ตอนที่ 65-1 งานแต่งงานที่จบลงด้วยความล้มเหลว

ชายาเคียงหทัย

“ทายาทหลีอ๋อง หลีอ๋องซื่อจื่อในอนาคตจะต้องเกิดจากหลิงอวิ๋น ที่สำคัญที่สุดคือ องค์หญิงซีสยาจะต้องไม่มีตำแหน่งเป็นชายารองหรือตำแหน่งที่สูงกว่าชายารองตลอดชีวิต และจะต้องไม่มีสายเลือดให้กับหลีอ๋องไปตลอดชีวิตเช่นกัน” 

 

 

เมื่อพูดจบ ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายต่างอึ้งตะลึงงันกันไปทุกคน พร้อมมองเหลยเถิงเฟิงด้วยสายตาคาดไม่ถึงและไม่พอใจ ไม่มีใครเชื่อว่าเหลยเถิงเฟิงจะใจกล้าถึงขั้นยกข้อเสนอเช่นนี้ เพราะก่อนที่หลีอ๋องจะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั้นได้แต่งงานมีชายาเอกอยู่ก่อนแล้ว แต่ข้อแม้ของเหลยเถิงเฟิงถือเป็นการขอให้ชายาเอกของหลีอ๋องที่เป็นคุณหนูของต้าฉู่ห้ามมีทายาทให้หลีอ๋องก่อนหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋น ที่สำคัญที่สุดคือ การมีสายเลือดแคว้นซีหลิงอยู่ในตัวทายาทของท่านอ๋องเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครในราชวงศ์ต่างก็ไม่ยินดีทั้งนัน 

 

 

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” ไทเฮาตรัสเสียงเข้มทันทีโดยแทบจะไม่ต้องคิด 

 

 

เหลยเถิงเฟยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ขอตัว ส่วนเรื่องที่พวกท่านหมิ่นเกียรติเราในวันนี้…แคว้นต้าหลิงของเราจะจดจำเอาไว้!” พูดจบก็หมุนตัวไปดึงองค์หญิงหลิงอวิ๋น “ไปกันเถิด” เดิมทีองค์หญิงหลิงอวิ๋นคิดว่างานแต่งงานคราวนี้จะยังต้องดำเนินต่อไป ไม่คิดว่าท่านพี่จะกลับตาลปัตรจนทำให้ตนยินดีเช่นนี้ แน่นอนว่านางย่อมไม่พูดอะไรอีก ก่อนหมุนตัวสาวเท้าตามเหลยเถิงเฟิงไป ก่อนไปยังได้เหลือบมองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ดีด้านหนึ่งด้วย 

 

 

ในวันรับตัวชายาร่วมของหลีอ๋อง พี่ชายเจ้าสาวลากตัวเจ้าสาวออกไปจากงาน 

 

 

ข่าวระหว่างหลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยาลือกันไปทั่วเมืองหลวงหรือยังนั้นไม่มีใครรู้ แต่เรื่ององค์หญิงหลิงอวิ๋นทิ้งหลีอ๋องไว้ที่งานในวันงานมงคลสมรสใหญ่นั้นกลับลือไปทั้งในและนอกเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เหลยเถิงเฟิงพาองค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับไปยังที่ทำการทูต แล้วให้คนมานำตัวองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่กำลังหน้าชื่นตาบานไปขังไว้ในห้องไม่อนุญาตให้ออกมาอีก จากนั้นจึงสะบัดแขนออกเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของที่ทำการทูต เขาถีบประตูเปิดออกก่อนเดินเข้าไปข้างใน ภายในห้องที่มีแสงเทียนอ่อน หญิงในชุดดำกำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนฟูกด้วยท่าทีสบายๆ เมื่อเห็นเขาเข้ามาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นส่งยิ้มให้ “ท่านกลับมาแล้วหรือ งานแต่งงานของหลิงอวิ๋นสนุกหรือไม่” 

 

 

เพียะ! เหลยเถิงเฟิงจ้องหน้านางอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตบเข้าที่ใบหน้าของนางที่มีผ้าปิดอยู่ “สารเลว! ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ทำอะไรผลีผลาม” หญิงในชุดดำคนนั้นถูกแรงตบที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนกลับลงไปล้มอยู่บนฟูก จนเมื่อเรียกสติกลับมาได้แล้วจึงเคยหน้าขึ้นจ้องชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาโกรธจัด พร้อมกัดฟันพูดว่า “เหลยเถิงเฟิง!” 

