บทที่ 83 ทำความรู้จัก
เมื่อเฉินเฉียงได้ตามฮู่ต้าไฮ่และศิษย์สำนักคนอื่นๆไปถึงหอประชุมสำนัก ที่นั่นมีศิษย์สำนักจำนวนมากมายถึงที่นั่นก่อนแล้ว
มีศิษย์สำนักกว่าสี่พันคนได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ฮู่ต้าไฮ่และอาจารย์คนอื่นนั้นไปนั่งอยู่แถวหน้า มีที่นั่งจำนวนห้าที่อยู่ที่แถวแรกหน้าโพเดียม บนนั้นมีผอ.(แต่งตั้งรักษาการ) หัวหน้าอาจารย์ และผู้อาวุโสจ้าว คนทั้งสามคนนี้เขาเคยพบมาบ้างแล้ว ส่วนอีกสองคนนั้นเขาไม่คุ้นหน้า
แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆผู้อาวุโสจ้าวนั้นสมควรจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นปู่หลิวซวนเอ๋อ
เป็นตอนนี้ที่กัวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเฉินเฉียงได้ชี้ไปที่ชายอายุประมาณสี่สิบปีกลางๆและพูดขึ้นว่า “ศิษย์น้อง คนคนนั้นคือผอ.เฉียนแห่งสำนัก เขาเป็นผู้เดียวในสำนักที่มีการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชา”
ระดับราชาเหรอ
เฉินเฉียงได้มองไปดูตามที่กัวเหลียงชี้แต่เขาก็สัมผัสไม่ได้ว่าชายคนนี้มีอะไรพิเศษ พลังสายเลือดที่แผ่ออกมาจากร่างกายของผอ.เฉียนเองยังดูไม่เท่ากับผู้อาวุโสใหญ่และผอ…..ไม่สิต้องเป็น รอง ผอ.ที่อยู่ข้างๆ
นักรับสายเลือดระดับราชาจะแข็งแกร่งขนาดกันนะ
เฉินเฉียงนั้นรู้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับนายพลวิญญาณพอสมควรแล้ว แต่เขานั้นกับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับระดับราชาเลยสักนิด
แต่นี่ก็คงไม่แปลกอะไรที่จะไม่มีคนบอกเขา เพราะคงไม่มีใครคิดว่าสายเลือดแบบเขานั้นจะก้าวเข้าสู่ระดับราชาได้
แต่ด้วยการที่เขามีระบบอยู่ กับเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ดูเหมือนว่าเขาเองนอกจากการเก็บตัวบ่มเพาะแล้วคงต้องหาเวลาไปหาความรู้เพิ่มเติมอีกสินะ
“ท่านผอ. ท่านทำให้ข้าสงสัยนักว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านเมื่อท่านกลับมาแล้วถึงกับต้องสั่นระฆังเรียกรวมพลแบบนี้กัน”
คนที่พูดออกมาไม่ใช่ ผอ. รองผอ. หรือผู้บริหารคนอื่น แต่เป็นฮู่ต้าไฮ่ผู้ซึ่งเป็นคนขวานผ่าซากมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ผอ.เฉียนที่นั่งอยู่แถวหน้าเองได้มองไปทางซ้ายขวาเพื่อดูความพร้อมอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดของฮู่ต้าไฮ่แล้วก็อดยิ้มและพูดแซะไม่ได้ “ฮ่าฮ่า นิสัยของผู้อาวุโสฮู่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ กับความตรงไปตรงมานี้เห็นทีข้าเองคงต้องหาภรรยาให้ท่านตบแต่งสักคนแล้วกระมัง”
คำพูดของผอ.เฉียนนี้ทั้งเชือดเฉือนและหยอกเย้าไปในตัว นี่ทำให้บรรยากาศภายในกลุ่มของผู้บริหารและอาจารย์ต่างก็มีชีวิตชีวาจนมีการหัวเราะไปดังลั่นหอประชุม
เมื่อเทียบกันรองผอ.ที่เป็นคนพูดน้อยเยือกเย็นแต่เด็ดขาดแล้ว การที่ได้เห็นว่าผอ.เฉียนกับรองผอ.มีนิสัยต่างกันสุดขั้วแบบนี้ช่างอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เฉินเฉียงคิดไว้อย่างมาก
ก่อนหน้านี้เขานึกว่าผอ.เฉียนคนนี้ในฐานะที่เป็นผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในสำนักแถมยังอยู่ในระดับราชาผู้นี้จะต้องเป็นชายแก่ลึกลับอะไรเทือกนั้น ซึ่งขัดกับสิ่งที่เขาเห็นอย่างสิ้นเชิง
