ตอนที่ 65-2 งานแต่งงานที่จบลงด้วยความล้มเหลว

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีรู้สึกว่าชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ดูจะคิดกันไปไกลเกินไปหน่อย นางเหลือบตาขึ้นมอง “ใครกันที่เป็นคนพาองค์หญิงซีสยาเข้าไปในตำหนักหลีอ๋อง” ต่อให้องค์หญิงซีสยาคุ้นเคยกับตำหนักหลีอ๋องเพียงใด หรือจะเข้าออกตำหนักหลีอ๋องเป็นปกติเพียงไหน แต่นางก็เป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ องค์หญิงคนหนึ่งไปร่วมงานแต่งงานที่ตำหนักหลีอ๋อง แต่พวกบ่าวกลับไม่มีใครคิดที่จะไปรายงานนายตนกันสักคน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย 

 

 

สวีชิงเฉินและม่อซิวเหยาต่างอึ้งไป สายตาหลุบลงอย่างใช้ความคิด ก่อนหันไปสบตากัน แล้วจู่ๆ สวีชิงเฉินก็หัวเราะขึ้น ก่อนถอนใจเบาๆ “ดูท่าจะมีอีกหลายเรื่องที่พวกเรามองข้ามไป หลายปีมานี้ข้าเร่รอนอยู่ด้านนอกจนเริ่มไม่คุ้นชินกับเมืองหลวงเสียแล้ว…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่สวีพูดถูก หลายปีนี้ข้าปิดประตูตำหนักไม่ออกไปไหนมาไหน คงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่พวกเราไม่รู้จริงๆ เสียแล้ว เรื่องนี้ข้าจะส่งคนไปสืบเอง” 

 

 

สวีชิงเฉินพยักหน้า “ท่านอ๋องรับอาสาข้าก็วางใจ อีกไม่กี่วันข้าจะเดินทางออกจากเมืองหลวงพอดี เรื่องพวกนี้ข้าคงช่วยไม่ได้” 

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป “พี่ใหญ่ท่านจะไปจากเมืองหลวงหรือ จะกลับอวิ๋นโจวหรือเจ้าคะ” 

 

 

สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เปล่า ข้าคิดว่าจะไปที่หนานจ้าวสักหน่อย” 

 

 

“หนานจ้าวหรือ” เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “ข้าจำได้ว่าน้องห้าบอกว่า พี่ใหญ่เพิ่งไปที่หนานจ้าวมาเมื่อสองปีก่อน” 

 

 

ม่อซิวเหยาเอามือจับจอกเหล้าพร้อมเลิกคิ้ว “ท่านคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่หนานจ้าวหรือ” 

 

 

สวีชิงเฉินถอนหายใจมองหน้าม่อซิวเหยา “ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านจะมองไม่ออก ตอนนี้ที่ไหนก็สามารถเกิดเรื่องได้ทั้งนั้น” ขอเพียงรอให้ตำหนักติ้งอ๋องสูญสิ้นลง ทุกพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตำหนักติ้งอ๋องข่มอำนาจบารมีเอาไว้ในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา จะกลับฟื้นคืนขึ้นพร้อมกลืนกินต้าฉู่ให้ดับสิ้นไป ไม่ว่าแคว้นหนานจ้าวหรือแคว้นซีหลิง หรือแคว้นเป่ยหรง หรือแม้แต่แคว้นเกาะในทะเล มีใครบ้างที่เห็นผืนแผ่นดินกันกว้างใหญ่และงดงามของต้าฉู่แล้วจะไม่น้ำลายไหล เพียงแต่ตอนนี้ในหัวของผู้มีอำนาจของต้าฉู่เห็นเพียงอานุภาพของตำหนักติ้งอ๋อง ด้านหนึ่งก็คิดทำทุกวิถีทางเพื่อกดตำหนักติ้งอ๋องให้จมลง อีกด้านหนึ่งก็กลัวว่าจะเกิดตำหนักติ้งอ๋องอีกตำหนักขึ้นจึงไม่ยินยอมที่จะสนับสนุนฝึกปรือให้เกิดผู้บัญชาการกองทัพคนใหม่ แต่พวกเขาไม่เคยนึกถึงวันที่สูญเสียตำหนักติ้งอ๋องไปและไม่มีผู้บัญชาการที่เก่งกาจพอที่จะมาทดแทนได้เลยเชียวหรือ ถึงตอนนั้นต้าฉู่จะทำเช่นไร หรือผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรนั้นจะคิดว่าเขาสามารถอาศัยวิธีการเดียวกับที่เขาใช้คานอำนาจมาเป็นตัวช่วยในตอนสงครามได้อย่างนั้นหรือ 

