บทที่ 72 ดอกจวี๋ฮวาเบ่งบาน บาดแผลกระบี่ทั่วร่าง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ดวงตาจินเฟยเหยาพร่าพราย ยืนอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีอย่างตะลึงงัน ดอกไม้ป่าในพุ่มไม้งอกงาม ในบรรดานั้นยังปะปนด้วยหญ้าวิญญาณเล็กๆ มากมาย มีกลิ่นหอมของยาลอยมาในอากาศ ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้ ตนเองใช่มาถึงสวนสมุนไพรของผู้อาวุโสคนใดหรือไม่

กำลังลังเลว่าจะไปเก็บหญ้าวิญญาณเหล่านั้นให้หมดดีหรือไม่ นางพลันตื่นตัว สองฟากข้างของนางมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ดุร้ายอำมหิตสองกลุ่มกำลังจับจ้องอีกฝ่ายเหมือนพยัคฆ์จ้องมองเหยื่อ บรรยากาศคุกรุ่นอย่างยิ่ง ส่วนจินเฟยเหยาปรากฏตัวขึ้นระหว่างพวกเขาอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจของทุกคนได้สำเร็จ

“อา รบกวนอารมณ์สุนทรีของทุกท่านแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ พวกท่านเชิญต่อเถอะ” จินเฟยเหยาหัวเราะหึหึ ถอยร่างไปข้างหลัง คิดจะออกไปจากสถานที่ที่มีความขัดแย้งแห่งนี้

ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองฝ่ายมองนางก้มศีรษะถอยหลังไป ทันใดนั้น มีคนหนึ่งเอ่ยปากตะโกน “จินเฟยเหยา?”

“อ๋า?” จินเฟยเหยาตัวแข็งทื่อ ข้าไม่รู้จักผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน คงไม่ใช่ศัตรูหรอกนะ นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางผู้บำเพ็ญเซียนที่เรียกนาง มีสาวงามขั้นสร้างฐานช่วงต้นเดินออกมาจากด้านหลังผู้บำเพ็ญเซียนห้าคน ไม่ ไม่ใช่สาวงาม แต่เป็นบุรุษที่งามราวกับนางฟ้า

“สยงเทียนคุน? เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ได้พบกันหลายปีเจ้ายิ่งมายิ่งสวยขึ้น” จินเฟยเหยามองเขาอย่างตกตะลึง เส้นผมสีหมึกเกล้าขึ้นเบาๆ ร่างสวมเสื้อหลัวซาน[2] ยังงดงามมีเสน่ห์ดังเดิม เพียงแต่หางตาเฉียงขึ้นนิดๆ ถึงในดวงตาจะแสดงความตื่นเต้นยินดี ทว่าก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเย็นชา

ที่แท้ฝ่ายหนึ่งเป็นคนคุ้นเคย จินเฟยเหยาเดินไปหาเขาหลายก้าวแล้วหยุดฝีเท้ายืนนิ่ง ขมวดคิ้วมองในกลุ่มของเขา ในเมื่อสยงเทียนคุนปรากฎตัวขึ้นที่นี่ นางปิศาจเฒ่าขั้นสร้างฐานช่วงปลายจะอยู่ในนั้นหรือไม่

“นางไม่ได้มา เจ้าไม่ต้องกลัว” สยงเทียนคุนมองนางด้วยรอยยิ้มเอ่ยเบาๆ จินเฟยเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ใครบอกว่าข้ากลัว ข้าแค่ไม่อยากเห็นนางเท่านั้น” ตอนนี้นางมีความมั่นใจอย่างยิ่ง ต่อให้สู้ไม่ชนะนางปิศาจเฒ่า ตนเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานย่อมหนีไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีปัญหา

“ข้าอยากจะพบเจ้ามาตลอด คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหล่นลงมาเบื้องหน้าข้าพอดี มา พวกเราไปที่อื่นกัน ที่นี่มีคนมากพูดคุยไม่สะดวก” สยงเทียนคุนยิ้มแล้วเดินมาหา ฉุดดึงมือของจินเฟยเหยาอย่างสนิทสนมเตรียมพานางจากไป

“หยุดนะ”

“ศิษย์น้องสยง”

คนสองกลุ่มเห็นเช่นนี้ อดตะโกนออกมาพร้อมกันไม่ได้

สยงเทียนคุนหยุดฝีเท้า หันกายมาถามคนกลุ่มแรกอย่างเย็นชา “ทำไม พวกเจ้ามีธุระหรือ?”

