“ไต้ซือพูดมาเถอะครับ” หานเซี่ยวกั๋วว่า
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ข้อแรก จะรักษาแค่บนเขาเท่านั้น”
หานเซี่ยวกั๋วพยักหน้า
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “ข้อสอง หลังลูกสาวโยมหายดีแล้ว โยมห้ามพูดกับใครเรื่องการรักษาของอาตมา”
หานเซี่ยวกั๋วงุนงง จากนั้นก็นึกถึงความสามารถของฟางเจิ้งแต่กลับอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารและหนาวเหน็บแบบนี้ อาจจะไม่อยากออกไปแก่งแย่งชื่อเสียงเงินทอง เขาเลยพยักหน้าตกลง
เขาจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าที่ฟางเจิ้งอยู่ที่นี่ก็เพราะความจำใจ เขาก็อยากออกไปยิ่งใหญ่เหมือนกัน…
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “สุดท้าย ไม่ว่ายังไงโยมก็ต้องมอบตัว ไม่ต่อต้าน ส่วนความเป็นตาย อาตมารับประกันให้โยมไม่ได้ ทุกอย่างตัดสินตามกฏหมาย นี่คือค่ารักษาที่โยมซื้อจากอาตมา”
“ผมรู้ว่าผมติดค้างคนคุ้มกันนั่นมาก ถ้าผมตายก็ถือว่าชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าโชคดีไม่ตาย ผมจะขออโหสิกรรมเขาไปชั่วชีวิต” หานเซี่ยวกั๋วพยักหน้า เขามองข้ามความเป็นตายของตนไปนานแล้ว ไม่วางใจก็แค่อย่างเดียวคือลูกสาว
“ดี…ถ้าอย่างนั้นรอจนถึงวันพรุ่งนี้” ฟางเจิ้งพูด
ฝนข้างนอกตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าผ่าไม่หยุดหย่อน…ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าตนทำแบบนี้ถูกหรือผิด นิสัยคนซับซ้อน อีกฝ่ายจะสำนึกผิดจากใจจริงเพราะเขาช่วยลูกสาวเขาไหม? ฟางเจิ้งไม่รู้…
“เรื่องทางโลกฟ้าลิขิต พบกันเป็นโชคชะตา อาตมาเพิ่งได้รับยาหวนคืนเล็กมาก็เจอกับเรื่องแบบนี้ ดูท่าเด็กหญิงคนนั้นก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่ตาย ช่างเถอะ ไม่ได้ทำเพื่อบุญกุศลครั้งใหญ่แล้ว แต่ทำเพื่อช่วยคนคนหนึ่ง ส่วนหานเซี่ยวกั๋วก็กรรมตามสนองไปตามกรรม ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต” ฟางเจิ้งพูดด้วยความปลงอนิจจัง
ฝนตกหนัก มาเร็วไปเร็ว หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมาฝนหยุด ทว่าความหนาวที่มากับฝนยังคงอยู่…
วันต่อมาท้องฟ้าสว่างเรืองรอง ฟางเจิ้งตื่นนอน ดวงตาเปล่งประกาย! ทั้งวัดถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง วัดโบราณคลุมด้วยชั้นหิมะ ภายใต้แสงสว่างของฟ้าดูสว่างพร่างพราวเด่นตาเป็นพิเศษ! ใต้ชายคามีน้ำแข็งห้อยลงมาราวกับกระบี่ล้ำค่า…
นี่เป็นหนึ่งในของเล่นที่ฟางเจิ้งชอบมากที่สุดสมัยเด็ก อดใจไม่ไหวเข้าไปเล่น เด็ดลงมาสองอัน กำไว้ในมือทำเป็นกระบี่ยาวกวัดแกว่ง มีความรู้สึกเหมือนเด็กเล็กน้อย
ตอนนี้เองหมาป่าเดียวดายวิ่งเข้ามา เจ้านี่เองก็ยอมงับแท่งน้ำแข็งมาสู้กับฟางเจิ้ง แต่สุดท้ายชนกันแท่งน้ำแข็งแตกเป็นหลายท่อน คนกับหมาป่าจึงต้องหาแท่งน้ำแข็งอันอื่นมาสู้กันอีก
เล่นกันช่วงเช้า บนพื้นเต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็ง…
หม้อใหญ่ติดไฟ ต้มน้ำ อาศัยจังหวะที่ข้าวยังไม่สุกไปฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ จากนั้นข้าวสุกพอดี!
