บทที่ 86 เลือดสีทอง

ราชาซากศพ

บทที่ 86
เลือดสีทอง

นี่คือความเจ็บปวดที่เขารู้สึกในตอนแรก ของเหลวสีทองแพร่เข้าสู่หัวใจไม่หยุดหย่อน หลังจากไหลผ่านหัวใจทั้งหมดแล้ว มันก็เริ่มไหลไปตามเส้นเลือด และค่อย ๆ ไหลผ่านอวัยวะภายในทั้งหมด ในตอนนี้หลินเว่ยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเลือดสีแดงสดในเส้นเลือดของเขาค่อย ๆ ลดลง และถูกแทนที่ด้วยของเหลวสีทอง เส้นเลือดทั้งหมดในร่างกายของเขาเปล่งแสงสีทองอ่อน ๆ

ความสำเร็จของการแลกเปลี่ยนเลือดภายใน ตามด้วยส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เมื่อร่างกายของเขาเส้นเลือดใหญ่และเล็กเต็มไปด้วยเลือดสีทอง ความทุกข์ทรมานของเขาในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น เลือดสีทองเหล่านี้เริ่มแทรกซึมไปตามกล้ามเนื้อของร่างกาย และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเล็กน้อย

ความเจ็บปวดนี้ดำเนินไปเป็นระยะเวลานาน และในที่สุดก็รู้สึกถึงร่องรอยของการบรรเทาอาการเจ็บปวดลงไป หลินเว่ยคิดว่าเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ก่อนที่เขาจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเห็นว่าเลือดสีทองเริ่มซึมเข้าไปในกระดูก
ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่าเดิม เรียกได้ว่าเจ็บปวดถึงไขกระดูกจริง ๆ

คราวนี้แม้แต่บทสวดพฤกษชาติ ก็ไม่สามารถต้านทานความเจ็บปวดได้ เมื่อเลือดสีทองไหลช้า ๆ ไปตามกระดูกสันหลัง จนถึงศีรษะ ดวงตาที่เจ็บปวดของหลินเว่ยก็เปลี่ยนเป็นสีดำ และเขาก็หมดสติไป
ช่วงเวลาค่ำคืนมาเยือนอย่างรวดเร็ว และจากนั้นท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างสดใส แสงแดดสีส้มสาดเข้ามาในถ้ำ เช้าวันใหม่แห่งการเริ่มต้นมาถึง

ในตอนนี้ หลินเว่ยนั้นได้สติและนั่งอยู่ในถ้ำ เป็นไปตามความหมายของเสี่ยวไป๋ การดูดซึมและการเปลี่ยนแปลงของ หลินเว่ยในครั้งนี้ราบรื่นมาก ไม่มีอุปสรรคในด้านอื่น ๆ นอกจากความเจ็บปวดที่เขาประสบพบเจอ
อันที่จริง หลินเว่ยมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว แม้ว่าจะสามารถอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและส่วนอื่น ๆ จะล้มเหลวและส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งหมด ดังที่เสี่ยวไป๋ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ว่าอาการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง

แต่หลินเว่ยนั้นแตกต่างออกไป ทะเลลมปราณของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และถูกแทนที่ด้วยพื้นที่มิติ ความหนาแน่นของพื้นที่มิตินั้นเทียบไม่ได้กับทะเลลมปราณเดิมของเขา แต่ก็ถือว่ามันราบรื่นมาก
ตอนนี้ปากของหลินเว่ยนั้นบิดเบี้ยว แม้ว่าตอนนี้ เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองมีพละกำลังมากเพียงใด แต่ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าความเจ็บปวดก่อนหน้านี้นั้น ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว
และในใจของเขาก็เกิดความคิดที่ยอมรับความเจ็บปวดเพื่อความแข็งแกร่งของร่างกาย
หลังจากกำหมัดแน่น หลินเว่ยรู้สึกได้ว่าพลังหมัดของเขานั้นมีกำลังและน้ำหนักหลายสิบเท่าเทียบกับเมื่อก่อน
ความแข็งแกร่งของคนธรรมดาขั้นศูนย์ หมัดจะมีน้ำหนักความรุนแรง ประมาณ 300 กก. นักสู้ขั้นหนึ่ง คือ 600 กก. นักรบขั้นสอง คือ 1,000 กก. ในระดับขั้นสาม ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นสองเท่า เป็น 2,000 กก.
หลังจากชำระล้างไขกระดูกแล้ว ความแข็งแรงจะสูงถึง 10,000 กก. ในขั้นที่ห้า ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเป็น 20,000 กก.
ความแข็งแกร่งของหลินเว่ยนั้นมากกว่า 10,000 กก. นิดหน่อย เพราะเขาไม่เคยได้ใช้กำลังเพื่อไปสู้กับใครแบบตัวต่อตัว