 

 

“สารเลว! เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ” ดวงตาครึ้มของเหลยเถิงเฟิงมีแววอำมหิต น้ำเสียงที่ออกจากปากเขาฟังดูไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย หญิงในชุดดำอึ้งไป ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ท่านเอาตัวหลิงอวิ๋นกลับมาแล้วใช่หรือไม่ หึหึ…ถึงอย่างไรท่านก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับต้าฉู่แต่แรกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านต้องการพอดี แล้วมาตอนนี้ท่านไม่พอใจเรื่องอันใดกัน” 

 

 

“เจ้าคนชั้นต่ำ!” เหลยเถิงเฟิงพรุสวาทออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เสือที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวงของตงฉู่หรือ เจ้าคิดว่าละครที่เจ้าเล่นนั้นไปหลอกใครเขาได้ รีบไสหัวขึ้นมาเดี๋ยวนี้ พวกเราจะเดินทางออกจากเมืองหลวงกันแล้ว!” 

 

 

“จะไปแล้วหรือ” หญิงในชุดดำอึ้งไป มีแววสับสนในดวงตา เหลยเถิงเฟิงหัวเราะเยาะ “เจ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวข้าให้คนมาพาตัวเจ้าไปส่งที่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วกัน เจ้าไม่ได้เฝ้าคิดถึงม่อซิวเหยามันมาตลอดหรือ เจ้าวางใจเถิด เมื่อกลับไปแคว้นซีหลิงแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าอธิบาย ทุก อย่าง เอง!” 

 

 

“ไม่!” หญิงในชุดดำกรีดร้องพร้อมลุกขึ้นจับแขนเหลยเถิงเฟิงไว้ “ข้าจะไปกับท่าน!” ไม่มีใครรู้จักม่อซิวเหยาดีกว่านาง หากตกไปอยู่ในมือเขาแล้ว นางคงได้ตายโดยที่ไม่มีใครรู้เป็นแน่ เหลยเถิงเฟิงปัดมือนางออกด้วยความรังเกียจ แล้วหมุนตัวเดินจากไป ใจกล้าแต่ดันกลัวตาย แล้วยังละโมบไม่รู้จักพออีก… 

 

 

งานแต่งงานของตำหนักหลีอ๋องกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันไปดังคาด ที่ร้ายไปกว่าการที่เจ้าสาวหนีไปเสียตั้งแต่งานยังไม่เริ่มคือ เจ้านายของตำหนักหลีอ๋อง ซึ่งรวมถึงหลีอ๋อง ชายาหลีอ๋อง และเสียนเจาไท่เฟยนั้นได้รับสารเชิญให้เข้าเฝ้าจากฝ่าบาทอย่างรวดเร็ว 

 

 

เจ้าสาวไม่อยู่แล้ว เจ้าบ่าวไม่อยู่แล้ว เจ้าของบ้านก็ไม่อยู่แล้ว แขกเหรื่อที่มาย่อมไม่อยากที่จะอยู่กินดื่มของในตำหนักต่อ ดังนั้น แขกเหรื่อทื่ดื่มน้ำชากันจนอิ่มแต่ไม่ได้รับประทานอย่างอื่นเลยนั้นจึงค่อยๆ ขอตัวลากลับไป ไม่นานตำหนักหลีอ๋องที่คึกคักก็กลับเงียบสงบดังเดิม โคมไฟและของประดับตกแต่งสีแดงสดที่อยู่ทั่วตำหนักนั้นกลับดูอึมครึมขึ้นอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ด้วยเพราะฝ่าบาทไม่ได้เรียกติ้งอ๋องกับพระชายาให้เข้าเฝ้าด้วย ดังนั้นเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาที่มาร่วมงานเลี้ยงแต่งงานอย่างเสียเที่ยวจึงได้บอกลาแขกเหรื่อคนอื่นๆ แล้วออกมาจากตำหนักหลีอ๋อง แต่เมื่อออกจากตำหนักหลีอ๋องมาได้ไม่เท่าไรก็พบเข้ากับสวีชิงเฉินที่ไม่ได้เจอกันมานาน สวีชิงเฉินมักอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่ง ต่อให้เป็นคนในตระกูลสวีก็จะใช่ว่าจะพบเขาเมื่อไรก็ได้ ตั้งแต่เยี่ยหลีแต่งงานมาก็เพิ่งได้พบหน้าเขาเพียงครั้งเดียวเมื่อตอนกลับบ้านเท่านั้น ที่บังเอิญเจอเขาในครั้งนี้จึงถือว่าน่าประหลาดใจมาก เมื่อเอ่ยทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว ทั้งสามคนจึงได้เคลื่อนตัวไปยังภัตตาคารฉู่เซียงเก๋อเพื่อรับประทานอาหาร 

