ตอนที่84 คนที่ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่84 คนที่ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่

ทันทีที่หูหวงตรงเข้ามาในห้อง เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า

“ประธานหลี่ ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้คุณเดือดร้อนแบบนี้ ทางเราสรุปสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เป็นกลุ่มเด็กอันธพาลที่เป็นฝ่ายผิด ยังไงผมก็ต้องขอโทษประธานหลี่กับอาจารย์ฉีแทนลูกของผมด้วยนะครับ เดินทางกลับบ้านด้วยความปลอดภัยครับผม”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า

“กลับไปบ้านหัดสั่งสอนลูกชายตัวเองบ้างนะครับ อย่าปล่อยให้มาเที่ยวทำร้ายชาวบ้านชาวช่องแบบนี้อีก”

กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของหูหวงถึงกับกระตุก เขากล้ำกลืนฝืนยิ้มสุดชีวิต

“แน่นอนครับผมจะสั่งสอนเขาให้ดี ผมคงต้องขังเขาให้รู้จักสำนึกสักครั้งจริงๆแล้ว”

“กลับกันเถอะ”

หลี่ฮั่วเฉินหันไปมองฉีเล่ยและกล่าวกับเขา

“ครับ”

ฉีเล่ยยืนขึ้นและเดินออกไปจากห้องสืบสวน ระหว่างนั้นพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปถามหูหวงว่า

“จะว่าไปแล้ว…พ่อของโห่วเจียนอยู่ไหนแล้วครับ? ไม่ใช่ว่ามาด้วยกันหรอกเหรอ?”

หูหวงกล่าวตอบไปว่า

“เขาขอตัวกลับไปก่อนแล้วครับ”

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นพลางคิดกับตัวเองไปว่า ไม่ใช่ว่าโห่วเซินกัวป่วยหรือโรคกำเริบหนักถึงตาย จู่ๆถึงได้ขอตัวกลับกะทันหันโดยที่ยังไม่ได้แก้แค้นอะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วเขาดั้นด้นมาที่นี่เพื่ออะไร?

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบไปทันที

“ครับ ถ้าผู้กำกับหูเจอเขาอีกเมื่อไหร่ก็ฝากทักทายแทนผมด้วยนะครับ แค่อยากจะฝากบอกว่า เขามีลูกชายที่ดีนะ กระตุ้นให้คนเป็นพ่อฝึกสมองตามแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา”

“แน่…แน่นอนครับ!”

กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของหูหวงกระตุกขึ้นอีกครั้ง

หูหวงเดินออกไปส่งพวกเขาเป็นการส่วนตัวพร้อมรอยยิ้มกว้าง จนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถและขับจากออกไป รอยยิ้มประดับประดาบนใบหน้าจึงค่อยๆจางหายไป

ด้านหลังของเขา หูจือที่ก่อนหน้ายังไม่กลับไปโรงพยาบาลเพราะอยากนั่งดูอีกฝ่ายโดนลากเข้าคุกก็รีบวิ่งตามมา พร้อมบ่นขึ้นทันทีว่า

“พ่อ! ทำไมถึงปล่อยมันไปง่ายๆแบบนั้น? อยากให้ผมโดนทำร้ายฟรีๆงั้นเหรอ?”

“เพี๊ยะ!!”

หูหวงหันกลับมาและตบหน้าลูกชายตัวเองอย่างแรงโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ก่อนจะชี้หน้าด่าต่อว่า

“ไอ้ลูกเวร! ถ้าแกอยากตายนักก็ไม่ต้องลากพ่อลงไปด้วย! ถ้ารอบหน้าแกยังกล้าสร้างปัญหาอีก ฉันจะยิงแกให้ตายไปเลย!”

หูจือได้แต่ยกมือปิดป้องใบหน้า ไม่กล่าวปริปากพูดอะไรอีกต่อไป

หลี่ถงซีเป็นคนขับรถโดยมีหลี่ฮั่วเฉินกับฉีเล่ยนั่งโดยสารอยู่เบาะหลัง ชายชราครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้พลางนึกขอบคุณรองผู้บังคับการที่ให้ความช่วยเหลือ นี่ถือว่าเขาติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายแล้ว ไม่ว่ายังไงคงต้องโทรไปขอบคุณสักครั้ง

แต่จะอย่างไร แค่เอ่ยปากขอบคุณผ่านทางโทรศัพท์คงจะดูไม่จริงใจเท่าไหร่นัก ลองโทรไปชวนเขาออกมาดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อจะดีกว่า

เมื่อคิดได้แบบนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็รีบหยิบมือถือต่อสายไปหาอีกฝ่ายโดยเร็ว

“รองผู้บังคับการซุน ผมหลี่ฮั่วเฉินนะ ผมต้องขอบคุณมากเลยสำหรับความช่วยเหลือ ถ้าเย็นนี้มีเวลาว่าง…”

“อะไรนะครับ? อาวุโสหลี่หมายความว่ายังไงกัน? ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ยังไม่ต้องรีบขอบคุณไปหรอกครับ ตอนนี้ผมกำลังดำเนินการให้อยู่ ไม่ต้องห่วงคนของคุณปลอดภัยแน่นอน อ้ะ! นี่ไงครับคนของผมโทรเข้ามาพอดี คนของอาวุโสหลี่อยู่ในสถานีตำรวจเขตตะวันออกใช่ไหมครับ?”