หลังจากพูดคุยกันอย่างหอมปากหอมคอ ในที่สุด ผอ.เฉียนก็ได้เริ่มพูดในประเด็นสำคัญ
“ข้าพึ่งจะกลับมาจากเขตกันหนัน และนี่ทำให้ข้ามีสองเรื่องที่จะบอกให้ทุกคนทราบไว้”
อย่างแรก ข้าจะบอกว่างานประลองสี่สำนักนั้นจะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้านั้น หลังจากพูดคุยกับเหล่าผอ.ของแต่ละสำนักแล้ว การประลองสี่สำนักจะถูกเลื่อนขึ้นไปเป็นอีกหนึ่งปีครึ่ง โดยจัดขึ้นที่กันหนัน
“ผอ.เฉียน ท่านพอจะบอกได้รึเปล่าว่าทำไมการประลองสี่สำนักนี้ถึงได้ถูกเลื่อนเวลาออกไป ยิ่งไปกว่านั้นคือมีอะไรพิเศษเพิ่มเติมรึเปล่าครับ” เป็นหลู่คังเฟิงถามออกมา
ผอ.เฉียนได้ชี้ไปที่หลู่คังเฟิงและพูดออกมา “หลู่น้อยถามได้ดี แน่นอนว่าการที่งานประลองสี่สำนักนี้ถูกเลื่อนออกไปนั้นย่อมมีเหตุผล แต่เรื่องเหตุผลนั้น….ข้าไม่บอกเจ้าหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ผอ.ขี้แกล้งเกินไปแล้ว”
เพียงสิ้นเสียงตอบของผอ. เหล่าศิษย์ในสำนักต่างโห่ร้องอย่างไม่พอใจ
การที่ผอ.เฉียนปรากฏตัวนี้ราวกับทำให้บรรยากาศในสำนักครื้นเครงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อ้อ ส่วนกฎนั้น ในกองประลองสี่สำนักในครั้งนี้ได้เพิ่มกฎใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือศิษย์ที่ร่วมประลองนั้นไม่จำกัดระดับขั้นการบ่มเพาะ และจะเป็นการประลองแบบผสม”
“ฮะ แบบผสม อย่างนี้มันก็ไม่แฟร์กับพวกระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นนี่นา”
“ข้าว่าหมดหวังแล้วล่ะครั้งนี้ เฮ้อออ ไอ้เราก็หวังจะได้ตำแหน่งดีๆกับเขาบ้าง แต่ดูเหมือนจะไปไม่ถึงฝั่งฝันแล้ว”
“นั่นสิ แล้วลองคิดดูนะว่าระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นจะไปชนะขั้นกลางได้ยังไง แล้วถ้าเกิดต้องไปเจอกับขั้นสูงอีกล่ะ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางได้ตำแหน่งดีๆเลยแม้แต่น้อย”
ผอ.เฉียนไม่ได้ใส่ใจกับคำบ่นของศิษย์ในสำนักแต่อย่างใด เขาได้หยิบถ้วยชาที่วางอยู่ข้างหน้ามาจิบ ก่อนที่จะหันไปพูดคุยกับรองผอ.โดยไม่พูดต่อแต่อย่างใด และรอจนกระทั่งเสียงบ่นโอดครวญเหล่านี้ได้เงียบลง
“โอ้เงียบกันแล้วเรอะ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าพวกเจ้าน่ะจะบ่นไปก็เท่านั้น เพราะว่ากฎนี้ได้เห็นชอบจากผอ.ทุกสำนักคนแล้ว ไม่มีทางจะเปลี่ยนไปได้ และที่สำคัญที่สุดคือกฎข้อนี้ถูกเพิ่มโดยผู้การแห่งกันหนัน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกฎข้อนี้ได้อีกต่อไป”
“ในตอนนี้พวกเจ้านั้นทำได้เพียงสองอย่างคือออกไปจากสำนักซะไม่ก็ตั้งมั่นในการบ่มเพาะต่อไปเพื่อที่จะยกระดับให้สูงขึ้นและพร้อมที่จะลงแข่งขัน หากว่าเมื่อถึงเวลาแข่งขันแล้วนึกเสียใจที่ลงแข่งก็สายแล้ว”
เมื่อได้ยินมาว่ากฎพิเศษนี้ถูกตั้งขึ้นโดยผู้การแห่งกันหนัน ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือศิษย์สำนักต่างก็เงียบปากกันไปในทันที
