ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 43 ที่พวกเขาพูดมาไม่นับ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สตรีแซ่เฟิงอายุอานามเท่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอหวนนึกอยู่นาน ในที่สุดก็มีข้อมูลเลือนรางผุดขึ้นมาในหัว

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกที่ค้นพบวิธีการขับเคลื่อนมงกุฎจันทรา ขณะเดียวกันก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกที่เริ่มค้นหาสตรีจันทราเช่นกัน

แรกเริ่ม สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทำการปกปิดข่าวคราวอย่างมิดชิด และเก็บเป็นความลับอย่างยิ่ง

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำนักอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กำลังอบรมบ่มเพาะสตรีจันทรา

เขากว่างเฉิงและดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ค้นหาอยู่นาน ทว่ารวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาได้เพียงน้อยนิด ถึงกระนั้นก็มีข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนอยู่เรื่องหนึ่ง

สตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์หญิงนามว่าเฟิงมู่เกอ

น่าเสียดายที่นอกจากชื่อแล้วก็ไม่มีข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์อีกเลย ทั้งรูปลักษณ์และลักษณะเฉพาะก็ไม่มีบอกกล่าวไว้

ทว่าเกือบสองปีก่อน ในการทดสอบจันทรากายครั้งแรก เมิ่งหว่านกลับโผล่ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

หลังจากนั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับเฟิงมู่เกอก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องโกหกที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กุขึ้นมา

แต่บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ตรงหน้าแล้ว ยากนักที่จะไม่คิดโยงไปถึงเรื่องอื่น

ถ้าหากเป็นสตรีจันทราที่สามารถช่วยเหลือเขากว่างเฉิงแย่งชิงมงกุฎจันทราได้ ก็ต้องมีฐานะแตกต่างกับศิษย์ทรยศสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ อย่างแน่นอน

สิ่งของยิ่งมีน้อยยิ่งมีค่า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีเมิ่งหว่าน แต่จนถึงตอนนี้เขากว่างเฉิงก็ยังไม่มีสตรีจันทราเลย

ก่อนที่จะหนีออกจากสำนักมา เฟิงมู่เกอก็เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว

ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฟิงอวิ๋นเซิง รวมถึงเห็นสายตาของนางอีก ใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็พลันหนักอึ้งเล็กน้อย

ความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การตัดขาดจากอดีต และลาจากกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

“จันทรากายของเจ้าเกิดปัญหาหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วพลางถามว่า “ก่อนที่จะหนีออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เจ้าได้สูญเสียจันทรากายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก มิเช่นนั้นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปล่อยให้สตรีจันทราพเนจรอยู่ภายนอก

แม้ว่าพวกเขาจะมีเมิ่งหว่านอยู่แล้วก็ตาม ทว่าก็คงยอมไม่ได้ที่จะให้เฟิงอวิ๋นเซิงไปพึ่งพิงสำนักอื่น

ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะมีเมิ่งหว่านอยู่แล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องลงทุนบ่มเพาะเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ดี

พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของเฟิงอวิ๋นเซิงเหนือกว่าผู้อื่นคงไม่ต้องพูด เพราะอย่างน้อยนางน่าจะบรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สำนักเดียวมีสตรีจันทราถึงสองคน แม้จะต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมากขึ้นมหาศาล ทว่าก็มีแต่ทำให้พวกเขาดีใจยิ่งขึ้น

ด้วยความกดดันจากโลกปีศาจอัคคีที่อยู่ภายนอก ทั้งสตรีจันทราก็มีจำนวนจำกัด การทดสอบจันทรากายจึงไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบจากแต่ละสำนัก โดยสามารถส่งผู้เข้าทดสอบได้มากกว่าหนึ่งคน

สำหรับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว การมีเฟิงอวิ๋นเซิงผนวกกับเมิ่งหว่าน ถือเป็นการรับประกันคูณสอง

เฟิงอวิ๋นเซิงกลับมามีท่าทีสบายๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หากเฟิงอวิ๋นเซิงยังเป็นเฟิงมู่เกออยู่ ต่อให้ท่านอาจารย์จะจากไปแล้ว เซียวเซิงก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม และไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “พวกเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงกำลังตามหาตัวเจ้านี่เอง ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรหรือ?”