“…..”

“เอ่อ…รองผู้บังคับการซุน ผมพาเขาออกมาแล้ว ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องช่วยแล้ว จะว่าไปพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้ว่างไหมครับ? ผมอยากจะชวนไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ”

“อ่อ…งั้นไม่เป็นไรครับอาวุโสหลี่ ถ้าเขาได้รับการปล่อยตัวแล้วก็โอเคครับ ครั้งนี้ผมยังไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าครั้งหน้าต้องการขอความช่วยเหลืออะไร รีบติดต่อผมมาได้เลยนะครับ”

หลังจากวางสายไป หลี่ฮั่วเฉินถึงกับนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ในหัวเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

ถ้าไม่ใช่รองผู้บังคับการซุนที่เขาขอร้องให้ช่วย แล้วใครกันที่สามารถบีบให้หูหวงถึงกับต้องปล่อยตัวฉีเล่ยด้วยท่าทีสุภาพขนาดนั้นได้?

มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นคือรองผู้บังคับการซุนน่าจะพอทราบถึงภูมิหลังของหลี่ฮั่วเฉินมาบ้าง ก็เลยติดต่อไปหาตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เหนือกว่าให้เพื่อเข้าจัดการเรื่องนี้ให้ แต่…แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่เช่นกัน เพราะถ้าหากเกิดกรณีแบบนั้นขึ้นจริงๆ มีเหรอที่รองผู้บังคับการซุนจะไม่เรียกร้องความดีความชอบ?

คล้อยหลังใช้สมองครุ่นคิดอยู่นาน หลี่ฮั่วเฉินก็ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย จนท้ายที่สุดต้องหันไปถามฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอยังรู้จักกับใครอีกไหมภายในปักกิ่ง?”

ฉีเล่ยปั้นหน้านึกอยู่สักครู่ก่อนจะส่ายหน้าไปมา และตอบไปว่า

“ผมพอจะมีคนรู้จักอยู่นะ แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้ว่าผมโดนตำรวจจับกุมตัวอยู่”

“แปลกจัง แล้วเป็นใครกัน…”

หลี่ฮั่วเฉินลูบคางอยู่สักพัก พลางอุทานด้วยความงุนงง

ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“อาวุโสหลี่ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ คนที่ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่ ล้วนแต่เป็นผู้มีเจตนาดีทั้งสิ้น เราแค่รับไว้และขอบคุณอยู่ห่างๆก็พอครับ”

สักครู่หนึ่ง เฉินอวี้หลิวก็โทรเข้ามาหาฉีเล่ย ทั้งสองพูดคุยถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันอยู่นาน เป็นเพราะเฉินอวี้หลัวคิดถึงสามีของเธอ จึงอยากได้ยินเสียงก็เลยโทรหา ฉีเล่ยก็บ่นไปเรื่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก่อนจะวางสายกันไป

หลังอาหารมื้อค่ำ ฉีเล่ยกับหลี่ฮั่วเฉินก็ออกมานั่งจิบชากันที่ลานกว้างหน้าบ้าน

หลี่ฮั่วเฉินถือถ้วยน้ำชานั่งเหยียดหลังเพื่อผ่อนคลาย เขาหันมากล่าวกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอเคยคิดไหมว่า จะต้องให้ภรรยาของเธอทำงานไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะได้มาปักกิ่ง? ฉันได้ยินมาว่าเธอเองก็เป็นหมอใช่ไหม? ตำแหน่งแพทย์ในโรงพยาบาลปักกิ่งมีการแข่งขันที่สูงมาก ถ้ายังไงให้ฉันช่วยได้นะ”

ฉีเล่ยรับฟังและนำไปคิดกับตัวเองสักครู่ ก่อนจะรู้สึกว่า ตัวเขาไม่ควรรบกวนอาวุโสหลี่มากไปกว่านี้แล้ว

เพราะไม่ว่าอย่างไร ทักษะและประสบการณ์ทางการแพทย์ของเฉินอวี้หลัวนั้นไม่ได้ด้อยอะไรนัก เธอจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์ที่ดีที่สุดในหนานหยาง และในปัจจุบันแพทย์สาขากระดูกก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก นอกจากนี้ เธอยังมีเคสโดดเด่นมากมายที่ทำการผ่าตัดประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องใช้เส้นสาย ก็สามารถเข้าไปทำงานได้อย่างสบายๆ

