ผังเหว่ยกำหมัดแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“อธิบดีครับ…” อู๋ไห่ถาม
อธิบดีจาง “ช่างเถอะ ลูกสาวนายจะมาไม่มาฉันรับปากไม่ได้ แต่ฉันให้โอกาสนายโทรหาได้”
“ไม่ต้อง ฉันต้องการให้พวกแกทำให้สำเร็จ! ไม่มีต่อรองอะไรแล้ว! ก่อนเที่ยงถ้าไม่เจอลูกสาวฉันจะจบทุกอย่าง” หานเซี่ยวกั๋วพูด
อธิบดีจางมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งประนมมือ “อมิตพุทธ โยม โยมหานสำนึกผิดจากใจจริงแล้ว ช่วยให้เขาสมความปรารถนาจะดีกว่า”
อธิบดีจางพยักหน้า “ในเมื่อไต้ซือออกปาก ผมจะจัดการอย่างสุดความสามารถ แต่นายต้องรับปากนะว่าช่วงนี้ห้ามก่อความวุ่นวาย!”
“วางใจ ฉันไม่ก่อความวุ่นวายหรอก จะรออยู่ที่นี่แหละ” หานเซี่ยวกั๋วตอบพลางยิ้มเฝื่อนในใจ ก่อความวุ่นวาย? มีหลวงจีนนี่อยู่เขาจะก่อความวุ่นวายยังไง?
อธิบดีจางหยิบวิทยุสื่อสารออกมาแล้วเดินออกไปไกลๆ
ไม่นานอธิบดีจางก็กลับมา ถอนหายใจว่า “หานเซี่ยวกั๋ว ทำไมนายต้องทำแบบนี้? ลูกสาวนายกำลังป่วยหนัก ไม่ควรเดินทางไกลนะ”
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นก็เงียบ ตามสัญญาแล้วเขาบอกไม่ได้ว่าจะพาลูกสาวมารักษา จึงได้แต่เงียบ
อธิบดีจางพูดต่อ “หมอก็บอกแล้วว่าลูกสาวนายอยู่ได้ไม่นาน บางทีอาจได้พบกันครั้งสุดท้าย ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
พูดจบอธิบดีจางก็ให้พวกอู๋ไห่จับตามองหานเซี่ยวกั๋ว ส่วนเขาลงเขาไปเตรียมลับลูกสาวหานเซี่ยวกั๋ว
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในอุโบสถ ทำความสะอาดอุโบสถต่อ ส่วนเรื่องข้างนอกเขาไม่สนใจแล้ว
เวลาผ่านไปทีละนาที สามชั่วโมงต่อมาอธิบดีจางกลับมาพร้อมกับตำรวจติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง ตำรวจติดอาวุธหนึ่งในนั้นแบกเด็กหญิงเดินมาอยู่ข้างหลังอธิบดีจาง เด็กหญิงผิวขาวซีดราวกับรูปปั้น เหมือนตุ๊กตากระเบื้อง ดวงตาโต ขนตายาว ปากเล็ก สวมหมวก มองจากข้างๆ เส้นผมเธอถูกโกน เด็กหญิงเห็นฟางเจิ้งมองเธอก็หัวเราะพลางถอดหมวกออก ชี้ไปที่หัวโล้นของตัวเอง จากนั้นขยิบตาให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหัวเราะกับการกระทำของเด็กหญิง นี่เป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง
ข้างๆ เด็กหญิงเป็นผู้หญิงหน้าตาซีดเซียวยืนอยู่ ดวงตาเธอบวมแดงเล็กน้อย เห็นได้ว่าร้องไห้มา
ผู้หญิงคนนั้นเห็นหานเซี่ยวกั๋วใช้มีดจ่อคอตัวเองก็โกรธขึ้นมา ก่อนพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจคนอื่นที่ห้ามปราม ตบเข้าที่หน้าหานเซี่ยวกั๋วทีหนึ่ง! จากนั้นแผดเสียงร้องตะโกน “ไอ้บ้า! บอกจะไปก็ไป บอกให้มาก็มา! บอกจะหย่าก็หย่า! คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? คิดว่าพวกเราเป็นอะไร? ไอ้เลว ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามใจคุณตลอด ครั้งนี้ฉันไม่ยอมแล้ว!”
พูดจบเธอก็ควักกระดาษม้วนหนึ่งออกมา ฉีกเป็นสองส่วนต่อหน้าหานเซี่ยวกั๋ว!
หานเซี่ยวกั๋วเหม่อ ไม่รู้ว่าถูกตบจนมึนหรือตกใจกับการกระทำของเธอกันแน่ พักหนึ่งถึงดึงเธอเข้ามากอด ปล่อยให้เธอทั้งข่วน ทั้งจับ ทั้งด่าทอ ไม่ยอมวางมือ ผ่านไปนานเธอถึงสงบลง
หานเซี่ยวกั๋วพูดเสียงแหบแห้ง “เสี่ยวซวง ผมขอโทษ แต่ผมรักคุณนะ! ผมไม่อยากถ่วงคุณ…เราอย่ากันเถอะ”
“ไอ้บ้า มาทิ้งฉันตอนนี้เหรอ? ตอนแรกที่จีบฉันพูดว่ายังไง? คุณบอกฉันว่าชีวิตนี้จะอยู่กับฉันตลอดไป!” เธอพูดเสียงเบาแต่แน่วแน่
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นก็กอดเธอไว้แน่นพลางพูดเบาๆ “ได้ ถ้าผมยังรอดไปได้ ผมจะตามหาคุณแน่”
เธอขานรับอืม จากนั้นด่าต่อ “คุณบ้ารึเปล่า? ให้ฉันพาลูกสาวเรามาหาคุณตอนนี้เนี่ยนะ? ลูกสาวเราป่วยจะให้ลำบากแบบนี้ไม่ได้!”