 

 

“พี่ใหญ่คิดว่า…หนานจ้าวจะลงมือก่อนหรือ” เยี่ยหลีถามขึ้น ถึงแม้คนของหนานจ้าวจะมีความดุร้าย แต่ถึงอย่างไรเรื่องการศึกก็ยังเก่งกาจไม่เท่าแคว้นเป่ยหรงและแคว้นซีหลิง อีกอย่างพื้นที่ติดชายแดนทางตอนใต้ยังถูกม่อซิวเหยากวาดล้างไปเมื่อตอนนั้นอีก หนานจ้าวในตอนนี้ เกรงว่าจะทำสงครามกับต้าฉู่ไม่ได้อีก 

 

 

สวีชิงเฉินกล่าวว่า “เดิมทีคงจะไม่ แต่ตอนนี้…ข้ากลัวว่าท่านนั้นของพวกเราจะชิงลงมือกับหนานจ้าวก่อน” 

 

 

“เอ๋” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นก่อนหันไปมองม่อซิวเหยา จึงได้เห็นแววเห็นด้วยในดวงตาอันเรียบเฉยของม่อซิวเหยา “ท่านนั้น…บ้าไปแล้วหรือ” เดิมทีก็มีศึกพัวพันกับเป่ยหรงและซีหลิงอยู่แล้ว หากเปิดศึกกับหนานจ้าวขึ้นอีก ไม่กลัวว่าทั้งสามแคว้นจะร่วมมือกันตลบหลังหรือ ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ต้าฉู่ไม่มีแม่ทัพที่สามารถใช้การได้เลย เกรงว่าต่อให้ม่อหลั่นอวิ๋นและม่อหลิวฟางยังมีชีวิตอยู่ ต้าฉู่ก็ยังต้องล่มสลายอยู่ดี 

 

 

สวีชิงเฉินถอนหายใจ “เมื่อครั้งฮ่องเต้ของพวกเราองค์ก่อนขึ้นครองราชย์ ถึงแม้จะมีพระชนมายุค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังได้รับการชี้แนะจากท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นอย่างดี แต่…ท่านนั้นในตอนนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนคงยังไม่ทันได้ชี้แนะสักเท่าไร ดูเหมือนจะเป็นไทเฮาที่คอยอบรมมา” อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุเพียงสี่สิบพรรษาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าตนเองจะมีชีวิตไปอีกยี่สิบสามสิบปี จึงไม่ได้คิดวางแผนที่จะอบรมรัชทายาทเพื่อให้มาขวางทางตนเองเร็วถึงเพียงนั้น ใครจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ จะมาด่วนจากไปเช่นนี้ ส่วนไทเฮา ถึงแม้ใครๆ ต่างเรียกกันว่าเป็นยอดหญิงแห่งยุค แต่ก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งในวังหลังเท่านั้น ที่สามารถชี้แนะฮ่องเต้ได้ก็มีเพียงการวางเล่ห์กลอุบายคิดแก้แค้น แน่นอนว่าที่ม่อจิ่งฉีสามารถขึ้นนั่งบัลลังค์เป็นฮ่องเต้ได้อย่างมั่นคงหลังจากที่อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้นเป็นเพราะการวางแผนของฮองเฮา เพียงแต่การวางเล่ห์กลอุบายนี้สามารถนำมาใช้ในการแก่งแย่งดินแดนเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้ในการปกครองแผ่นดินได้ ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะมีเป้าหมายให้ตนเองเป็นยอดผู้นำแห่งยุค แต่ตัวเขารู้ดีว่า ความสามารถในการปกครองแว่นแคว้นของเขายังไม่อาจเทียบเท่าเสด็จพ่อของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญและระมัดระวังในตำแหน่งฮ่องเต้ของตนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครที่สามารถเป็นภัยร้ายต่อบัลลังค์ของพระองค์ จะต้องถูกกำจัดอย่างไร้ความปรานี” 

