ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 40 แม่นางหลินออกฌาน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สำนักเขากว่างเฉิง ณ เกาะนภากลาง มีจวนถ้ำหินแห่งหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทิวเขา เป็นสถานที่ที่คนในสำนักเขากว่างเฉิงมักใช้เข้าฌานบำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะ

ประตูหินหน้าถ้ำที่ถูกปิดสนิทมาตลอดก่อนหน้านี้ จู่ๆ ก็เปิดออกอย่างเชื่องช้า

เด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน นางสวมชุดสีขาวทั้งตัว นับว่าเป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวในขุนเขารกชัฏ ประดุจบัวสายที่เบ่งบานอย่างเงียบๆ ในยามค่ำคืน

ด้านนอกถ้ำมีเด็กหนุ่มสองคนกำลังยืนรออยู่ เมื่อพวกเขาเห็นเด็กสาวเดินออกมา บนใบหน้าของทั้งสองคนก็เผยรอยยิ้มขึ้น “ศิษย์น้องหลินออกฌานแล้วหรือ?”

หลินอวี้เสายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วคำนับทั้งสองคนก่อน “ศิษย์พี่”

เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็คำนับให้เช่นกัน หนึ่งในนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องด้วย ที่เข้าฌานครั้งนี้มีการพัฒนามาก หากปฏิบัติภารกิจสำเร็จอีกสักหน่อย ก็จะได้คลุมชุดสีน้ำเงินแล้ว”

กฎของเขากว่างเฉิง ลูกศิษย์เยาว์วัยธรรมดาจะสวมชุดขาวทั้งหมด เหมือนกับกลุ่มของเยี่ยจิ่งและหลานเหวินเหยียน รวมทั้งหลินอวี้เสาที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วยเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด

ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น และมีวรยุทธ์ในระดับหนึ่ง มีประสบการณ์และการฝึกฝนที่มากพอก็จะได้คลุมชุดน้ำเงินด้านนอกชุดขาว และก็จะถูกเรียกว่าศิษย์อัจฉริยะ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของสำนัก เช่น ซือคงจิง

เหนือขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เช่น เยี่ยนจ้าวเกอ ที่คลุมชุดน้ำเงินแต่งขอบสีดำด้านนอกชุดขาว จะเรียกว่าศิษย์สืบทอดสายตรง นอกจากตำแหน่งที่ต่างกัน มีอำนาจและบำเหน็จสูงสุดแล้ว ก็ยังมีจำนวนก็น้อยที่สุดด้วย

หลินอวี้เสายิ้มบางๆ แล้วตอบว่า “ระยะเวลาการฝึกฝนของข้ายังน้อย พื้นฐานยังไม่มั่นคง ยังขาดประสบการณ์การออกไปฝึกฝนด้านนอก ยังห่างจากลูกศิษย์ชุดคลุมน้ำเงินอีกไกลนัก”

“วันข้างหน้าหากมีโอกาสได้ออกไปฝึกฝนข้างนอกกับศิษย์พี่ทั้งสอง ข้าคงต้องขอให้พวกท่านชี้แนะด้วย”

เด็กหนุ่มทั้งสองมองตากันครั้งหนึ่ง แล้วยิ้ม พูดในใจว่า ‘มีศิษย์พี่เยี่ยนเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คอยบังลมต้านฝนให้ เจ้ายังมีภารกิจการฝึกฝนใดที่เจ้าจะผ่านไปไม่ได้อีกหรือ? ’

แต่ทว่าฝ่ายตรงข้ามอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีทีท่าว่าจะใช้อำนาจของเยี่ยนจ้าวเกอข่มขู่ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกสบายใจไม่น้อย พวกเขาจึงยิ้มแล้วพูดพร้อมกันว่า “มีศิษย์พี่เยี่ยนคอยดูแลเจ้า พวกข้ายังจะมีประโยชน์ที่ไหนกัน?”

“กลับกันถ้ามีโอกาสที่ได้ออกไปฝึกฝนกับศิษย์พี่เยี่ยน นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับพวกข้า เมื่อถึงตอนนั้นยังต้องขอให้ศิษย์น้องหลินเสนอชื่อของพวกข้าให้กับศิษย์พี่เยี่ยนด้วย”

“ศิษย์พี่เยี่ยนมีประสบการณ์มากกว่าพวกเรานัก เขาต้องตัดสินใจด้วยตัวเองไว้ก่อนแล้ว” หลินอวี้เสากล่าวพร้อมรอยยิ้มจาง

“แต่ศิษย์น้องอย่างข้า ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่ทั้งสอง”

ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็ยิ้ม ทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่ตัดสินใจแท้จริงอย่างไรก็เป็นเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ว่าท่าทางเช่นนี้ของหลินอวี้เสาก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ทั้งสองทราบหรือไม่ ว่าตอนนี้ศิษย์พี่เยี่ยนอยู่ที่สำนักหรือไม่?” หลินอวี้เสาเอ่ยถาม

ศิษย์เขากว่างเฉิงคนหนึ่งส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เยี่ยนรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์นำลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งของสำนัก ไปยังหุบเหวปราการมังกรที่อยู่ในอาณาจักรถังตะวันออก เกาะนภาตะวันออก หลังจากนั้นก็พักอยู่ที่นั่นมาตลอด ยังไม่กลับมาที่สำนัก”

“เกาะนภาตะวันออก…อาณาจักรถังตะวันออก…” หลินอวี้เสานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาเหม่อลอยไปชั่วขณะ แต่ไม่นานสายตาของนางก็กลับมาเป็นปกติ

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงคนนั้นมองนางครั้งหนึ่ง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “ศิษย์น้องเยี่ยก็ไปด้วย แต่ได้ยินมาว่าเขาหายตัวไป”

แววตาของหลินอวี้เสาวูบไหวเบาๆ ร่างกายชะงักไปเล็กน้อย และฟังฝ่ายตรงข้ามพูดต่อไปว่า “แต่ว่าก็แค่หายตัวไปเท่านั้น ตกลงว่าเป็นหรือตายยังไม่แน่ชัด”

อีกคนหนึ่งมองหลินอวี้เสาแล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ซือคงก็เดินทางไปด้วย แต่มีข่าวลือว่าหลังจากออกมาจากหุบเหวปราการมังกรครั้งนี้ ท่าทีที่นางมีต่อศิษย์พี่เยี่ยนเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป…”

หลิวอวี้เสาเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ กลับเป็นปกติ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “หวังว่าเยี่ย…ศิษย์น้องจะโชคดีฟ้าคุ้มครอง”

ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีปัญหาอะไรกัน แต่อย่างไรทุกคนก็เป็นลูกศิษย์ร่วมสำนัก นางพูดเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ

เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าแปลกไปบ้าง แต่ก็พยักหน้ารับ “จริงด้วย หวังว่าเขาจะโชคดีฟ้าคุ้มครอง”

ทั้งสามคนกล่าวลาและแยกย้ายกันไป หลินอวี้เสายืนนิ่งอยู่หน้าประตูจวนหินราวกับรูปปั้น ไม่ขยับเลยสักนิด

ผ่านไปนานพอสมควร นางถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ในที่สุดก็รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง

หลังจากที่รายงานผลของการเข้าฌานฝึกฝนของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลินอวี้เสาก็ยื่นคำขอออกนอกสำนัก เพื่อไปยังอาณาจักรถังตะวันออกที่อยู่เกาะนภาตะวันออก

ที่นั่นก็เป็นบ้านเกิดของนางเช่นกัน

เมื่อผู้อาวุโสปฏิบัติกิจที่ได้ฟังคำขอของนาง เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตามีเลศนัยแฝงอย่างหาได้ยาก ด้วยทุกคนต่างก็รู้ว่าตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่ถังตะวันออก

แต่ว่าผู้อาวุโสปฏิบัติกิจก็ไม่ได้ห้ามปราม กลับตอบตกลงโดยง่าย

หลินอวี้เสาก็ยังคงอ่อนโยนและมารยาทดีเช่นเคย นางกล่าวลาเรียบร้อย จากนั้นก็กลับไปที่พักของตนเอง ก่อนจพเก็บข้าวของและออกจากสำนัก

เพียงแต่ว่าภายใต้เปลือกนอกที่ดูสงบของนางนั้น ในใจของนางกลับรู้สึกสับสนยิ่งนัก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจน ว่าเหตุใดต้องการเดินทางไปยังอาณาจักรถังตะวันออกมากถึงเพียงนี้…

ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่เทือกเขามฤคลับตา กำลังรอรายงานการค้นหาตัวเยี่ยจิ่งและเมิ่งหว่านจากผู้ติดตาม

“คุณชาย แม่นางหลินออกฌานแล้ว กำลังมาที่อาณาจักรถังตะวันออกขอรับ”

เมื่อได้รับรายงานจากคนรับใช้ เยี่ยนจ้าวเกอก็กะพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจนัก ‘รีบมาขนาดนั้นเชียว?’

