ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 42 แสงดาบโชติช่วง เมฆลมก่อตัว!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

มือขาวดุจหยกขาว ดาบยาวดุจน้ำหมึก

คลื่นแสงสีทองก่อตัวขึ้น เสมือนพระอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเผา

พระอาทิตย์ไม่ได้แขวนอยู่สูงบนฟากฟ้าเหมือนเช่นเคย ทว่าตกลงมาจากฟ้าโดยวาดเป็นเส้นโค้งขนาดใหญ่อันน่าอัศจรรย์ แผดเผาไปทุกทิศ!

ลมดาบอันเย็นเยียบ ทำให้ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ ด้วยต่างหวาดกลัวจนหมดสภาพ

‘ตอนนี้วรยุทธ์ของนางถดถอยลง อีกทั้งร่างกายยังบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษชิ้นนี้ได้ แต่เหตุใดกระบวนดาบถึงได้ดุร้ายเช่นนี้?’

เยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนดูภาพนี้อยู่บนหน้าผาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างวาบเช่นกัน ‘ฝีมือใช้ได้’

ไม่ลงมือก็แล้วไป ทว่าดูแค่กระบวนท่าเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ผลการต่อสู้แล้ว

จริงอยู่ที่เด็กสาวสาวผู้นี้ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช้วรยุทธ์เดิมได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงการกระตุ้นปราณจิตราของจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ เพราะแม้กระทั่งลมปราณภายในก็อ่อนแอถึงขีดสุด

ในระดับยุทธ์หลอมกาย อันประกอบไปด้วยขั้นร่างกาย ขั้นเบิกทางชีพจร และขั้นชักจูงลมปราณ นางใช้พลังได้มากสุดก็แค่ขั้นชักจูงลมปราณระยะต้นเท่านั้น

ทว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามคนที่นางเผชิญหน้าอยู่ด้วย ล้วนอยู่ขั้นชักจูงลมปราณระยะต้นทั้งหมด

แม้จะเป็นเช่นนั้น ด้วยการต่อสู้หนึ่งต่อสามเช่นนี้ ชัยชนะก็ยังคงเป็นของนางคนนี้อยู่ดี

นางเคยเป็นปรมาจารย์มาก่อน มีความสามารถและประสบการณ์มากกว่าศัตรูตรงหน้าทั้งสาม แต่การที่จะเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดายนั้น ก็เพราะนางมีการควบคุมและเข้าใจวรยุทธ์มากกว่าศัตรู

เพียงแค่มองดูดาบเล่มนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถฟันธงได้ว่าถ้าอยู่ในระดับวรยุทธ์เดียวกัน ไม่แน่ว่าเซียวเซิงก็อาจจะยังไม่ใช้คู่ต่อสู้ของเด็กสาวนางนี้

‘สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?’ เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง ‘ดูรูปร่างลักษณะแล้วก็น่าจะอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี’

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามต่างก็มีอาวุธวิเศษคนละชิ้นเช่นกัน

ตอนนี้พลังของทุกคนอยู่ในระดับยุทธ์หลอมกาย แต่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนพลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษได้

ทว่าดาบสีดำของหญิงสาว กลับสามารถกดอาวุธวิเศษของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างไม่ต้องเอ่ยเหตุผล

ทิศที่ปลายดาบชี้ไป ทำให้เกิดคลื่นลมเมฆซัดสาด สายฟ้าฟาด พระอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตก!

ด้วยฝีมือการต่อสู้เพียงแค่พริบตาเดียว ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนก็พ่ายแพ้หมดท่า

เด็กสาวถือดาบสีดำยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ยิ้มพลางกล่าวอย่างสบายอกสบายใจว่า “เคยพูดไปแล้วว่าพวกเจ้าแค่ยืนรออยู่ที่เดิมก็พอแล้ว”

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สกุลไช่คนนั้นพูดด้วยความตกใจว่า “เจ้ากล้าลงมือกับพวกข้าอย่างนั้นหรือ? ศิษย์พี่เซียวและสำนักไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

“อาจารย์ปู่ของเจ้าตายไปแล้ว อาจารย์ของเจ้าตอนนี้ก็ตายแล้ว ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว!”

ร่างกายของเด็กสาวสั่นเทิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป จ้องอีกฝ่ายเขม็งแล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าเกิดเรื่องกับอาจารย์ข้าหรือ? ผู้ใดเป็นคนทำ!”