ตอนนี้เขารู้สึกว่าด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเขา สามารถโจมตีและสูสีเทียบเทียบกับราชาขั้นเจ็ดได้ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นราชาขั้นเจ็ด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรหลินเว่ยได้
นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว การป้องกันของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เขาทดลองให้สัตว์อสูรวานรหางแดงขั้นห้า โจมตีเขาเต็มกำลัง แต่กรงเล็บอันแหลมคมของมัน ทำได้เพียงขีดข่วนหลินเว่ยให้เป็นรอยจาง ๆ สีขาวหลงเหลืออยู่บนร่างกายของเขา
อย่างไรก็ตามเขาคิดว่า เขานั้นยังปรับตัวไม่ได้กับความแข็งแกร่งของตนเอง จนเกือบจะสังหารฝ่ายตรงข้ามด้วยการเป่าเบาๆ สิ่งนี้ทำให้หลินเว่ยแอบดีใจ ถ้าเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ขุนศึกขั้นห้าทั่วไปไม่นับว่าน่ากลัวอีกต่อไป
นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านร่างกายแล้ว หลินเว่ยยังมีความต้านทานต่อพลังธาตุ นอกเหนือจากธาตุสายฟ้าที่มีอยู่ในร่างของเขาแล้ว การต้านทานพลังจากธาตุอื่น ๆ ที่อยู่ระดับขั้นต่ำ หลินเว่ยนั้นจะสามารถต้านทานได้โดยตรง ในขณะที่ขั้นกลางความแข็งแกร่งจะลดลงไปตามลำดับ
สำหรับทักษะธาตุขั้นสูงนั้นยังไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่สามารถทดสอบได้ ในความเห็นของหลินเว่ย น่าจะมีข้อควรระวังในบางเรื่อง สำหรับธาตุสายฟ้า ในการทดสอบหลินเว่ยพบว่าเขามีภูมิคุ้มกันทั้ง ทักษะหลักและทักษะระดับกลาง และผลกระทบของทักษะจะถูกหักล้างโดยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา

หลินเว่ยมีความสุขมาก หญ้ามังกรที่เขากินเข้าไปนั้นคือของดีจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับมากกว่าผลประโยชน์เหล่านี้คือ ประการแรกพลังปราณซึ่งสามารถควบแน่นเพียงครั้งเดียว ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
หลังจากการกินหญ้งมังกรเข้าไปช่วยให้ลมปราณยืดหยุ่น และมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
นอกเหนือจากการยกระดับของพลังปราณและความมั่นคงของรากฐานแล้ว ความก้าวหน้าของหลินเว่ยก็เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ในปัจจุบันขั้นตอนในการเลื่อนขั้นของเขา พลังปราณดั้งเดิมได้หายไปควบกลั่นจนเหลือเพียงขนาดของไข่คริสตัลสีม่วงอมฟ้า ที่มีวงแหวนทั้งเจ็ดล้อมรอบไข่คริสตัลราวกับหอยเม่น

คริสตัลนี้เป็นสัญลักษณ์ระดับความก้าวหน้าของหลินเว่ย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขานั้นสำเร็จไปถึงขั้นที่ห้า โดยปกติ ระดับพลังจะมีทั้งหมดเก้าระดับ ที่แสดงถึงความก้าวหน้าในแต่ละครั้ง ทุกครั้งที่สามารถเติมเต็มวงแหวนทั้งเก้ามันจะหายไป และผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้จะสามารถเลื่อนระดับขึ้นได้หนึ่งขั้น อย่างไรก็ตามในร่างของหลินเว่ยมีวงแหวนเพียงเจ็ดชิ้น ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จของเขา เขาไม่ได้เพิ่งทะลวงผ่านขั้นห้า แต่เกือบจะเพิ่มระดับไปที่ระดับสาม

และด้วยการเลื่อนระดับในครั้งนี้ ทำให้ธาตุลมและธาตุสายฟ้าในร่างของหลินเว่ยนั้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ต่อไปคือสิ่งที่หญ้ามังกรนำมาให้คือ ตามที่เสี่ยวไป๋พูดตราบใดที่กำลังภายในและหัวใจได้รับการกระตุ้น ร่างกายของเขาจะมีเกล็ดหนาแน่นขึ้นปกคลุมอย่างรวดเร็ว และมีหางที่แข็งแกร่งงอกออกมาอยู่เบื้องหลังของหลินเว่ย
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น ๆ ตามคำพูดของเสี่ยวไป๋หลินเว่ยมีหางที่แข็งแกร่ง จากเลือดมังกรที่ได้รับเข้าไป
หลังจากเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองอย่างถี่ถ้วนแล้ว กล่องหยกที่เหลือ หลินเว่ยไม่รีบร้อนเปิดมัน เขาใช้เวลาครึ่งเดือนในการสังหารสัตว์อสูรเพื่อต่อสู้ และควบคุมพลังได้อย่างอิสระเพื่อหลีกเลี่ยงการปรากฏตัวของร่างมังกรดำในช่วงแรก

ในวันนี้ หลินเว่ยไม่ได้ออกไปข้างนอก เขาหยิบกล่องหยกที่เขาเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายออกมา และพร้อมที่จะเปิดมันเพื่อดูว่า มีของดีอะไรอยู่ในนั้น หลังจากนั้นเขาก็พบมีกำมะหยี่บุพื้นกล่องเช่นเดียวกับหญ้ามังกร เขาเชื่อว่ากล่องหยก
นั้น คือของดีอย่างแน่นอน
“กรอบแกรบ!” หลินเว่ยเอื้อมมือไปเปิดกล่องหยกออกแล้ว ค่อย ๆ ยกฝาขึ้น จนเปิดออกจนหมด
“ไข่ หืม?” เมื่อมองไปที่สิ่งนี้ หลินเว่ยพบว่า มันเหมือนกับไข่ ธรรมดา ๆ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ที่หนา อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นใบหน้าของ หลินเว่ยก็แสดงสีด้วยความประหลาดใจ