไปถึงว่าเมื่อห้าปีก่อนที่เขาใช้วิธีเดียวกันนี้ในการช่วยสกุลฉินรวบซานเหอกรุ๊ปเข้ามา ก็เป็นนายท่านใหญ่ที่ช่วยเขาจัดการกลบฝังเรื่องทั้งหมดนี่

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ปิดบังต่อไปอีก “ปู่ครับ ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตระกูลฉินของเราก็เป็นเพราะยายสารเลวฉินยี ผมก็เลยพายายนั่นมาส่งที่แมนชั่นอีเห้าของสงเหว่ย พอสงเหว่ยส่งวิดีโอเซ็กส์ของพวกเขามา ผมก็สามารถบังคับให้ฉินยีไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลซูได้แล้ว รับรองเลยว่าสามารถจบภารกิจได้ก่อนเที่ยงคืน”

“ไอ้หลานสารเลว! คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะส่งฉินยีไปให้คนนอกย่ำยี นี่แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”

นายท่านฉินคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะพูดอย่างโมโหว่า “แกรีบไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยให้หยางเฉินพบตัวโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแกตายแน่ เข้าใจไหม”

แม้ว่านายท่านฉินจะโกรธ แต่ในใจของเขาฉินเฟยก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล แม้จะทำผิดพลาดใหญ่โต แต่ก็ยังเป็นหลานชายของเขาอยู่ดี

“ปู่ครับ หยางเฉินก็เป็นแค่สวะคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ต่อให้เขารู้ว่าผมเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้ แล้วจะทำอะไรผมได้”

ฉินเฟยกลับไม่ได้เอาคำพูดของนายท่านฉินมาเป็นจริงเป็นจัง เขาแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “เมื่อกี้ผมเห็นหมอนั่นเข้าไปในแมนชั่นอีเห้า เดาว่าป่านนี้คงถูกตีตายไปแล้ว เอาเถอะครับปู่ ไม่พูดต่อแล้ว ผมจะเข้าไปชมละครสนุกๆ สักหน่อย”

ฉินเฟยพูดจบก็วางสายไปทันที

ที่คฤหาสน์ตระกูลฉิน ไม่ว่านายท่านฉินจะกดโทรออกไปสักกี่ครั้ง ฉินเฟยก็ยังคงไม่รับสาย เขาถลึงตาออกมาอย่างโมโห “ไอ้หลานโง่! ตอนนี้แกกำลังใกล้จะตายโหงอยู่แล้ว!”

“เตรียมรถแล้วรีบไปแมนชั่นอีเห้า!”

นายท่านฉินรีบออกคำสั่งทันที

อีกด้านหนึ่ง หยางเฉินและหม่าชาวก็ได้บุกเข้าไปในแมนชั่นอีเห้าแล้ว

“คุณผู้ชายทั้งสองท่านคะ ดิฉันขออนุญาตสอบถาม…”

พนักงานต้อนรับสาวสวยหน้าประตูคนหนึ่งกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็ถูกความเย็นชาจากแววตาคู่นั้นของหยางเฉินจับจ้อง ทำให้พูดยังไม่ทันจบก็ถูกตัดบทเข้าเสียก่อน เธอรู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายจ้องมองจนร่างกายเย็นเยียบไปหมด

“สงเหว่ยอยู่ที่ไหน” หยางเฉินถามขึ้นมาทันที

หยางเฉินกับหม่าชาวมีบุคลิกที่ดูเหี้ยมโหดและน่ากลัว จึงดึงดูดความสนใจของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่หลายคนทันทีที่ปรากฏตัว

พนักงานต้อนรับสาวถูกทำให้ตกใจจนโง่งมไปแล้ว เธอพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ฉะ ฉันไม่รู้ค่ะ”

“คิดจะมาก่อเรื่องหรือไงไอ้ลูกหมา”

ใช้ร่างใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลลุกขึ้นแล้วเดินมาทางพวกเขาทันที ด้านหลังยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามมาด้วยอีกเจ็ดแปดคน

แววตาของหยางเฉินเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย “ผู้หญิงที่สงเหว่ยพามาด้วยอยู่ที่ไหน”

ชายร่างใหญ่พวกนั้นชะงักไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องจริงๆ ฉินยีก็คือผู้หญิงที่พวกเขาลักพาตัวมา

หลังจากเห็นปฏิกิริยาของเขา หยางเฉินก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองมาหาถูกที่แล้ว

ฟิ้ว!

ภายในห้องโถงใหญ่ หม่าชาวขยับกายทิ้งไว้เพียงเงาร่างสายหนึ่ง พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่แล้ว

“หมับ!”