ศิษย์น้องแค่นหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ทะเลตะวันออกมีการบุกรุกเล็กๆ จากปีศาจอัคคี แล้วก็เป็นเวรคุ้มกันของอาจารย์เจ้าพอดี จึงถูกราชาปีศาจอัคคีฆ่าระหว่างปะทะกัน”

“คราวนี้รู้แล้วใช่หรือไม่? ที่พึ่งของเจ้าไม่เหลือแล้ว เข้าใจแล้วก็ทำตัวว่าง่าย ยอมจำนนเสียดีๆ เถอะ มิเช่นนั้นเจ้าลำบากแน่!”

เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง สีหน้ากลับมาเป็นปกติ พลางมองศิษย์น้องไช่และอีกสองคน “พวกเจ้าไม่เข้าใจ ท่านอาจารย์ไม่ได้ปกป้องข้า แต่นางปกป้องพวกเจ้าไว้ต่างหากล่ะ”

ทั้งสามคนล้วนตะลึงงัน นางไม่รอให้พวกเขาได้ตั้งตัว แสงดาบก็สว่างวาบขึ้น!

ศีรษะของศิษย์น้องไช่ลอยออกไปลับขอบฟ้า ส่วนสองคนที่เหลืออ้าปากตาค้าง

นางกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “สองปีที่ผ่านมานี้ พวกเจ้าและศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ไล่ฆ่าข้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับพลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับข้า ส่วนข้าก็ปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดไปนับไม่ถ้วน และบ่อยครั้งที่เปิดเผยร่องรอยจนสร้างอันตรายให้ตนเองมากมายโดยไม่รู้สาเหตุ”

“ตอนที่ประมือกับพวกเจ้า เป็นเพราะข้าละเว้นชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ หลายครั้งกลับกลายเป็นเพิ่มอาการบาดเจ็บให้ตัวข้าโดยที่ไม่จำเป็น”

“พวกเจ้าคิดว่าข้าใจดี ใจไม่แข็งพอที่จะลงมือหรือ? ตั้งแต่หนีออกจากสำนัก ข้าก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียว คนที่ข้าเคยฆ่าตลอดทางที่ผ่านมา ยังมากกว่าที่พวกเจ้าทั้งสามคนเคยฆ่ารวมกันทั้งชีวิตเสียอีก”

“แต่มีเพียงคนของสำนักเท่านั้นที่ข้ายังไม่เคยฆ่า พวกเจ้าคิดว่าข้ากลัวเสียหน้าหรือ?”

“ตลกสิ้นดี นับตั้งแต่วันนั้น หนังหน้าข้าก็ถูกฉีกขาดไปแล้ว!”

ขณะที่หญิงสาวพูด นางก็ใช้ดาบฆ่าอีกคนหนึ่ง “ที่ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า เพียงเพราะไม่อยากให้ท่านอาจารย์ที่ยังอยู่ในสำนักต้องลำบากเท่านั้น”

“บัดนี้ท่านอาจารย์ก็ไม่อยู่แล้ว ข้าไม่มีอะไรให้ต้องพะวงอีก”

“สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ข้าไม่หวนกลับไปแล้ว!”

ดาบที่สามฟันลง อีกหนึ่งศีรษะร่วงลงพื้น!

“อย่างมากเมื่อข้าตาย ที่นรกก็ยังมีพวกเจ้ายกโลงให้ข้า!”

หลังจากฆ่าตัดคอทั้งสามตายคาที่ไปแล้ว สีหน้าของเด็กสาวไม่เปลี่ยนไปเลย นางเก็บดาบสีดำแล้วมองศิษย์ร่วมสำนักที่สิ้นชีพแล้วตรงหน้าอย่างเย็นชา

ภายในดวงตาของนางค่อยๆ เผยความโศกเศร้าออกมา ทว่าไม่ใช่เพราะทั้งสามคนตรงหน้า แต่กลับเป็นเพราะอาจารย์ของตน

“จะต่อต้านสำนักศักดิ์สุริยันนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ ผลลัพธ์อาจจะเป็นตายสถานเดียวก็ได้”

จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู เด็กสาวสะดุ้งโหยง เมื่อหันกลับไปมองก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสีขาว คลุมด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินรีดขอบสีดำปรากฏกายอยู่ตรงหน้า

“คนของเขากว่างเฉิง…เยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายแห่งเขากว่างเฉิงหรือ?”

หญิงสาวตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว หน้าตาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแปดพิภพ นางเองก็จำได้เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าเจ้าทำผิดกฎอะไรของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ถูกตามจับ แต่ว่าถ้าก่อนหน้านี้เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ ของศิษย์ เช่นนั้นต่อจากนี้ไปที่เจ้าต้องเผชิญก็คือการถูกไล่ฆ่าจากยอดฝีมือของจริงแล้ว”

“จริงสิ เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้ว่าจะเอ่ยเรียกเจ้าว่าอย่างไรเลย”

หญิงสาวผงกศีรษะ ท่าทีโอ่อ่าผ่าเผย “ข้าแซ่เฟิง เฟิงอวิ๋นเซิง”

เยี่ยนจ้าวเกอเอียงศีรษะเล็กน้อย มองนางแวบหนึ่ง “เหอะๆ ชื่อดีนี่ แสงดาบโชติช่วง เมฆลมก่อตัว สมกับชื่อเจ้า[1]”

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เยี่ยนต้องการสิ่งใดหรือ?”

“หากต้องการจะจับข้าส่งให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะก็ วรยุทธ์ของท่านสูงเกินไป ข้าคงหนีไม่พ้น ทว่าแม้ผลสุดท้ายจะทำให้ข้าอับอาย แต่ข้าก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ให้จับหรอก”

“แต่ถ้าหากไม่ได้จะจับข้าแล้วล่ะก็ ข้าก็อยากจะพึ่งพิงเขากว่างเฉิงขอการคุ้มครอง ไม่ทราบว่าพอจะมีหวังบ้างหรือไม่?”

การจะรับศิษย์ทรยศจากสำนักอื่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ต่อให้สำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ลงรอยกันตลอดมา แต่ก็จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ เพราะอาจทำให้ทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดฉากทำสงครามขึ้นได้

เหตุผลนี้เฟิงอวิ๋นเซิงก็เข้าใจดี “ถือเสียว่าข้าหน้าด้านหลงตัวเองก็ได้ แต่ถ้าข้าหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ด้านวิชาวรยุทธ์ข้าก็ถือได้ว่าเป็นต้นกล้าที่คุ้มค่าต่อการอบรมบ่มเพาะ อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่าเซียวเซิง หรือเฉาหยวนหลงแน่”

“ข้อมูลของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าให้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก โดยเฉพาะวิชาวรยุทธ์สืบทอดของสำนัก ต้องขออภัยที่ข้าไม่สามารถให้ได้ แม้ว่าท่านอาจารย์ของข้าจะจากไปแล้ว แต่ว่าเรื่องแบบนั้นคิดว่าท่านก็คงไม่อยากให้ข้าทำ”

“แต่ข้อมูลที่ข้าสามารถให้ได้ก็มีคุณค่าอยู่บ้าง”

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างรวดเร็ว แต่เนื้อหาละเอียด เงื่อนไขชัดเจน “ข้ารู้ดีว่าข้อต่อรองของข้ามีจำกัด และก็ไม่กล้าจะตั้งความหวังไว้มากนัก หากศิษย์พี่เยี่ยนไม่จับข้า เขากว่างเฉิงก็ไม่ได้มีความหมายกับข้า ฉะนั้นช่วยทำเป็นเหมือนไม่เคยพบข้า ปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอฟังนางพูดจนจบด้วยความสนใจอย่างมาก ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ “น่าสนใจ ในเมื่อเจ้าตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็ไม่อ้อมค้อมล่ะ”

“เจ้าก็พูดเองแล้วว่าข้อต่อรองของเจ้ามีจำกัด ดังนั้นหากอยากจะให้สำนักข้าแบกรับแรงกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แทนเจ้า ความเป็นไปได้นั้นมีน้อยมาก”

“อย่างน้อย ถ้าจะให้สำนักข้ารับตัวเจ้ามาโดยที่ไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะก็ ลำพังแค่เฟิงอวิ๋นเซิงไม่มีค่าพอหรอก” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางมองนางแวบหนึ่ง “แต่ถ้าหากเป็นเฟิงมู่เกอล่ะก็ สถานการณ์อาจจะต่างออกไป”

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ก่อนที่จะหนีออกจากสำนัก เฟิงมู่เกอก็เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว”

………………..

[1] เฟิง พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ลม อวิ๋น หมายถึงเมฆ เซิงพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ก่อเกิดหรือกำเนิด