“ไม่ผิด เพื่อเป็นการปกปิดร่องรอยและสลัดทหารที่ตามล่า ข้าจึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวปราการมังกรอยู่ช่วงหนึ่ง บาดแผลบนร่างกายตอนนี้ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากหุบเหวปราการมังกร” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“เจ้าเสียจันทรากายของเจ้าไปได้อย่างไร?”

“ครั้งหนึ่งตอนออกไปฝึกฝนที่ใกล้ๆ รอบนอกของอเวจี ข้าพลาดเข้าไปในบริเวณที่มีพลังหยินสูง พลังหยินระดับสูงจึงสะท้อนกลับ จนทำให้สภาพร่างกายของข้าได้รับความเสียหาย”

ถึงแม้ว่าคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอจะสะกิดโดนรอยแผลที่เจ็บปวดที่สุดของตนเอง ทว่าสีหน้าท่าทีของเฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“ตอนนั้นก็รู้สึกได้ว่าผิดปกติ หลังจากกลับไปที่สำนักจึงพบว่าพลังจันทรากายของข้าถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ค่อยๆ หายไป”

เฟิงอวิ๋นเซิงแสยะยิ้ม ในแววตามีความเกลียดชังอยู่บ้าง “ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ท่านอาจารย์ปู่เพิ่งจากไปได้ไม่นานพอดี แล้วข้าก็บังเอิญสูญเสียจันทรากายไปอีก”

“เซียวเซิงจึงคิดอกุศลกับข้า คิดจะครอบครองข้า แต่สุดท้ายข้าใช้อาวุธป้องกันตัวที่ท่านอาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ให้ เล่นงานเขาจนบาดเจ็บสาหัส”

“ปู่ของเขาโมโหมาก จึงกล่าวให้ร้ายข้า พลิกขาวเป็นดำ หาว่าข้าล่อลวงเซียวเซิงไม่สำเร็จ จึงบันดาลโทสะลอบทำร้ายจนเขาได้รับบาดเจ็บ คิดอยากจะฆ่าเขาเพื่อระบายความโกรธ”

“โชคดีที่ท่านอาจารย์ของข้ารู้ข่าวได้ทันกาล จึงลอบให้ความช่วยเหลือข้าลับๆ ข้าถึงหนีออกมาจากสำนักได้สำเร็จ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยท่าทีสนอกในใจ จู่ๆ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หืม? ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เซียวเซิงกล่าวเป็นความจริง แต่เจ้ากำลังกุเรื่องพูดแก้ตัวเพื่อหลอกข้าหรอกนะ?”

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มเยาะครั้งหนึ่ง “ต่อให้ข้าต้องเป็นฝ่ายไล่ตามผู้ชายจริงๆ ข้าจะไม่เลือกเซียวเซิง ส่วนหวงเจี๋ย พวกเราไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันนัก จึงไม่นับว่าไม่รู้จักกันดี ทว่าศิษย์พี่ถังจะไม่แกร่งกว่าเซียวเซิงหรือ?”

ชายหนุ่มยักไหล่ ยิ้มแต่กลับไม่พูด

หากเป็นเรื่องจริงอย่างที่เฟิงอวิ๋นเซิงว่า ทางสำนักคงส่งยอดฝีมือดีออกมาจับตัวนางกลับไปนานแล้ว ไม่มีทางที่จะมีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเซียวเซิงกลุ่มหนึ่งออกมาไล่โจมตีเท่านั้นแน่

แม้ว่าปู่ของเซียวเซิงจะเป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถปกปิดเรื่องให้เงียบสนิทได้

อาจารย์ปู่ของเฟิงอวิ๋นเซิงจากไปแล้ว ทว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีผู้ที่เป็นคู่ปรับกับปู่ของเซียวเซิงคอยถ่วงสมดุลอยู่

แต่ถ้าจะบอกว่าช่วยเรียกความยุติธรรมคืนให้กับเฟิงอวิ๋นเซิง นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้

เซียวเซิงและเฟิงอวิ๋นเซิงวิวาทกันส่วนตัว ขาดพยานยืนยัน ต่างคนก็ต่างคำพูด

ถึงเฟิงอวิ๋นเซิงจะไม่ได้ถูกเซียวเซิงทำมิดีมิร้าย แต่เซียวเซิงถูกเฟิงอวิ๋นเซิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเรื่องจริง