และที่สำคัญที่สุดเลย ก่อนหน้านี้ในเมืองหนานหยาง แม้ฉีเล่ยจะช่วยให้หลี่ฮั่วเฉินไม่ต้องเสียหน้าครั้งใหญ่  แต่หลี่ฮั่วเฉินก็ได้ตอบแทนเขาด้วยการจัดหาตำแหน่งงานในปักกิ่งให้แล้ว นี่ถือว่าระหว่างทั้งสองไม่ได้ติดหนี้บุญคุณซึ่งกันและกันอีก แต่ถ้าเขาขอร้องให้หลี่ฮั่วเฉินใช้เส้นสายพาภรรยาตามมาทำงานที่นี่ นั่นจะเท่ากับว่าฉีเล่ยติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายทันที

และฉีเล่ยไม่ต้องการติดหนี้บุญคุณคนอื่น

จิบชาในถ้วยไปหนึ่งคำ ฉีเล่ยคลี่ยิ้มพลางส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ไม่ต้องหรอกครับอาวุโสหลี่ ทั้งประสบการณ์และฝีมือของภรรยาผมจัดว่าไม่เลว ทุกครั้งที่เข้าเคสผ่าตัดล้วนประสบความสำเร็จมาโดยตลอด ต่อให้มาปักกิ่ง ถ้าไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลแถวหน้า ก็น่าจะได้เป็นแพทย์ประจำอยู่ในโรงพยาบาลขนาดกลางอย่างแน่นอน”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวว่า

“อย่าได้เกรงใจกันล่ะ นี่ไม่ได้ถือว่าเป็นการช่วย แต่เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ป่วยได้เจอแพทย์เก่งๆมากขึ้น ดังนั้นถ้าในกรณีที่เกิดปัญหาอะไรขึ้น บอกฉันได้ทุกเมื่อ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบขอบคุณกลับไป

หลังจากคุยกันได้สักพักหนึ่ง พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งสองจึงแยกย้ายกันเข้าบ้าน ขณะที่ฉีเล่ยกำลังเดินกลับเข้าไปนั้นเอง ก็ได้สังเกตเห็นหญิงสาวกำลังเฝ้ามองพวกเขาจากระเบียงชั้นสองอยู่

นี่เป็นวันแรกที่เขาได้ทำงานในฐานะอาจารย์ ดังนั้นจึงรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ เขาตรงกลับเข้าห้องเพื่ออาบน้ำล้างตัวทันที ก่อนจะจัดเตรียมกล่องบรรจุเข็มทองหางหงส์และมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของหลี่ถงซี

หลี่ถงซีเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ผมสีดำขลับดูมีน้ำหนักพาดอยู่บนบ่า ร่างกายยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากครีมอาบน้ำที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว

เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินตรงเข้ามา เธอก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“ดื่มชาก่อนไหม?”

ฉีเล่ยตระหนักดีว่า เธอน่าจะยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อยเมื่อถึงเวลาฝังเข็ม แต่อย่างไรขั้นตอนการรักษานี้ยังต้องดำเนินต่อเป็นระยะเวลานาน เขาจำเป็นต้องเอาชนะความกังวลของเธอให้ได้

“ไม่เป็นไร ผมเพิ่งดื่มมาหลายแก้ว ดื่มอีกคงตาแข็งนอนไม่หลับแน่นอน”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“นี่ก็เริ่มดึกแล้ว มาเริ่มกันเลยเถอะ แล้วต้องเปลี่ยนชุดอะไรไหม?”

“เพิ่งเปลี่ยนเมื่อกี้”

“….”

เหตุผลที่จู่ๆฉีเล่ยเอ่ยถามเธอเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะวันนี้เธอไม่ได้สวมชุดนอน…

มันเป็นชุดเปลือยครึ่งไม่เปลือยครึ่งให้อารมณ์สปอร์ตบรามาพร้อมกับกางเกงขาสั้นรัดรูป

ด้วยชุดที่รัดรูปนี้เองจึงทำให้เห็นทรวดทรงเสน่หาอันเย้ายวนของหลี่ถงซีเด่นชัดมากขึ้น ใครก็ตามที่ยังมีความเป็นผู้ชายอยู่จะต้องใจสั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฉีเล่ยเองก็ยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่มีอารมณ์และความรู้สึก เมื่อได้เห็นแบบนี้ย่อมต้องใจสั่นเป็นธรรมดา ไม่สามารถทำจิตใจให้นิ่งสงบดั่งก่อนหน้าได้อีกต่อไป

จิตใจสั่นไหว มือไม้สั่นคลอน เข็มแรกที่ปักลงไปบนร่างของหลี่ถงซีดูไม่ค่อยน่ากังวล แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการประหม่าเริ่มทำพิษ มีหยาดเหงื่อรินไหลลงมาจากหน้าผากผ่านเข้ามาในบริเวณดวงตา

เหงื่อไหลเข้าทิ่มแทงดวงตา ทำให้เห็นจุดฝังเข็มคลาดเคลื่อนไป พอถ่ายน้ำหนักปักเข็มลงไปก็พลันสัมผัสได้ทันทีว่าผิดจุด