เห็นสายตาเย็นชาของเขา บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาหลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ได้แต่ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “เปล่า เปล่า แค่หวังว่าศิษย์น้องจะระวังความปลอดภัยของตนเอง ในดินแดนลึกลับลั่วเซียนมีอันตราย ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันเพื่อดูแลกัน จะได้ไม่ทำให้อาจารย์เป็นห่วง”

“ฮึ ข้าคิดจะทำอะไร ใครกล้ายุ่งเกี่ยว” สยงเทียนคุนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา หันหน้าไปมองผู้บำเพ็ญเซียนอีกกลุ่ม เชิดหน้าเลิกคิ้ว ถามอย่างดูแคลนอีกฝ่าย “สำนักจ้งเทียน มีปัญหากับการจากไปของข้า?”

“สยงเทียนคุน เจ้านึกว่าบอกไปก็ไปได้ เห็นสำนักจ้งเทียนของพวกเราเป็นอะไร ดูถูกพวกเราหรือ?” สำนักจ้งเทียนมีทั้งหมดแปดคน มีจำนวนมากกว่าคนของสำนักอวิ๋นซานมาก ยามนี้คนที่เอ่ยวาจาคือบุรุษหยาบกร้านคิ้วหนาตาโตผู้หนึ่ง

“ดูแคลนพวกเจ้า? ข้าไม่เคยดูแคลนพวกเจ้ามาก่อน คำว่าดูแคลนมาจากที่ใด” สยงเทียนคุนเหมือนจะยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสาวน้อยผู้งดงาม

จินเฟยเหยามองสยงเทียนคุนอย่างตกตะลึง บุรุษที่หยิ่งยโสราวกับปิศาจร้ายผู้นี้เป็นคนที่เมื่อก่อนมักจะขี้อาย ไม่ค่อยรู้เรื่องราวและถูกตนเองหลอกจนหัวปั่นทั้งวันจริงๆ หรือ? เหตุใดจึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือน ใช่ถูกคนชิงร่างหรือไม่

แต่นางได้รู้จากบทสนทนาว่าที่นี่ถึงเป็นดินแดนลึกลับลั่วเซียน ที่แท้ตอนตนเองปิดด่านกักตน ตำหนักลั่วเซียนเริ่มเปิดกลไกแล้ว ทว่าตนเองทั้งไม่ได้ลงชื่อสมัครทั้งยังไม่ได้จ่ายศิลาวิญญาณ ใครพาตนเองมาที่นี่ นี่ถือว่าแอบเข้ามาหรือไม่? จะถูกเวทป้องกันในดินแดนลึกลับจัดการสังหารมดแมลงที่หลงเข้ามาหรือไม่

ในขณะที่จินเฟยเหยามึนงง ทางด้านสยงเทียนคุนก็ยิ่งเอะอะมากขึ้น คำพูดของเขาดูแคลนสำนักจ้งเทียนอย่างยิ่ง ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนของสำนักจ้งเทียนไม่พอใจ บุรุษหยาบกร้านผู้นั้นบริภาษอย่างเดือดดาล “สยงเทียนคุน เจ้าอย่าได้หยิ่งผยองไป วันนี้หญ้าวิญญาณผืนนี้เป็นของสำนักจ้งเทียนเราแล้ว พวกเจ้าคิดจะยอมก็ยอม ไม่คิดจะยอมก็ต้องยอม”

สยงเทียนคุนมองผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนอย่างเย็นชา หรี่ตาพลางเอ่ยว่า “ผืนหญ้าวิญญาณอะไร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