หม่าชาวคว้าลำคอของชายร่างใหญ่คนนั้นเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่น้ำหนักกว่าเก้าสิบกิโลกรัมจะถูกยกจนลอยสูงขึ้น

ภาพทั้งหมดนี้ทำให้ชายฉกรรจ์อีกเจ็ดแปดคนที่เหลือพากันหน้าซีดขาวในทันที

“ทำไมถึงไม่ตอบคำถามของพี่เฉิน”

หม่าชาวออกแรงเพิ่มอีกเพียงแค่นิดเดียว ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจแล้ว เขาพยายามดิ้นรนอย่างหนัก ทว่ากลับไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ลูกน้องของเขาก็ถูกทำให้ตกใจกลัวจนโง่งมกันไปหมดแล้ว ยังจะมีคนก็เข้าช่วยมาเสียที่ไหน

ตึก! ตึก! ตึก!

ทุกจังหวะก้าวเท้าของหยางเฉินราวกับเสียงเรียกขานจากเทพเจ้าแห่งความตาย ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเดิม

“ตึง!”

เมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ใกล้จะขาดอากาศหายใจเต็มทีแล้ว หม่าชาวก็สะบัดแขน ทำให้ร่างสูงใหญ่กระเด็นออกไปไกลถึงเจ็ดแปดเมตร แล้วกระแทกเข้ากับเสาหินในห้องโถงใหญ่

“ตอนนี้สามารถพาฉันไปหาสงเหว่ยได้แล้วใช่ไหม” หยางเฉินขยับเข้าไปใกล้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ทีละก้าว ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างผู้ได้เปรียบแล้วกล่าวออกมา

ร่างกายของชายฉกรรจ์สั่นสะท้าน ส่วนในใจนั้นกลับหวาดกลัวยิ่งกว่า ตระกูลฉินก็แค่ตระกูลเล็กๆ ที่กำลังตกต่ำไม่ใช่เหรอ

ก็แค่ผู้หญิงที่ถูกตระกูลของตัวเองทอดทิ้งคนหนึ่ง ทำไมถึงได้มียอดฝีมือระดับสูงคอยปกป้องอยู่

“ผะ ผมจะพาพวกคุณไป” พอเห็นหยางเฉินกำลังเดินเข้ามา ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็อดกลั้นต่อความเจ็บปวด แล้วรีบตะกายตัวลุกขึ้นมา

ฉินเฟยที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องโถงใหญ่กลับไม่ได้เห็นภาพหยางเฉินถูกคนกระทืบจนต้องกองลงอยู่กับพื้นเหมือนที่เขาจินตนาการไว้ เขาเห็นเพียงความหวาดผวาที่ยังคงไม่จางหายไปจากนัยน์ตาของพนักงานพวกนั้น

ชั้นบนสุดของแมนชั่นอีเห้ามีเพนท์เฮาส์ที่หรูหราอย่างมากอยู่ห้องหนึ่ง

ฉินยีที่เพิ่งจะถูกพนักงานสาวสองคนจับทำความสะอาดคราบอาเจียนบนร่างกาย ตอนนี้กำลังสวมชุดนอนกระโปรงสีชมพูเอนกายอยู่บนเตียงหลังใหญ่

จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงไม่ได้สติ นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ที่แสนสบายอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาเลยแม้แต่น้อย

อีกทั้งข้างเตียงก็ยังมีกล้องวิดีโอตัวหนึ่งวางอยู่

เดิมทีฉินยีก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง ยิ่งตอนนี้เธอตกอยู่ในสภาพเมาหนัก ทั้งยังเอนกายอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ก็ยิ่งชวนให้น่าลิ้มลองมากขึ้นไปอีก

สงเหว่ยสวมกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว เขามองไปยังสาวสวยที่อยู่บนเตียงด้วยแววตาร้อนแรงจนถึงขนาดมีไฟลุกออกมาได้

“ฉินเฟยนี่ส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้ฉันจริงๆ !”

สงเหว่ยหัวเราะแล้วพูดออกมา จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาฉินยีทีละก้าว “เด็กดี เฮียมาแล้ว!”

แล้วก็โถมตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“ปัง!”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงสนั่นดังขึ้น ประตูนิรภัยราคาแพงล้มลงบนพื้นอย่างแรง

ภาพนี้ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่พาพวกเขามาหวาดกลัวจนโง่งม ถีบทีเดียวก็พังประตูนิรภัยของเพนท์เฮาส์ได้ นี่ยังเป็นพละกำลังของคนอยู่หรือเปล่า

สงเหว่ยที่กำลังจะลงมือปฏิบัติภารกิจก็ถูกทำให้ตกใจไปในทันที เขามองไปยังเงาของทั้งสองคนที่อยู่หน้าประตู สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหด “ไสหัวออกไป!”

เขาไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย ยังคงคิดอย่างไร้เดียงสาว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของเขา ไม่มีใครที่จะสามารถจัดการเขาได้

หยวนเฉินเหลือบไปเห็นฉินยีในชุดนอนกระโปรงที่ตอนนี้ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ

จากนั้นก็หันไปมองสงเหว่ยที่ยังคงสวมกางเกงขาสั้นชิ้นสุดท้ายเอาไว้ จึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าฉินยียังไม่ถูกย่ำยีให้เสียเกียรติ

“นับว่าแกโชคดีที่ยังไม่ได้แตะต้องเธอ” ทันใดนั้นหยางเฉินก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

สงเหว่ยคว้าผ้าขนหนูมาพันตัวไว้อย่างลวกๆ นัยน์ตาจ้องถลึงไปที่หยางเฉินอย่างเหี้ยมโหด “กล้าบุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายถึงที่นี่ไม่พอ ยังจะกล้ามาขัดเรื่องดีงามของฉันอีก ต้องบอกเลยว่าหลายปีมานี้ฉันไม่เคยพบเคยเจอคนหนุ่มที่บ้าคลั่งอย่างพวกแกมาก่อน”

หยางเฉินหรี่ตาเล็กน้อย หม่าชาวก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้า เตรียมพร้อมที่จะลงมืออยู่ตลอดเวลา ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่อยู่หน้าประตูหวาดกลัวจนพูดไม่กล้าพูดอะไรออกมาไปตั้งนานแล้ว

“แปะ! แปะ! แปะ!”

หลังจากสิ้นเสียงปรบมือของสงเหว่ย ก็มีเงาร่างหลายสิบสายพุ่งเข้ามาในห้อง ทันใดนั้นหยางเฉินกับหม่าชาวก็ถูกล้อมไว้ตรงกลาง

“วันนี้นายท่านอย่างฉันอารมณ์ดี เห็นว่าพวกแกยังอยู่ในวัยหุนหันพลันแล่น ขอเพียงพวกแกยอมสละแขนทั้งสองข้างของตัวเอง ฉันก็จะปล่อยพวกแกไป” สงเหว่ยนั่งลงบนโซฟาหรูอีกด้านหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ

“สละแขนทั้งสองข้างอย่างนั้นเหรอ”

หยางเฉินกวาดตามองเงาร่างหลายสิบคนที่อยู่โดยรอบ จากนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา “หม่าชาว หักแขนทั้งสองข้างของพวกมันให้หมด”

“ครับพี่เฉิน!”

หลังจากพูดจบ เงาร่างของหม่าชาวก็หายแวบไปจากที่เดิมทันที

ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในมือก็คว้าแขนของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เอาไว้แล้ว

“กร็อบ!”

ทันใดนั้นเสียงกระดูกหักที่กังวานใสก็ดังติดต่อกันถึงสองครั้ง เนื่องจากเพนท์เฮาส์แห่งนี้ทั้งว่างเปล่าและเงียบสงบ จึงทำให้ได้ยินเสียงพวกนั้นอย่างชัดเจน

“อ้าก…”

หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ถูกหักแขนก็ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดจนดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง

สงเหว่ยที่เพิ่งจะจุดซิการ์ของคิวบายืนขึ้นทันที ซิการ์ในมือร่วงหล่นลงบนพื้น สองตาเบิกกว้างอย่างยากที่จะเชื่อ

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่อีกสิบกว่าคนที่เหลือก็ถูกทำให้โง่งมไปแล้วเช่นกัน

“อย่ากะพริบตาละไอ้พวกสวะ ดูให้ชัดๆ ” ทันใดนั้นหม่าชาวก็หันกลับมายกยิ้มอำมหิตให้สงเหว่ยที่กำลังตกอยู่ในความตะลึง

ขณะเดียวกันตอนที่เพิ่งจะพูดจบ เงาร่างของเขาก็แวบหายไปอีกครั้ง ผ่านไปท่ามกลางชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หลายสิบคน ทุกครั้งที่เขาหยุดนิ่ง ก็จะต้องได้ยินเสียงกระดูกหักติดต่อกันสองครั้ง สะอาดและเรียบง่าย ลงมือแค่คนละสองทีเท่านั้น

ทุกคนถูกหักแขนทั้งสองข้างภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที เสียงร้องโหยหวนดังสนั่นไปทั่วห้อง

สงเหว่ยกลืนน้ำลายลงคอ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้

เขาคร่ำหวอดอยู่ในโลกใต้ดินที่เจียงโจวมาตั้งนานขนาดนี้ วันเวลาที่ต้องเผชิญอันตรายจนเสียเลือดเสียเนื้อก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอย่างเช่นตอนนี้เลย

“เฮียสง วิดีโอยังถ่ายไม่เสร็จอีกเหรอ”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอันคุ้นเคยสายหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างนอก

วินาทีต่อมา ฉินเฟยก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู และทันทีที่เขาเห็นภาพเหตุการณ์ในห้อง ขาทั้งสองข้างก็อ่อนแรงจนต้องทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น