 

 

“เรื่องในวันนี้ ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไร” สวีชิงเฉินจิบสุราชั้นดีในมือ ก่อนเอ่ยชมขึ้น “ว่ากันว่าสุราชั้นดีของร้านฉู่เซียงเก๋อนั้นรสเลิศที่สุดในเมืองหลวง ไม่เสียชื่อจริงๆ” 

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้ารับประทานอาหารไปพลาง ฟังทั้งสองพูดคุยกันไปพลาง เกิดเรื่องขึ้นตลอดบ่ายเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ 

 

 

“พี่สวีข่าวเร็วดีจริง” ม่อซิวเหยาเอ่ยชม สวีชิงเฉินไม่ได้ถามว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่ถามถึงความคิดเห็นของม่อซิวเหยาเลยทันที ด้วยเพราะเขาคงรู้แล้วว่าเกิดอันใดขึ้นที่ตำหนักหลีอ๋อง สวีชิงเฉินทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่กลับถอนหายใจออกมา พร้อมกับพูดเสียงอ่อนกับเยี่ยหลีด้วยความเสียใจว่า “หลีเอ๋อร์ เหตุใดสามีเจ้าจึงไม่ยอมเรียกข้าว่าพี่ใหญ่หรือ” 

 

 

เยี่ยหลีรู้สึกจุกขึ้นที่คอทันที ก่อนบังคับตนเองให้กลืนก้อนเหนียวๆ กลับลงไป แล้วเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา ก่อนหันไปมองสวีชิงเฉิน มุมปากกระตุกเล็กน้อย สวีชิงเฉินอ่อนกว่าม่อซิวเหยาสามปี ม่อซิวเหยายอมเรียกเขาเช่นนั้นสิถึงแปลก อีกอย่างต่อให้ม่อซิวเหยาเรียกเขาเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ คงต้องเรียกสวีชิงเจ๋อว่าพี่รอง และอาจรวมไปถึง ต้องเรียกสวีชิงป๋อว่าพี่อีกด้วย ม่อซิวเหยาส่งชามน้ำแกงมาให้นาง เมื่อเห็นนางดื่มลงไปแล้วจึงได้หันไปยิ้มกับสวีชิงเฉินว่า “พี่สวี ท่านเป็นเพียงพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของอาหลีเท่านั้น” 

 

 

สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ถือที่ท่านอ๋องจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่” 

 

 

ดวงตาม่อซิวเหยามีแววครุ่นคิด ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าคิดว่าพี่สวีคงยังจำได้…ว่าข้าน้อยเคยเป็นศิษย์ของท่านชิงอวิ๋น” แต่ท่านเป็นหลานชายของท่านชิงอวิ๋น ส่วนข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านชิงอวิ๋น “อีกอย่าง ท่านย่าของข้า ดูเหมือนจะแซ่เดียวกับฮูหยินใหญ่ตระกูลสวี” ทั้งสองมาจากตระกูลเดียวกัน หากเทียบอายุแล้วห่างกันสองปี แต่หากเทียบรุ่นแล้วอันที่จริงถือว่ารุ่นเดียวกัน 

 

 