เอ่ยจบเขาก็จูงมือจินเฟยเหยาจากไป ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้คนของสำนักอวิ๋นซานตกใจกลัว เดิมทีสำนักจ้งเทียนมีคนมากอยู่แล้วสยงเทียนคุนยังทิ้งพวกเขาไว้โดยไม่สนใจอีก เกินไปแล้ว

“หา?” ปฏิกิริยาของสำนักจ้งเทียนยังรุนแรงกว่าศิษย์สำนักอวิ๋นซาน ราวกับทุกคนถูกเข็มตำ คำรามใส่สยงเทียนคุน “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะดูถูกพวกเราแบบนี้ วันนี้ถ้าไม่ให้โลหิตของเจ้ากระเซ็นที่นี่ สำนักจ้งเทียนของพวกเรายังจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร”

“เจ้าลองดู” เผชิญหน้ากับความเดือดดาลของสำนักจ้งเทียน คิดไม่ถึงว่าสยงเทียนคุนยังเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

“รังแกกันเกินไปแล้ว ศิษย์พี่ ให้ข้าสั่งสอนเขาเถอะ” บุรุษอายุเยาว์เดินออกมาจากสำนักจ้งเทียน อ้าปากคายธงเมฆขาว[3] ออกมา ธงนี้พอเจอลมก็ขยายใหญ่ขึ้นมีพลังวิญญาณคุกคามคน

“เฮ่าชาง ระวังตัว” ผู้บำเพ็ญเซียนหยาบกร้านเอ่ยเตือน

“ทราบแล้ว ศิษย์พี่”

สยงเทียนคุนหันกายไปบอกจินเฟยเหยาที่ตกใจสุดขีด “เจ้าหลบไปด้านหลัง ข้าจัดการพวกเขาเสร็จแล้วจะพาเจ้าไป”

“อ่อ” จินเฟยเหยาตอบรับคำหนึ่งอย่างโง่งมแล้วถอยออกไป หาหินก้อนหนึ่งนั่งลง ยังคงงุนงงอยู่เช่นเดิม

ถ้าคนเราเปลี่ยนแปลงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นี่เป็นเรื่องปกติ ทว่าใครจะรู้ว่าไม่ได้พบกันไม่กี่ปี คนเราจะเปลี่ยนไปได้รวดเร็วขนาดนี้ นี่มันแมลงปอข้ามไปเป็นผีเสื้อชัดๆ เห็นสยงเทียนคุนที่ไม่คุ้นเคย จินเฟยเหยาอดคาดเดาไม่ได้ เรื่องใดหรือใครทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้ คิดไปคิดมา สุดท้ายนางก็มั่นใจ สยงเทียนคุนต้องถูกสตรีที่ตามจีบในสำนักอวิ๋นซานสลัดทิ้งแน่นอน มีเพียงสาเหตุนี้จึงสามารถอธิบายสาเหตุที่บุรุษผู้หนึ่งนิสัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากได้

“สตรีผู้นี้ไร้เหตุผลจริงๆ สยงเทียนคุนมีชาติกำเนิดที่ดีและเป็นบุรุษที่งดงามปานนี้ คิดไม่ถึงว่านางจะไม่ต้องการ ไม่รู้ว่าตาบอดหรือไม่” สหายที่ดีของตนเองจึงถูกคนสลัดทิ้ง จินเฟยเหยาอดเดือดดาลไม่ได้

ส่วนทางพวกสยงเทียนคุนต่อสู้กันแล้ว เฮ่าชางถือธงเมฆขาวโบกสะบัดในสายลม ปราณวิญญาณรอบด้านหมุนวนพ่นหมอกออกมาเปลี่ยนรูปเป็นสัตว์ปิศาจยืนอยู่กลางอากาศ ดูมีอานุภาพอย่างยิ่ง

สยงเทียนคุนยกมืออันเรียวยาวขึ้น ปากคายกระบี่สีขาวสลับเหลืองออกมาเล่มหนึ่ง ตัวกระบี่สีขาว สีเหลืองแต่ละเส้นงามดุจดอกจวี๋ฮวา หมุนวนอย่างอ่อนโยนบนตัวกระบี่ งดงามหรูหรา ทำให้คนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกยินดี

ปิศาจเมฆขาวลอยอยู่กลางอากาศเหมือนขนนกราวกับไม่มีพลังแม้แต่น้อย ทว่าพอปิศาจเมฆขาวลงมือก็ทำให้คนตกตะลึง มันกวัดวาดมือเบาๆ ก็คว้าพื้นหญ้าก้อนยักษ์ลอยขึ้นมา บนพื้นปรากฏหลุมลึกหลายจั้งในพริบตา

สยงเทียนคุนวาบผ่าน ร่ายรำกระบี่ในมือ ปราณกระบี่กลายเป็นดอกจวี๋ฮวาอันมีเสน่ห์ขนาดสามฉื่อดอกหนึ่ง บินขึ้นเผชิญหน้ากับสัตว์ปิศาจเมฆขาว ไม่รอให้ดอกจวี๋ฮวาพุ่งมาถึงเบื้องหน้าสัตว์ปิศาจเมฆขาว สยงเทียนคุนก็ร่ายรำกระบี่วิญญาณในมืออีก ดอกเบญจมาศขนาดหนึ่งฉื่อหลายสิบดอกพุ่งเข้าใส่เฮ่าชาง

ธงเมฆขาวในมือเฮ่าชางสั่นสะท้านปล่อยแสงสีขาวเจิดจ้า โล่เมฆขาวปรากฏขึ้น ดอกจวี๋ฮวาที่สยงเทียนคุนปล่อยออกมาอัดกระแทกเข้ากลางโล่เมฆขาว ถูกโล่เมฆขาวกลืนกินจนว่างเปล่าป้องกันไว้ได้ ส่วนดอกจวี๋ฮวาขนาดสามฉื่อพุ่งมาถึงเบื้องหน้าสัตว์ปิศาจเมฆขาวปะทะเข้ากับกรงเล็บแหลมคมของมัน

พริบตาก็เปล่งรัศมีสูงหมื่นจั้ง ปราณวิญญาณรอบด้านปั่นป่วน คลื่นปราณขนาดยักษ์โจมตีทุกสิ่งรอบด้าน นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน แตกต่างกับการเล่นพ่อแม่ลูกของขั้นฝึกปราณโดยสิ้นเชิง นี่จึงเป็นการต่อสู้ที่แท้จริง

จินเฟยเหยาเพิ่งได้เห็นการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก มองดูจนโลหิตเดือดพล่าน ตื่นเต้นไม่หยุด คิดจะหาสถานที่แห่งหนึ่งศึกษาเวทมนตร์ในตำราเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญหลังขั้นสร้างฐาน

เรื่องราวไม่อาจล่าช้า นางฉวยโอกาสนี้แอบขโมยดูเวทมนตร์ขั้นสร้างฐานในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ สถานการณ์อันวุ่นวายเช่นนี้ผู้ใดจะรู้ว่าจะกระทบมาถึงตนเองหรือไม่ ดูวิธีรักษาชีวิตไว้ก่อนสำคัญกว่า

ของวิเศษของคนทั้งสองล้วนคายออกมาจากปาก ทำให้จินเฟยเหยาอิจฉาแทบตาย นี่คืออาวุธเวทแก่นชีวิต เลี้ยงดูอยู่ในห้วงการรับรู้ตลอดเวลา ขอเพียงสร้างฐานแต่ละคนล้วนมีหนึ่งชิ้น ของวิเศษต่อให้มีอานุภาพมาก แต่ถ้าไม่ใช่อาวุธเวทแก่นชีวิตอานุภาพจะลดลงไม่น้อย