ขณะนี้หานเซี่ยวกั๋วตื่นแล้ว เมื่อวานหนาวจะแย่ ประกอบกับคิดมากตอนกลางคืนจึงแทบไม่ได้นอน เลยตื่นสาย พอได้กลิ่นหอมข้าวก็เข้ามาใกล้ พูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไต้ซือ ทำไมข้าวหอมแบบนี้ล่ะ? เหมือนจะหอมกว่าข้าวที่ผมกินเมื่อวานอีก!”
“นี่คือข้าวผลึกของอาตมา เดี๋ยวโยมลองชิมดู” ฟางเจิ้งหัวเราะ ครั้งนี้เขาใส่ข้าวผลึกเยอะหน่อย ดวงชะตาอนาคตของหานเซี่ยวกั๋วไม่แน่นอน ฟางเจิ้งจึงจะทำมื้ออร่อยส่งเขา
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ เข้าใจความหมายฟางเจิ้งแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดมาทั้งคืนจนเหมือนจะเข้าใจแล้ว
ข้าวสุก คนกับหมาป่ากินอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะหานเซี่ยวกั๋ว เขาไม่เคยกินข้าวที่อร่อยแบบนี้มาก่อน ยัดใส่ปากคำใหญ่ กลิ่นหอมที่เข้าปากทำให้ชายร่างกำยำแทบจะซาบซึ้งจนร้องไห้
ส่วนฟางเจิ้งกินทุกวันแล้ว ภูมิต้านทานทำให้เขากินข้าวอย่างเอื่อยเฉื่อย จะดื่มน้ำเล็กน้อยตลอดให้ลื่นคอ กินอย่างสงบนิ่ง มีกลิ่นอายของพระอาจารย์ชั้นสูงเล็กน้อย
กินข้าวเช้าเสร็จ ฟางเจิ้งให้หานเซี่ยวกั๋วรอหลังวัด ส่วนตนหยิบผ้าไปเช็ดทำความสะอาดอุโบสถ
หานเซี่ยวกั๋วเห็นดังนั้นก็ไม่วางเฉย เริ่มช่วยฟางเจิ้งกวาดวัด เช็ดประตู…ขณะสองคนกำลังยุ่งอยู่ก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็วางผ้า ถอนหายใจ
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ช่วยจำคำที่ท่านพูดไว้ด้วย”
ฟางเจิ้งพยักหน้า มีกลุ่มคนเข้ามาจากนอกประตูใหญ่
“ไต้ซือ พวกเรามาเยี่ยมอีกแล้ว…เอ่อ หานเซี่ยวกั๋ว?! หยุดอย่าขยับ!” อธิบดีจางนำหน้าและยังมีตำรวจติดอาวุธอีกหลายนาย ด้านข้างเป็นอู๋ไห่กับผังเหว่ย อธิบดีจางเพิ่งเข้ามา ก่อนหน้านี้ยังยิ้มแย้ม แต่ต่อมากลับจริงจัง ชี้หานเซี่ยวกั๋วพลางตะโกนเสียงดัง!
พวกอู๋ไห่ทยอยกันชักปืนออกมาเล็งไปที่หานเซี่ยวกั๋ว!
ช่วยไม่ได้ หานเซี่ยวกั๋วมีชื่อเสียงโหดเหี้ยมข้างนอก ต้องรับมืออย่างรัดกุม ใครก็ไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น!