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มแห้ง “ผมรู้ แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมแค่อยากเห็นลูก อีกอย่างอยู่โรงพยาบาลก็ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่เหรอ? บางทีหลังขึ้นเขามามองฟ้าครามเมฆขาวแล้วจิตใจสงบลง อาการป่วยอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“คุณ…” เธอจนปัญญาแล้ว จึงหมุนตัวกลับไปอุ้มลูกสาวมา “หมี่ลี่ ป๊าอยากเจอลูกน่ะ”
หมี่ลี่ยื่นสองมือออกไปทันที “ปะป๊ากอด”
หานเซี่ยวกั๋วยิ้มกอดหมี่ลี่ จากนั้นพูดกับอธิบดีจาง “อธิบดี ผมอยากคุยกับลูกสาวสักสิบนาที วัดใหญ่ขนาดนี้ผมหนีไม่รอดหรอก”
อธิบดีจางขมวดคิ้ว…
หานหมี่ลี่พูดขึ้น “อาตำรวจคะ ให้หนูเล่นกับปะป๊าสักเดี๋ยวนะ จากนี้หมี่ลี่อาจไม่ได้อยู่กับปะป๊าอีกแล้ว”
อธิบดีจางอ้าปาก สุดท้ายก็กลั้นใจปฏิเสธไม่ลง จึงโบกมือพาคนออกไป เพียงแต่ว่าข้างนอกกลับล้อมไว้อย่างหนาแน่น ทางลงเขาถูกปิดตาย
ตำรวจออกไปแล้ว หานเซี่ยวกั๋วมองฟางเจิ้ง “ไต้ซือ นี่คือลูกสาวผมหานเสียวหมี่ ชื่อเล่นหมี่ลี่ หมี่ลี่นี่ไต้ซือฟางเจิ้ง ไต้ซือเก่งมากนะ”
หลู่ซวงซวงก็ได้ยินอธิบดีจางพูดเหมือนกันว่าฟางเจิ้งโน้มน้าวหานเซี่ยวกั๋วให้มอบตัว เธอจึงรู้สึกซับซ้อนต่อฟางเจิ้งเล็กน้อย ทั้งซาบซึ้ง ทั้งไม่พอใจ ที่ซาบซึ้งก็เพราะให้หานเซี่ยวกั๋วมอบตัว แต่ก็ไม่พอใจอยู่เล็กน้อย…
ทว่าหานเสียวหมี่กลับยิ้มให้ฟางเจิ้งอย่างน่าเอ็นดู “ไต้ซือหัวโล้นสวัสดีค่ะ ท่านเก่งขนาดนั้นเป็นเพราะหัวโล้นใช่ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งอึ้งไป จากนั้นยิ้ม “อมิตพุทธ ใช่ เพราะอาตมาหัวโล้นเลยเก่งไงล่ะ”
“คิกๆ…แต่หมี่ลี่ก็หัวโล้นเหมือนกัน แต่ไม่เห็นเก่งเลยสักนิด ชอบทำให้ป๊ากับม๊าร้องไห้บ่อยๆ…” หานเสียวหมี่ดึงชายเสื้อ เม้มปากเล็กขึ้น พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
ฟางเจิ้งมองเด็กหญิงน่ารัก ยิ่งรู้สึกชอบเด็กน้อยที่รู้จักคิดและมองโลกในแง่ดี ฟังจากคำพูดได้ไม่ยาก เด็กคนนี้รู้ว่าตนป่วย แต่ก็ไม่เสียใจ กลับกันยังคงแสดงออกอย่างร่าเริง พยายามให้คนรอบข้างหัวเราะ
แต่เธอกลับไม่รู้ว่ายิ่งเธอยิ้มมีความสุขมากเท่าไร คนที่รักเธอกลับยิ่งเจ็บปวด
ฟางเจิ้งเดินเข้ามา “โยมหาน ให้อาตมาอุ้มเธอหน่อยได้ไหม?”
“ไต้ซือ…” หลู่ซวงซวงจะห้าม แต่หานเซี่ยวกั๋วออกปากตกลงไปแล้ว ถึงจะทำใจไม่ได้ แต่หานเซี่ยวกั๋วก็ยังพูดขึ้น: “หมี่ลี่ เล่นกับไต้ซือหน่อยสิ ให้ป๊าจะคุยกับม๊าลูกสักเดี๋ยวได้ไหม?”
“ค่ะ” หานเสียวหมี่กางสองแขน ฟางเจิ้งจึงเข้าไปอุ้ม จากนั้นเดินไปอีกทาง ชี้ไปยังต้นโพธิ์: “หมี่ลี่ นี่คือต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้จากภาคใต้ แต่มันแตกกิ่งในภาคเหนือ น่าสนใจรึเปล่า?”
แต่หานเสียวหมี่ไม่เข้าใจคำถามต้นไม้ภาคเหนือภาคใต้ จึงเอียงศีรษะ “ไม่รู้ค่ะ เฮ้อ…”
ฟางเจิ้งเก้อเขิน เลยจำใจพูดขึ้น “หมี่ลี่ เธอดูนั่น” พูดจบฟางเจิ้งก็หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง จากนั้นบีบจนแตกดังปัง หินแหลกเป็นเสี่ยงๆ
หานเสียวหมี่ปิดปากเล็ก พูดขึ้นด้วยความตกใจ “ว้าว เก่งจัง!”
ฟางเจิ้งหัวเราะหึๆ “หมี่ลี่อยากเก่งแบบฉันไหม?” พออยู่กับหมี่ลี่ ฟางเจิ้งไม่ใช่อาตมาแล้ว กลัวว่าเด็กน้อยจะไม่เข้าใจ
……………………….