ทว่าจินเฟยเหยาเพิ่งสร้างฐาน พลังยังไม่เสถียร ก็ถูกพาเข้ามาในดินแดนลึกลับของเมืองลั่วเซียน ไม่ต้องเอ่ยถึงอาวุธเวทแก่นชีวิต พอคิดถึงเรื่องนี้นางก็นึกถึงลำแสงที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ได้ กระเป๋าเก็บของดูเหมือนจะสว่างขึ้นจึงรีบหยิบกระเป๋าเก็บของออกมา นางค้นหาในนั้นพบว่ามีสิ่งของชิ้นหนึ่งส่องแสงกระพริบอยู่จริงๆ

นี่คือ…มองสิ่งของที่ส่องแสงกระพริบในมือ จินเฟยเหยารู้สึกสมองพองโต นี่เป็นสิ่งของที่ล้วงมาจากตัวไป๋เจี่ยนจู๋ ป้ายห้าสีที่มีหินผลึกเล็กๆ แปดก้อนเขียนอักษรไว้ตัวหนึ่งว่าลับ

“ที่แท้นี่คือป้ายส่งตัวเข้าดินแดนลึกลับของเมืองลั่วเซียน คิดไม่ถึงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ข้าประหยัดศิลาวิญญาณไปห้าหมื่นก้อน ในเมื่อมาแล้ว ข้าก็จะเอาหญ้าวิญญาณกลับไปนิดหน่อย” จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเอาเปรียบได้อีก ใส่ป้ายห้าสีในกระเป๋าเก็บของด้วยรอยยิ้มปริ่ม นางเคยได้ยินว่า ตอนออกไปก็ต้องมีป้ายนี้จึงไม่โยนทิ้ง

จินเฟยเหยาลูบศีรษะ พลันเกิดความคิดแปลกประหลาด ถ้าไม่ออกไปล่ะ อย่างไรเสียดินแดนลึกลับของเมืองลั่วเซียนก็เปิดออกทุกสิบปี ถ้าสามารถเด็ดหญ้าวิญญาณเหล่านี้ได้ตามใจชอบ ก็จะทำเงินได้ก้อนใหญ่

“อ๊า!”

เสียงร้องอนาถดึงความคิดของนางกลับมา ทางด้านสยงเทียนคุนเป็นฝ่ายได้เปรียบ แขนข้างหนึ่งของเฮ่าชางมีโลหิตสดกระฉูด เพิ่งถูกดอกจวี๋ฮวาของสยงเทียนคุนตัด ด้านหลังสยงเทียนคุนมีปราณกระบี่รูปดอกจวี๋ฮวาสูงห้าจั้งหนึ่งดอก งดงามมีเสน่ห์อย่างยิ่ง

“ดอกจวี๋ฮวาเบ่งบาน บาดแผลกระบี่ทั่วร่าง ยอดเยี่ยมเหมือนที่ได้ยินมาจริงๆ” ศิษย์คนหนึ่งในสำนักจ้งเทียน เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

“ที่แท้สยงเทียนคุนร้ายกาจปานนี้ ทั้งยังมีชื่อเสียง หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไร” จินเฟยเหยามองปราณกระบี่อันงดงาม อดส่ายศีรษะทอดถอนใจไม่ได้

ทว่าในมุมหนึ่งของดินแดนลึกลับลั่วเซียน สายตาของไป๋เจี่ยนจู๋มองมาทางนางไกลๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ราวกับอยู่ไกลขนาดนั้นก็ยังสามารถมองเห็นนางได้

“ในที่สุดก็หาเจ้าพบ ท่าทางข้าจะเดิมพันได้ถูกต้อง เจ้าได้ยาสร้างฐานสองเม็ดของข้าน่าจะสร้างฐานได้สำเร็จ และใช้ป้ายดินแดนลึกลับมาถึงดินแดนลึกลับลั่วเซียนจริงๆ ตอนนี้ข้าจะดูสิว่า เจ้าเป็นใครกันแน่ จึงกล้ามาหยามเกียรติข้า”


[1] ดอกจวี๋ฮวา คือ ดอกเบญจมาศ

[2] เสื้อหลัวซาน คือ เสื้อทอที่บางดุจปีกจักจั่น สวมใส่แนบลำตัว

[3] ธงเมฆขาว คือ ของวิเศษของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ ปรากฏในเรื่องห้องสิน