หานเซี่ยวกั๋วหัวเราะเยาะ “เอาเถอะ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ถ้าฉันจะหนีคงไม่รอให้พวกแกมาที่นี่หรอก”
อธิบดีจางตั้งสติได้ก็มองฟางเจิ้งที่เดินออกมาจากในอุโบสถ “ไต้ซือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ถึงจะเรียกไต้ซือ แต่น้ำเสียงเด็ดขาดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเรียกไต้ซือตามมารยาทและกฏ ไม่ได้ยอมรับฐานะไต้ซือฟางเจิ้งจริงๆ
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตพุทธ พวกโยมอย่าตระหนก โยมหานคุยกับอาตมาทั้งคืน อาตมาโน้มน้าวให้เขายอมมอบตัวแล้ว”
“อะไรนะ?” ทุกคนอึ้งไป ฆาตกรโหดฆ่าคนปล้นรถขนเงินหนีมาตลอด ทำให้พวกเขาหากันวุ่นกลับเชื่อฟังคำพูดเณรวัยรุ่นคนนี้เนี่ยนะ? จะเป็นไปได้ยังไง?
ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาใช้เวลาไปไม่น้อยเพื่อเกลี้ยกล่อมหานเซี่ยวกั๋ว เปิดเสียงภรรยาหานเซี่ยวกั๋วผ่านลำโพงตัวใหญ่บนรถอย่างต่อเนื่อง! แต่สุดท้ายไม่มีประโยชน์สักอย่าง…แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะเชื่อฟังหลวงจีนรูปหนึ่ง พวกเขาพลันรู้สึกว่าใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่ามายี่สิบกว่าปีแล้ว
อู๋ไห่ถามตามจิตใต้สำนึก “ไต้ซือ ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
อธิบดีจางก็พูดขึ้นอย่างจริงจังเหมือนกัน “ไต้ซือท่านมั่นใจนะ?”
“ไม่ต้องถามแล้ว ไต้ซือโน้มน้าวให้ฉันมอบตัว ไม่อย่างนั้นตอนนี้ฉันคงหนีเข้าป่าลึกไปแล้ว ทำไมต้องรอให้พวกแกมาจับ?” หานเซี่ยวกั๋วกล่าวเสียงดังก้องกังวาน
อธิบดีจางมองฟางเจิ้งอย่างซับซ้อน เขาพบว่าตนดูถูกหลวงจีนที่ดูไม่เตะตาคนนี้เล็กน้อย ตอนนี้พิจารณามองอีกที อีกฝ่ายเนื้อตัวสะอาด หัวโล้นเป็นเงาวาว ผิวหนังขาวหิมะวาววับ ผิวดีกว่าผู้หญิงอีก ดวงตาราบเรียบมีประกาย หากมองดีๆ ภายในแฝงไว้ด้วยประกายลอยล่องของเด็กหนุ่ม นี่ไม่ใช่ภิกษุชราโบราณคร่ำครึ แต่เป็นนักบวชหนุ่มที่มีความคิดเป็นของตัวเอง!
อธิบดีจางคิด ‘เป็นคนหนุ่มที่ควรค่าแก่การยกย่อง’ จากนั้นพูดต่อ “หานเซี่ยวกั๋ว นายน่าจะมีคำขออะไรใช่หรือเปล่า?”
“มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีคำขออะไรอีก? อธิบดี จับเลยก็จบแล้วไม่ใช่หรือครับ?” อู๋ไห่แสดงความเห็น
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มเยาะก่อนชักมีดหักออกมาราวกับสายฟ้า!
ทุกคนต่างเล็งปืนไปโดยจิตใต้สำนึก เตรียมลั่นไกใส่หานเซี่ยวกั๋วตลอดเวลา!
แต่หานเซี่ยวกั๋วกลับวางมีดตรงคอตัวเองอย่างเฉยชา “อธิบดีจาง ฉันมีแค่คำขอเดียว ก่อนจะมอบตัวขอพบลูกสาวฉันก่อน ขอคุยกับเธอสองประโยคก็พอ ไม่มีคำขออื่น! ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะยอมรับการลงโทษ”
“แกขู่พวกเราเรอะ?” ผังเหว่ยต่อว่าด้วยความโมโห
“ไม่ได้ขู่ ถ้าต้องขู่จริงๆ ฉันซ่อนเงินไว้ในที่ที่พวกแกหาไม่เจอแล้ว ถึงคราวจนตรอกจริงๆ อย่างมากฉันก็แค่ตาย แต่เงินพวกนั้นฝังอยู่ใต้ดิน!” หานเซี่ยวกั๋วพูดทีละคำ จ้องผังเหว่ยอย่างไม่เกรงกลัว
…………………