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “แต่พี่ใหญ่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่เจ้าคะ หากเกิดอันตรายขึ้นจะทำเช่นไร” 

 

 

เยี่ยหลีมองชายหนุ่มที่ดูหนักใจทั้งสองแล้วอดที่จะถอนใจออกมาไม่ได้ โลกก็เป็นเช่นนี้ บางคนทุกข์ร้อนด้วยเพราะเป็นห่วงประเทศเป็นห่วงประชาชา แต่บางคนกลับเอาแต่ลอบวางกลอุบาย มีบางคนเป็นทุกข์ด้วยเพราะมีสติครบถ้วน แต่ก็มีบางคนที่เอาแต่เต้นระบำอยู่ท่ามกลางความเมามาย 

 

 

สวีชิงเฉินยิ้ม “ข้าเคยผูกสัมพันธ์กับองค์หญิงรัชทายาทของหนานจ้าวอ๋อง จะไปเยี่ยมนางเสียหน่อยเท่านั้น” 

 

 

องค์หญิงรัชทายาทหรือ เยี่ยหลีนึกประหลาดใจกับการท่องเที่ยวไปทั่วของสวีชิงเฉิน 

 

 

ม่อซิวเหยายกจอกขึ้นยื่นไปทางเขา “ขอบคุณมาก” 

 

 

สวีชิงเฉินยกจอกขึ้นตอบ แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องหรอก นี่เป็นความต้องการของท่านพ่อ ไม่ได้ทำเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง” ตระกูลสวีไม่มีวันหักหลังต้าฉู่ แต่ตระกูลสวีก็ไม่ใช่ผู้กอบกู้ ไม่มีกำลังพอที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ทั้งหมดได้ ที่พวกเขาทำได้ก็เพียงทำเท่าที่เขาทำได้เท่านั้น 

 

 

เมื่อส่งสวีชิงเฉินไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้รู้ว่า ที่สวีชิงเฉินมานี่ก็เพื่อที่จะมาบอกลาพวกเขาเท่านั้น แม้แต่ม่อซิวเหยายังเคยกล่าวชื่นชมท่านลุงใหญ่ว่า อาจเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกนี้คนหนึ่ง คงเพราะเมื่อมีข่าวเรื่องความล้มเหลวในการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นแพร่ออกไป ท่านลุงใหญ่คงคาดการณ์ถึงทิศทางของต้าฉู่ในอนาคตไว้แล้ว ทั้งยังส่งพี่ใหญ่ไปที่หนานจ้าวตั้งแต่คนในวังรวมถึงท่านท่านนั้นยังไม่ทันตั้งสติได้อีกด้วย “หากในอนาคตเกิดอะไรขึ้นกับต้าฉู่ ตระกูลสวีคงยากที่จะรอดพ้นใช่หรือไม่” 

 

 