“ข้าหนีออกมาจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังฆ่าพวกเขาทั้งสามคนไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่” เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “สำนักข้าอย่างไรก็ต้องโอนเอนไปทางหลานชายของท่านผู้อาวุโสเก่าแก่ มากกว่าข้าที่สูญเสียจันทรากายอยู่แล้ว”

“สำนักละทิ้งข้าก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ บัดนี้หวังเพียงว่าศิษย์พี่เยี่ยนจะไม่กักตัวข้าไว้ ปล่อยให้ข้าไปเถิด”

“ถึงการตามจับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะน่ากลัว แต่อย่างมากที่สุดก็แค่ตาย กระนั้นก็ใช่ว่าข้าจะไม่มีทางรอดเสมอไป”

“ถึงจะไม่มีจันทรากายแล้ว แต่ข้าก็ยังมีดาบอยู่ในมือ ในเมื่อมีความหวังก็ต้องลองเสี่ยงดู และยิ่งไม่มีหวังก็ยิ่งต้องลองดู”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่พินิจพิจารณานางอย่างถี่ถ้วน

เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เห็นเจตนาร้ายในแววตาของเยี่ยนจ้าวเกอเลย

แต่การอยู่ที่นี่นานๆ ศิษย์คนอื่นจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะต้องตามมาเจอเข้าแน่

เพียงแต่หากเยี่ยนจ้าวเกอไม่พูดไม่จา นางก็ไม่สามารถปลีกตัวออกไปเองได้

นางส่ายหน้า แล้วก้มกายลงเก็บสิ่งของจากสัมภาระของทั้งสามคนที่ตายไป

จากนั้นนางก็ตวัดดาบสีดำสนิทที่อยู่ในมือ แล้วขับเคลื่อนลมปราณที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด กระตุ้นพลังภายในดาบออกมา

ปราณของอาวุธวิเศษกลายเป็นไฟลุกโชนตกลงไปบนศพทั้งสามร่าง ในพริบตาไฟก็ลุกท่วมกลืนกินศพจนหมดสิ้น

จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยื่นมือออกมาจับข้อมือนางเอาไว้

เฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้รู้สึกขวยเขิน แต่กลับเลิกคิ้วขึ้น สบตาเยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ โดยที่ไม่พูดไม่จาอะไร

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจนาง ทว่าหลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของเขาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มบาง “เฟิงอวิ๋นเซิง ใช่ว่าเจ้าจะกลับไปเป็นเฟิงมู่เกอไม่ได้”

อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเอ่ย “ตอนนั้นเจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ตัดสินด้วยตนเอง รวมทั้งยอดฝีมือระดับสูงของสำนักที่ไม่ได้เข้าฌานต่างก็…”

“สิ่งที่พวกเขาพูดมาไม่นับ” เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยท่าทีที่สบาย

ส่วนเฟิงอวิ๋นเกอได้แต่อ้าปากค้าง มองเยี่ยนจ้าวเกออยู่นานแต่ก็พูดไม่ออก

ผ่านไปนานทีเดียว หญิงสาวก็เผยสีหน้าฝืนยิ้มเป็นครั้งแรก “ดูท่านจะมั่นใจกว่าข้าเสียอีก ถึงจะไม่รู้ว่าท่านไปเอาความความมั่นใจมาจากที่ใด แต่ถ้าสามารถฟื้นฟูจันทรากายกลับมาได้ ข้าในฐานะผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็ต้องดีใจอยู่แล้ว”

“ความหมายของศิษย์พี่เยี่ยนก็คือ เขากว่างเฉิงรับข้าเอาไว้ได้หรือ? แต่ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ศิษย์พี่เยี่ยนจะมีสิทธิ์ตัดสินใจได้มากเท่าใด?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม และกำลังจะพูด แต่ใบหูของเขาพลันกระตุกเบาๆ

ด้านนอกหุบเขามีการเคลื่อนไหวของจอมยุทธ์ชุดดำ กำลังจะเข้าใกล้เยี่ยนจ้าวเกอ

มีคนกำลังเข้าใกล้หุบเหว เป็นผู้มาเยือนที่เจตนาไม่ดี อีกทั้งระดับวรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา!

เร็วมาก ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาภายในหุบเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา ซึ่งนั่นก็คือเซียวเซิง!

…………