“การประลองสี่สำนักในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นชะตาของสำนักเต่าดำของพวกเราเลยก็ว่าได้ ผลการแข่งในครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดทรัพยากรที่สำนักจะได้รับมาในภายภาคหน้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ข้าต้องกลับมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กับผู้บริหารและอาจารย์ทุกท่าน ดังนั้นในการแข่งครั้งนี้อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ทุกคนเข้าใจหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครที่จะตอบรับหรือคิดปฏิเสธคำพูดของผอ.เฉียน รองผอ.จึงได้ลุกขึ้นมาและพูดอย่างจริงจัง
“ครับ”
เป็นตอนนี้ที่เหล่าศิษย์และอาจารย์เองก็ได้ตอบออกมาพร้อมกัน
“ดี เรื่องแรกจบไปแล้ว เรามาพูดเรื่องที่สองกันดีกว่า”
ผอ.เฉียนได้หยิบชาขึ้นมาจิบ ก่อนที่จะหันไปมองฮู่ต้าไฮ่ผู้ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าและพูดขึ้นมา “ผู้อาวุโสฮู่ ดูเหมือนว่าท่านรับศิษย์ใหม่ที่ชื่อเฉินเฉียงมาใช่หรือไม่ เรียกเขามาให้ข้ารู้จักหน้าค่าตาหน่อยสิ”
“ฮะ”
ฮู่ต้าไฮ่รู้สึกประหลาดใจในทันที เขาไม่คิดว่าผอ.เฉียนจะถึงขั้นเจาะจงชื่อของเฉินเฉียงเลยแบบนี้ แต่ในเมื่อเป็นคำพูดของผอ. เขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้และได้เดินไปหาเฉินเฉียงที่อยู่ด้านหลัง
ศิษย์ในสำนักทุกคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
“นี่ ศิษย์พี่จ้าว ท่านบอกว่าเฉินเฉียงมาจากทีมเก็บกู้ซากศพที่แสนจะต่ำต้อยไม่ใช่เหรอ เท่าที่ดูนี่ไม่ใช่เลยนา”
“นั่นสิ ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่สำนักรับเด็กใหม่กลางปีแบบนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับผอ.เหมือนกันนะ”
“การที่ผอ.กลับมาแล้วเรียกเฉินเฉียงมาพบต่อหน้าศิษย์ในสำนักแบบนี้ ต่อให้ศิษย์พี่บอกว่าไม่มีอะไร ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อหรอก”
จ้าวฮั่นเองในตอนนี้นิ่งอึ้งไปในบัดดล
เขานั้นได้ส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้แล้ว แต่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเฉินเฉียงมีเบื้องหลังที่ทรงพลังขนาดนี้
หากว่าเฉินเฉียงมีเบื้องหลังเป็นผอ.จริง แล้วเขาจะหาเรื่องเฉินเฉยต่อได้ยังไง
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้มาก่อน เป็นไปได้ว่าเฉินเฉียงได้ก่อเรื่องจนไปเข้าหูผอ.มากกว่า”
จ้าวฮั่นทำได้เพียงคาดการณ์ในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เขากลัวไว้ออกมาเพื่อปลอบใจตัวเอง ต่อให้เขานั้นจะไม่เชื่อในคำพูดของตนเองเลยก็ตาม
“เฉินเฉียง เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมารึ” ฮู่ต้าไฮ่ที่กำลังดึงเฉินเฉียงให้ออกมานี้ได้กระซิบถามด้วยเสียงอันเบา “ต่อให้ผอ.จะมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างนั้น แต่เวลาเขาโกรธขึ้นมาจริงๆนี่…. แม้แต่อาจารย์ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้นะ ไม่ว่าจะยังไงอย่าพยายามไปยั่วโมโหผอ.เข้าล่ะ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรง อาจารย์จะเข้าไปช่วยเจ้าจัดการเอง เจ้าเข้าใจรึเปล่า”
เฉินเฉียงผู้ซึ่งในตอนนี้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในสำนักนั้นได้พยักหน้ารับออกมา เพราะเขาค่อนข้างแน่ในว่าเขานั้นไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรง หลังจากนั้นเขาก็ได้ยืนตัวตรงต่อหน้าผอ.เฉียนที่กลางหอประชุมด้วยท่าทีสงบนิ่ง