ม่อซิวเหยามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน “หากเจ้าหมายถึงการกันตัวออกจากเรื่องนี้ นั่นคงเป็นไปไม่ได้” ด้วยบทบาทของตระกูลสวี พวกเขาไม่ได้ภักดีต่อองค์ฮ่องเต้อย่างสุดหัวใจ แต่พวกเขาสามารถสละชีพเพื่อต้าฉู่ได้ “อาหลีรู้หรือว่าเหตุใดตระกูลสวีที่เป็นขุนนางเก่าของราชวงศ์ก่อนจึงได้รุ่งเรืองอยู่ในต้าฉู่ได้เป็นร้อยปีโดยไม่ถดถอยลง” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ม่อซิวเหยาจึงกล่าวต่อว่า “ช่วงปลายราชวงศ์ก่อน ใต้หล้าวุ่นวายอย่างหนัก…ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ก่อนไม่ใช่นักปกครองที่เผด็จการและไม่ใช่นักปกครองที่ไร้ความสามารถ เขาแทบไม่มีข้อเสียใดๆ เลย เพียงแต่ไม่เหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้เท่านั้น บรรพบุรุษของตระกูลสวีพยายามทุกวิถีทางที่จะประคับประคองฮ่องเต้องค์สุดท้ายเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นตระกูลแห่งบัณฑิต แต่อย่างน้อยๆ ก็มีสมาชิกตระกูลสวีถึงเจ็ดคนที่ตายลงในสมรภูมิรบ จนสุดท้าย ท่านม่อหลั่นอวิ๋นนำทหารเข้าปิดล้อมเมืองหลวง หัวหน้าตระกูลสวีในตอนนั้นออกบัญชาการรบด้วยตนเองทั้งๆ ที่เป็นบัณฑิต เกิดการปะทะกันเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่จบไม่สิ้น บุตรชายคนโตของปฐมฮ่องเต้บุ่มบ่ามนำทหารบุกเข้าไป จึงเสียชีวิตลงท่ามกลางสมรภูมิรบที่วุ่นวายนั้น ปฐมฮ่องเต้พิโรธหนัก สั่งให้ทหารจับชาวบ้านบริเวณโดยรอบเมืองหลวงไว้แล้วให้สังหารทุกวันที่นอกเมือง หากฮ่องเต้องค์สุดท้ายไม่ยอมจำนนจะสังหารชาวบ้านวันละห้าพันคน และเมื่อถึงวันที่เมืองแตก จะสังหารทุกคนในเมืองให้ไม่มีเหลือ วันต่อมา หัวหน้าตระกูลสวีลงมือสังหารฮ่องเต้องค์สุดท้ายด้วยตัวเองพร้อมเปิดประตูเมืองให้อีกฝ่ายนำทหารเข้ามา โดยมีข้อแม้เดียวคือห้ามทำร้ายชาวบ้านในเมืองและในละแวกใกล้เคียง วันที่ทหารแคว้นฉู่เข้าไปเมืองไปนั้น หัวหน้าตระกูลสวีทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้ปฐมฮ่องเต้ จากนั้นจึงได้ฆ่าตัวตายตาม และในวันเดียวกันนั้นเอง สวีซื่อฮูหยินได้นำสมาชิกตระกูลสวีทั้งหมดเจ็ดสิบสามชีวิตมาฆ่าตัวตายตามแคว้นไป เหลือไว้เพียงลูกชายคนเล็กของตระกูลสวีที่อายุเพียงสิบสามปีและยังอยู่ไกลถึงอวิ๋นโจว หรือที่ต่อมากลายเป็นเสนาบดีสวีเยี่ยนหลีตั้งแต่อายุยังน้อยนั่นเอง” 

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไปกับข้อมูลลับที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ในใจมีความเจ็บปวดที่พูดไม่ออก นางนึกเสียใจและหงุดหงิดใจที่ในตอนนั้นได้พูดจาเหลวไหลไปกับท่านลุงใหญ่ นางอาจไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นความภาคภูมิใจของบัณฑิตที่เรียนหนังสือ แต่การที่นางเป็นทหาร ทำให้นางเข้าใจและรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความเด็ดเดี่ยวและความภักดีของทหาร นางไม่กล้าคาดเดาว่า เมื่อนางถามเช่นนั้นออกไป ในใจท่านลุงใหญ่จะเต็มไปด้วยความผิดหวังและทุกข์ใจเพียงใด นั่นถือเป็นการสบประมาทและดูหมิ่นบรรพบุรุษตระกูลสวีและอีกเจ็ดสิบสามชีวิตที่ได้ตายตามแคว้นไปอย่างถึงที่สุด 