เยี่ยหลีรู้ดีว่าสวีชิงเฉินไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ม่อซิวเหยาต้องลำบากใจหรอก เพียงแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้น เยี่ยหลีดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่มุมปาก ก่อนยิ่มน้อยๆ “พี่ใหญ่ ท่านสนใจเรื่องว่าใครจะเรียกท่านอย่างไรตั้งแต่เมื่อไรกัน หากท่านอ๋องยอมเรียกตามที่ท่านว่าจริง จะไม่เป็นการเรียกยอดชายงามของเมืองหลวงเป็นผู้อาวุโสหรือ” 

 

 

สวีชิงเฉินกวาดตามองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี เขาเห็นที่เมื่อสักครู่ม่อซิวเหยาส่งชามน้ำแกงให้เยี่ยหลีด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติจึงมีแววพอใจปรากฏขึ้นในแววตา แต่เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูดเช่นนี้ จึงแกล้งมองค้อนนางอย่างไม่พอใจ ก่อนถอนใจเบาๆ “เมื่อแต่งงานออกไปแล้วก็กลายเป็นพวกคนอื่นไปแล้วจริงๆ ด้วย ท่านพ่อกับท่านอารองจะต้องเสียใจเป็นแน่ที่อนุญาตให้เจ้าแต่งงานออกไปเร็วเช่นนี้” นางป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของรุ่นของตระกูลสวีเชียวนะ มากลายเป็นคนของตระกูลอื่นไปเช่นนี้ ใบหน้าอันงดงามของเยี่ยหลีมีเลือดฝาดขึ้นทันที “พี่ใหญ่ นี่ท่านมาเพื่อต่อว่าข้าหรือ” 

 

 

สวีชิงเฉินส่ายหน้า ปรับสีหน้าให้มีรอยยิ้มก่อนมองหน้าม่อซิวเหยาตรงๆ ม่อซิวเหยานิ่งคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “พี่สวีเห็นว่าเรื่องในวันนี้มีอะไรน่าสงสัยหรือไม่” 

 

 

“เมื่อสักครู่…เหลยเถิงเฟิงพาองค์หญิงหลิงอวิ๋นออกเดินทางไปจากเมืองหลวงแล้ว” สวีชิงเฉินกล่าว “ไม่แม้แต่จะเข้าไปทูลลากับฝ่าบาท แต่ออกเดินทางไปโดยทันที” 

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วถามขึ้น “อำนาจของเหลยเถิงเฟิงมีมากพอที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องเช่นนี้แล้วหรือ” เรื่องการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถึงแม้ทั้งสองแคว้นจะต่างมีจุดประสงค์ที่ไม่ดี แต่เพียงเหลยเถิงเฟิงบอกให้ยกเลิกก็ยกเลิกได้ง่ายๆ ต่อให้ม่อจิ่งหลีเป็นฝ่ายผิดก่อน แต่หากพูดเรื่องนี้ออกไปจะกลายเป็นแคว้นซีหลิงที่ไม่มีเหตุผล สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ว่าเหลยเถิงเฟิงมีอำนาจหรอก แต่เป็นเจิ้นหนานอ๋อง บิดาของเขาที่มีอำนาจ ฮ่องเต้ของแคว้นซีหลิงร่างกายอ่อนแอ เจ็บออดๆ แอดๆ อีกทั้งตอนนี้ก็มีเพียงองค์หญิงสองสามคนกับรัชทายาทที่อายุเพิ่งเจ็ดขวบเท่านั้น ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สำเร็จราชการ แต่เป็นในทางปฏิบัติกลับเป็นเช่นนั้น” 

 

 

“เช่นนั้น…การสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับต้าฉู่ เป็นความต้องการของฮ่องเต้แคว้นซีหลิงหรือเจิ้นหนานอ๋องกันหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม 

 

 

สวีชิงเฉินส่ายหน้า ซีหลิงกับต้าฉู่เป็นอริเก่ากันมาแต่ไหนแต่ไร แต่สายข่าวของตระกูลสวียังไม่เก่งกาจพอถึงขั้นจะแทรกซึมเข้าไปในวังหลวงของแคว้นซีหลิงได้ ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าจะส่งคนไปสืบ”