ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 41 เด็กสาวผู้นี้อาจหาญนัก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลังจากตามรอยเมิ่งหว่านไประยะเวลาหนึ่ง ร่องรอยของนางกลับหายไป

ถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากนัก

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ติดตามก็ส่งข่าวมาว่าพบร่องรอยของนางอีกครั้ง

พวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คิดอะไรมาก มุ่งหน้าตามไปอีกครั้ง ทว่าหลังจากที่พลิกดินข้ามภูเขาตามไปนานพอสมควร ร่องรอยของเมิ่งหว่านก็หายไปอีก

“มีปัญหาแล้ว” สถานการณ์เปลี่ยนกลับไปมา เยี่ยนจ้าวเกอจำต้องหยุดฝีเท้าลง แววตาสีดำหยั่งลึกขึ้น

ปรมาจารย์ชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ผงกศีรษะ “เหมือนนางกำลังหลอกล่อให้พวกเราไปที่ไหนสักที่”

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังแนวเขาที่ต่อกันไปเป็นทอดๆ ตรงหน้า “ซุ่มโจมตีหรือ? ก็ไม่น่าใช่ ตลอดเส้นทางก็ผ่านหลายจุดที่เหมาะกับการซุ่มโจมตีมาแล้ว”

หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอก็เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “เช่นนั้นก็มาดูกันว่าเจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่?”

ชายหนุ่มโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป กลุ่มจอมยุทธ์ชุดดำรอบกายหายเข้าไปในป่าทึบอย่างไร้สุ้มเสียงทันที

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอเดินลอดเข้าไปในป่าเขาต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีจอมยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งกลับมารายงาน

“คุณชายขอรับ ห่างออกไปทางตะวันออกสักสองลี้ มีการเคลื่อนไหวของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ใกล้ๆ หุบเขาแห่งนี้ขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองฝ่ายตรงข้าม จอมยุทธ์ชุดดำคนนั้นผงกศีรษะ “เป็นศิษย์รุ่นใหม่ที่อยู่ในระดับยุทธ์หลอมกายทั้งหมด เป็นกลุ่มที่เข้าไปที่หุบเหวปราการมังกรกับเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ขอรับ”

“ไปดูสักหน่อยแล้วกัน” เยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก

ทุกคนอำพรางร่องรอยเอาไว้ พลางเข้าไปใกล้กับหุบเหวอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะยืนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆ และมองไปในหุบเหว

บัดนี้มีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังคุมเชิงอยู่ในหุบเขาอยู่

ฝั่งหนึ่งมีสามคน ทุกๆ คนสวมชุดสีขาว รีดขอบเสื้อด้วยสีแดง ปักลายดวงอาทิตย์ เป็นศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ทั้งสามคนยืนแยกออกกันเป็นสามมุม ห้อมล้อมและจับจ้องไปคนผู้หนึ่ง

คนที่พวกเขากำลังคุมเชิงด้วย กลับเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง

นางสวมชุดสีขาว ในมือถือดาบสีดำ ผมสีดำสลวยปล่อยยาวดุจน้ำตก

ข้างกายนางมีสุนัขสีดำตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งหมอบอยู่ กำลังจ้องมองไปที่ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนที่ล้อมตัวเจ้าของตนเองอยู่เบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอตกอยู่ที่ดาบยาวในมือของเด็กสาว

คมดาบดำสนิทดุจน้ำหมึก แม้อยู่ภายใต้แสงแดดที่ตกกระทบ แต่กลับไม่มีแสงสะท้อนแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้ถูกตีขึ้นด้วยโลหะ คล้ายกับถ่านหินสีดำเสียมากกว่า

ทว่าแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปไกลมาก เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของดาบยาวสีดำสนิทเล่มนั้นที่ปลดปล่อยออกมา ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างกาย

มือของเด็กสาวกำดาบยาวเอาไว้แน่น ไม่มีการสั่นคลอนเลยแม้แต่นิดเดียว

แม้ว่าจะสวมอาภรณ์สีขาว แต่ก็แตกต่างออกไปจากเครื่องแต่งกายของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่พบได้ทั่วไป

ถึงกระนั้นเพียงแค่มองท่าทางการจับดาบของนาง เปลือกตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุก “เหอะ ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม…”

ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมเป็นวรยุทธ์วิชาสายหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาเจ็ดสุริยะเช่นเดียวกับหัตถ์เทพกลางเวหาและหัตถ์เงาสนธยา เพลงดาบนี้เลื่องชื่อที่เป็นที่ยอมรับกันไปทั่วหล้า

เด็กสาวชุดขาวผู้นี้เป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

‘นางทำผิดลักลอบฝึกวิชาวรยุทธ์ของสำนัก หรือเป็นความขัดแย้งภายในสำนัก?’

เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความสนใจขึ้นระดับหนึ่ง จึงให้จอมยุทธ์ชุดดำแยกย้ายกันไปไป ส่วนหนึ่งให้ตามหาเมิ่งหว่านต่อ อีกส่วนหนึ่งให้คอยเฝ้าระวังอยู่รอบนอกของหุบเหว

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนนั้น บัดนี้สายตากำลังจดจ้องอยู่ที่เด็กสาวชุดขาว

ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นที่มีอายุมากกว่าหน่อยกล่าวพูดว่า “ศิษย์น้องเฟิง พวกข้าแค่ช่วยเหลือศิษย์พี่เซียวเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดไปเลย”

เด็กสาวชุดขาวยิ้มพลางกล่าวว่า “พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ต้องสู้กันให้รู้แล้วรู้รอดกันอยู่ดี ดูท่าพวกเจ้าคงไม่คิดที่จะหลีกทางให้ข้าอยู่แล้ว”

นางพูดต่ออย่างรวดเร็ว ทว่าก็เด็ดขาดชัดถ้อยชัดคำ ทุกๆ คำพูดทำให้ผู้คนได้ยินอย่างกระจ่างชัด

แม้ว่าจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้า ทว่าสีหน้านางกลับไม่เปลี่ยนแปลง พูดและยิ้มได้ตามใจ

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่งที่มีอายุน้อยกว่ายิ้มขึ้น พลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าพวกข้าไม่หลีกทางให้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าก็ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือกระมัง?”

“ศิษย์พี่เฟิง ก็จริงอยู่ที่ท่านอยู่ในระดับปรมาจารย์ แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว”

“ตอนนี้ท่านยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บครั้งเก่า ไหนจะอาการบาดเจ็บใหม่อีก ไม่สามารถใช้ปราณจิตราได้ ลมปราณก็อ่อนแรง พลังเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อย่าดิ้นรนให้เสียแรงเปล่าเลย”

“กลับไปพบศิษย์พี่เซียวกับพวกข้าดีๆ ก็หมดเรื่องแล้ว มิเช่นนั้นหากต้องลงมือขึ้นมา ก็ต้องบาดเจ็บมากขึ้นอีก พวกข้าจะทำใจฝืนทนได้อย่างไร?”

เยี่ยนจ้าวเกอที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างพลันยิ้ม แม้ว่าอาจจะดูได้เปรียบกว่า ทว่าดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมก็ดุร้ายรุนแรง หากเด็กสาวทุ่มสุดกำลัง ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็กังวลว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

หากสามารถใช้คำพูดโน้มน้าวความคิดของอีกฝ่ายได้ย่อมดีที่สุด

อย่างน้อยที่สุดก็ส่งสัญญาณออกไปแล้ว ถ้ายืดเวลาออกไปได้อีกหน่อย คนอื่นๆ จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็จะมาถึง ถึงตอนนั้นค่อยจับเด็กสาวตรงหน้า ก็เป็นเรื่องง่ายอย่างกับพลิกฝ่ามือ

จากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ เด็กสาวคนนั้นเป็นสาวงามที่หาพบได้ยากยิ่ง แม้จะไม่งดงามเหมือนเช่นเมิ่งหว่าน หรือสะสวยสะอาดสะอ้านอย่างเช่นซือคงจิง ทว่าอย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกับหลินอวี้เสา

นางมีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าอ่อนหวาน เรียวคิ้วเด่นชัด ทว่าใบหูที่ดูจะใหญ่ไปหน่อยทำความสวยลดน้อยลงไปบ้าง

แต่ในดวงตาคู่นั้น กลับเผยให้เห็นถึงความกล้าหาญที่หาได้ยากในสตรีเพศ

ไม่เหมือนอย่างเช่นเมิ่งหว่าน ซือคงจิง หรือหลินอวี้เสาที่ทำให้ผู้คนตะลึงงันตั้งแวบแรกที่เห็น แต่กลับเป็นหญิงงามที่ยิ่งมองนานเท่าไร ก็ยิ่งน่ามองเท่านั้น

ทว่าเมื่อสังเกตอย่างละเอียด ก็ไม่ด้อยไปกว่าเมิ่งหว่านหรือซือคงจิงเลย

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับสามารถมองออกว่า ภายในดวงตาเด็กสาวผู้นี้นอกจากความกล้าหาญแล้ว ยังมีไอสังหารที่มากกว่าปกติอีกด้วย

ดาบยาวสีดำสนิทของนางเล่มนั้น เคยได้สัมผัสโลหิตจริงๆ มาแล้ว

เด็กสาวหัวเราะร่า “เช่นนั้นพวกเจ้าจะรออะไรอยู่เล่า เข้ามาจับข้าเสียสิ เหตุใดยังต้องข่มขวัญกันอยู่อีก สามรุมหนึ่งเช่นนี้ยังต้องระแวดระวังขนาดนี้เชียวหรือ?”