 

 

“เช่นนี้…เหตุใดจึง…” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงอ่อน 

 

 

ม่อซิวเหยากล่าวว่า “เจ้าคิดจะถามว่าเหตุใดจึงไม่เหมือนที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่ ไม่มีอะไรไม่เหมือนหรอก สวีเยี่ยนหลีคอยช่วยฮ่องเต้จากต้าฉู่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แม้แต่ฮ่องเต้องค์ที่สามของต้าฉู่ก็เป็นเขาที่คอยสั่งสอนมากับมือ ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นขึ้นมา องค์ปฐมฮ่องเต้ได้พระราชทานราชทินนามและตำแหน่งที่น่าอิจฉาแก่ผู้เสียชีวิตของตระกูลสวีทุกคน” เมื่อเห็นท่าทางตกใจของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาจึงยิ้มให้อย่างสงบ “ปฐมฮ่องเต้ฆ่าผู้คนไปมากมายระหว่างทำสงคราม จึงจำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงเรื่องความมีเมตตากรุณาเพื่อให้ตนสามารถปกครองใต้หล้าได้อย่างมั่นคงน่ะ” 

 

 

“บรรพบุรุษตระกูลสวีทิ้งจดหมายอะไรไว้ให้ติ้งอ๋องหรือ” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความสงสัย แน่นอนว่าเรื่องราวย่อมไม่ธรรมดาอย่างที่ม่อซิวเหยากล่าว ปฐมฮ่องเต้ไม่มีทางวางใจที่จะใช้งานเสนาบดีที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ก่อนทั้งตระกูลเป็นแน่ ม่อซิวเหยายิ้มพร้อมส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ได้ ดูเหมือนบรรพชนข้าจะนำจดหมายนั้นให้ปฐมฮ่องเต้ แต่จดหมายฉบับนั้นได้ช่วยชีวิตสวีเยี่ยนหลีไว้ ถึงแม้ประวัติศาสตร์การก่อตั้งแคว้นของปฐมฮ่องเต้จะมีจุดที่บันทึกไว้อย่างลวกๆ และไม่ละเอียดอยู่มาก แต่มีเรื่องราวมากมายที่หยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจของประชาชน” หลากหลายเรื่องราว ที่แม้ผู้คนจะค่อยๆ ลบเลือนไป แต่หลายๆ คนยังคงได้ยินเรื่องเหล่านี้จากการบอกเล่าของรุ่นพ่อรุ่นแม่ อย่างความเคารพนับถือตระกูลสวี เป็นต้น 

 

 

ในที่สุดเยี่ยหลีก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดตระกูลสวีกี่รุ่นๆ จึงไม่ยอมแต่งงานกับราชนิกุล ถึงแม้จะไม่นึกโกรธแค้นแล้ว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ตระกูลสวีเคยต้องสูญสิ้นเพราะราชนิกุลของต้าฉู่ เรื่องนี้พอที่จะอธิบายได้แล้วว่า เหตุใดตระกูลสวีที่แสดงออกว่าไม่ต้องการยศศักดิ์ ไม่ต้องการซึ่งอำนาจ แต่เชื้อพระวงศ์กลับจ้องที่จะกดตระกูลสวีไว้มาโดยตลอด เกรงว่าในตอนนั้นสิ่งที่ม่อหลั่นอวิ๋นทำคงไม่ใช่อย่างที่ม่อซิวเหยาพูดออกมาง่ายๆ เช่นนั้นเป็นแน่