สำหรับคนคนหนึ่งที่ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยพูดคุย และไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กันมาก่อน มีเพียงแค่ภาพจากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิมเท่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าตนคิดเช่นไรกับหลินอวี้เสา ไม่มีทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดี

ความคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าของร่างคนเดิม เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อแค่เพียงคนที่ไปมาหาสู่และที่สัมผัสกับตัวเขาเองเท่านั้น ส่วนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็เป็นเพียงแค่ข้อมูล

แม้ว่าแม่นางหลินคนนี้จะถือเป็นต้นกำเนิดความขัดแย้งระหว่างตนเองและเยี่ยจิ่งก็ตาม

และไม่ว่าอย่างไรแม่นางคนนี้และเจ้าของร่างคนเดิมที่ตนเองอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันจริง และในสายตาของคนรอบข้าง นางกับตนก็ยังคงเป็นคนรักกัน

‘โอ๊ะ ไหนๆ ในที่สุดก็ออกฌานแล้ว รอพบหน้าสักครั้งหนึ่งก่อน ดูสิว่าตกลงเป็นคนอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดไปคิดมา แล้วกลับมาสนใจการค้นหาเยี่ยจิ่งและเมิ่งหว่านที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

“หาพบก็หา หาไม่พบก็ไม่เป็นไร” เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แต่ว่าถ้าหาร่องรอยของเยี่ยจิ่งพบล่ะก็ พวกเจ้าไม่ต้องลงมือ แค่ยืนยันความเคลื่อนไหวของเขาก็พอ ข้าจะไปจัดการเขาเอง”

คนอื่นต่างคิดเพียงแค่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอลงมือเองเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น จึงตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำ

‘แต่ว่าเมิ่งหว่านนั้น…’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ ‘เฉาหยวนหลง…เซียวเซิง…เมิ่งหว่าน…คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มากันเยอะแยะมากมายที่บริเวณใกล้ๆ หุบเหวปราการมังกรและเทือกเขามฤคลับตา มาทำอะไรกัน?’

เรื่องราวน่าสงสัยเช่นนี้ต้องมีความลับแน่ ความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอเพิ่มขึ้นอีก

ข่าวคราวของทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จะเก็บรวบรวมมาได้ก็ยากเป็นธรรมดา ข้อมูลที่เยี่ยนจ้าวเกอมีอยู่ในมือ ก็เป็นแค่เศษเล็กเศษน้อยและทั่วไป

สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ พวกเขาไม่ได้มาเพราะความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร แต่ดูเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า

แต่ดูเหมือนพวกเขาจะเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ มากกว่า ไม่ใช่การส่งมาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

“คุณชาย” ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอถาม “พบร่องรอยของใคร?”

“สตรีจันทราคนนั้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”

ชายหนุ่มดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “นำทางไปดูกันหน่อย ฝั่งของอาหู่ก็ให้เขาตามหาเยี่ยจิ่งต่อไป”

น้อยนักที่เมิ่งหว่านจะออกจากสำนักและอยู่เพียงลำพังคนเดียว ดูจากสถานการณ์แล้วก็ไม่เหมือนกับว่าทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีผู้มีฝีมือดักซุ่มอยู่

ถ้าไม่มีโอกาสก็ช่าง แต่หากมีโอกาสแล้วไม่ทำอะไรสักหน่อย เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตนเองคงไม่มีหน้ากลับเขากว่างเฉิงแล้ว

การต่อสู้แย่งชิงระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง ถ้าไม่มีการแทรกแซงของมือที่สาม ไม่ว่าฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีจอมยุทธศักดิ์สิทธิ์เพิ่มหนึ่งคน หรือได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง ก็ส่งผลกระทบกับความสมดุลของสถานการณ์รบ และอาจจะถึงขั้นตัดสินแพ้ชนะได้เลยทีเดียว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมงกุฎจันทรา ที่ไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ใดเทียบเทียมได้ ถ้าหากสตรีจันทราที่ขับเคลื่อนมันเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์ พลังนั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก

ปัญหาหนึ่งเดียวที่มีคือ ถ้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นนั้นจะต้องทำถึงขั้นไหน?

…ฆ่านาง?

เหมือนจะโหดร้ายเกินไปหน่อย

และถ้ามีข่าวหลุดออกไป ทั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟแน่ และผลลัพธ์ที่จะตามมาก็คือเกิดสงครามขึ้นระหว่างสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในทันที

ก่อนหน้านี้ในบึงเย็น เมิ่งหว่านก็ได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างแล้ว บาดแผลพวกนี้พอจะมั่นใจได้ว่านางอาจพ่ายแพ้ในการทดสอบจันทรากายครั้งต่อไปหรือไม่?

เยี่ยนจ้าวเกอคิดไปพลาง และเดินทางไปในหุบเขาด้วยความเร็ว

“คุณชาย” ขณะนั้นเองก็มีผู้ติดตามอีกคนมารายงานว่า “แถวนี้มีลูกศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ น่าจะเป็นคนที่ร่วมเดินทางกับเฉาหยวนหลงตั้งแต่ต้น”

“น่าสนุกนัก” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง

……….