นางแสยะยิ้มมองศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงข้าม “อย่ามัวแต่ทำตัวให้ดูดี แต่ไม่ได้เรื่องนักสิ”

สีหน้าของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงแค่นหัวเราะ พลางจ้องเด็กสาวเขม็ง รอยยิ้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้น “รู้สึกเหมือนว่าช่วงนี้ศิษย์พี่เฟิงจะขาดผู้ชายนะ?”

“แต่ไม่รู้ว่าท่านแก้ปัญหาอย่างไร? หรือว่าจะใช้งานเจ้าหมาดำอยู่ข้างขาของท่านหรือ? มิน่าท่านถึงได้พาติดกายตลอด”

“ทว่าอยู่ด้วยกันกับหมา คงลำบากศิษย์พี่แย่แลย ให้ศิษย์น้องคนนี้ช่วยเหลือท่านหน่อยดีหรือไม่?”

เด็กสาวคนนั้นได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด ทว่ากล่าวอย่างช้าๆ ว่า “น่าเสียดายนะ เจ้าทายผิดแล้ว โร่วโร่วของข้าเป็นตัวเมียต่างหาก”

สุนัขสีดำที่อยู่ข้างขาของนางก็เห่าขึ้นสองครั้ง จ้องศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นด้วยแววตาดุร้าย

เมื่อสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าระหว่างขาของมันไม่มีของอย่างว่าจริงๆ

นางกล่าวอย่างไม่เร่งรีบว่า “ข้าไม่สนใจไม้จิ้มฟันอย่างศิษย์น้องหรอก หักครึ่งเป็นสองท่อนแล้วพับติดกัน ก็คงมีความหนาเท่ากับไม้จิ้มฟันสองอันเท่านั้น จะเป็นสตรีคนไหนก็ใช้การเจ้าไม่ได้หรอก”

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจนสีหน้าซีดเผือด

อีกคนที่อยู่ข้างๆ พลันส่งเสียงฮึดฮัด จ้องเด็กสาวด้วยเจตนาร้ายพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่รู้ขนาดของศิษย์น้องไช่ดีเหลือเกิน ดูท่าคงจะเคยลองมาแล้ว”

“ข้าเดาเอา” หญิงสาวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนข้าจะเดาผิดหรือเดาถูกนั้น ศิษย์น้องไช่ผู้นี้ถอดกางเกงออกตอนนี้ พวกเราดูพร้อมกันก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”

ไม่ต้องบอกว่าศิษย์น้องไช่คนนั้นจะโมโหและอับอายแค่ไหน เยี่ยนจ้าวเกอที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ในตอนนี้ก็มีสีหน้าระอาเช่นกัน

แม่นางเอ๋ย ถึงแม้จะบอกว่าสตรีในยุทธภพไม่ถือสาในเรื่องเล็กเรื่องน้อย ทว่าท่าทีและวาจาเช่นนี้ของเจ้า แปดส่วนอาจจะยังเป็นลูกเจี๊ยบ ส่วนอีกสองส่วนคงจะเป็นเพราะประสบการณ์ในเรื่องเช่นนั้นยังมีไม่มากพอ

คำพูดคำจาโอ่อ่าผ่าเผยเช่นนี้ แข่งกับผู้ชายว่าใครแปดเปื้อนมากกว่ากันนั้น เหมาะสมแล้วหรือ?

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สกุลไช่ผู้นั้นอับอายจนโกรธจัด จนแสยะยิ้มอย่างดุร้ายพลางก้าวเข้าไปหาเด็กสาว “ข้าใช่ไม้จิ้มฟันหรือไม่ ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง!”

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ศิษย์น้อง ที่จริงเจ้าแค่ยืนอยู่ที่เดิมก็ดีอยู่แล้วเชียว”

“เพราะว่าศิษย์พี่จะเดินไปหาอยู่แล้ว!”

ยังไม่สิ้นเสียงพูด แสงดาบก็สว่างวาบขึ้น!

ราวกับดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อย ดิ่งลงไปทางทิศตะวันตก!

ทางที่ปลายดาบชี้ไป ราวกับจะเผาฟ้าทลายดิน!

………..