ตอนที่ 72 ดูกล้องวงจรปิด อย่าจู้จี้จุกจิกได้ไหม

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

สวีเหยากวงมองฉินหร่านอยู่ตลอด

 

 

มือขวาของฉินหร่านยังบาดเจ็บอยู่ ตอนที่มือข้างซ้ายวาดภาพลงบนกระดานก็ไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่วาดได้ค่อนข้างช้า ไม่สวยเหมือนกับที่ใช้มือขวาวาด

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงทักษะการวาดภาพพื้นฐานของเธอ เพียงพอที่จะสร้างความตะลึงให้กับครูและนักเรียนในห้องสโลปได้

 

 

ฉินหร่านยืนข้างกระดานดำ วาดภาพเป็นครั้งคราวแล้วบรรยายเนื้อความ การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ สามห้องแรกล้วนมีบทพูด เพราะว่าเนื้อหาค่อนข้างเยอะ จึงไม่มีใครใช้เวลากับการท่อง

 

 

ฉินหร่านยืนเพียงลำพัง ศัพท์ภาษาอังกฤษสองสามคำที่ปรากฏขึ้นเป็นระยะก็เอาอยู่ การกล่าวสุนทรพจน์ที่น่าเบื่อแบบนี้ แต่เธอดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องสโลปไปแทบจะทั้งหมด

 

 

หลังฉินหร่านกล่าวสุนทรพจน์จบแล้ว อาจารย์ประจำชั้นและผู้นำหลายคนก็ชื่นชมสุดๆ พวกเขาดูสิ่งที่จดไว้พลางถามคำถามฉินหร่าน เธอก็ตอบกลับไปทีละข้อ

 

 

ผู้นำหลายคนข้างๆ อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและเอ่ยชมว่ากลุ่มนี้ตั้งอกตั้งใจทำ จากนั้นหันไปบอกกับอาจารย์ประจำชั้นว่านักเรียนมัธยมเหิงชวานนั้นหมั่นเพียร

 

 

“ไม่เลว ดีที่เธอยังมีสมาธิขนาดนี้” อาจารย์ประจำชั้นอดพยักหน้าชื่นชมไม่ได้ ปกติเขาเป็นคนประเภทเข้มงวด แต่ตอนนี้แววตาที่มองฉินหร่านนั้นราวกับแววตาของคุณพ่อแท้ๆ “เธอชื่อฉินหร่านใช่ไหม ลงไปเรียกสมาชิกกลุ่มพวกเธอมาตอบคำถาม”

 

 

ฉินหร่านลงจากเวที เห็นพวกหลินซือหรานยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ จดจ้องมาที่ตนเองด้วยสายตาที่แทบตะลึงงันไปแล้ว

 

 

เธอยิ้มแต่ไม่กลับไปที่นั่งของตัวเอง เพียงแค่พิงกายอยู่ด้านนอก “ถึงช่วงตอบคำถามแล้ว”

 

 

หลินซือหรานจึงจะได้สติ ถือสมุดของตัวเองขึ้นเวทีไป

 

 

สุดท้ายคะแนนของกลุ่มพวกเขาคือเก้าจุดเจ็ดคะแนน หากไม่ใช่เพราะพวกหลินซือหรานถือสมุดขึ้นไปด้วย คะแนนที่ได้ยังจะสูงกว่านี้อีก

 

 

หลังจากได้คะแนนแล้ว หลินซือหรานและเพื่อนๆ เดินสะบัดลงมาจากเวที

 

 

ฉินหร่านกลับมาที่เก้าอี้ของตัวเอง เอนกายพิงพนักเก้าอี้ห้องสโลป นักเรียนในห้องแทบจะมองมาทางเธอ แต่ไม่มีใครกล้าคุยกับเธอ

 

 

มีเพียงคนของห้องเก้าที่โหวกเหวกเสียงดังใส่ฉินหร่านด้วยความตื่นเต้นสุดๆ

 

 

รอให้พวกหลินซือหรานกลับไปนั่งแล้ว คนห้องอื่นๆ รอบข้างถึงจะกระซิบกระซาบกับกลุ่มหลินซือหราน

 

 

สุนทรพจน์ช่วงหลังๆ ไม่มีจุดเด่นอะไร ไม่เพียงแต่นักเรียนที่ฟังแล้วน่าเบื่อ แม้แต่คณะกรรมการก็เช่นกัน

 

 

มัธยมศึกษาปีที่หกมีสิบเจ็ดห้องเรียนเข้าร่วมการแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ คะแนนหลังจากฉินหร่านต่างถูกกดต่ำมากๆ คะแนนของสิบสามห้องต่อมาล้วนไม่เกินแปดคะแนน

 

 

ผู้หญิงข้างๆ ฉินอวี่ตบอกเบาๆ พูดอย่างหวาดหวั่นในใจว่า “ดีที่พวกเราพูดก่อนฉินหร่าน ไม่อย่างนั้นได้ไม่ถึงแม้กระทั่งแปดคะแนน”

 

 

ประโยคนี้ที่ว่าโชคดีนั้น ไม่มีส่วนที่พูดเกินจริงใดๆ

 

 

โรงเรียนนี้มีสมบัติสองอย่าง หนึ่งคือสวีเหยากวงซึ่งครอบแชมป์ทุกปี สองคือพานหมิงเย่ว์ซึ่งได้แต่ครองที่สองตลอด

 

 

ห้องของฉินหร่านมีสวีเหยากวงนำทีม และพานหมิงเย่ว์ของห้องพวกเขาไม่ได้เข้าร่วม จากเนื้อหาของบทสุนทรพจน์แล้ว แน่นอนว่าห้องเก้าชนะขาด

 

 

บวกกับการแสดงออกของผู้กล่าวสุนทรพจน์ ฉินอวี่ด้อยกว่ามาก

 

 

หากกล่าวสุนทรพจน์หลังจากฉินหร่านละก็ จะได้แปดคะแนนหรือเปล่า ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจทราบได้

 

 

ฉินอวี่ยิ้มพูดกับคนในห้อง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ดีสุดๆ เธอเหลือบไปมองทางฉินหร่านอย่างไม่รู้ตัว

 

 

สวีเหยากวงเองก็เอียงศีรษะมองฉินหร่านเหมือนกัน สายตาหลุบต่ำไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

 

 

ฉินอวี่เม้มปาก ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ คนข้างกายยังพูดถึงเรื่องพูดไม่ดูบทของฉินหร่านอยู่ รอยยิ้มของเธอใกล้จะรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

……

 

 

“ที่หนึ่ง! พวกเราได้แชมป์!” ทางด้านห้องเรียนของฉินหร่าน คนทั้งห้องเรียนมาล้อมรอบฉินหร่านไว้ “ฉินหร่าน พี่หร่าน เธอเทพเกินไปแล้ว บทสุนทรพจน์ยาวขนาดนั้น เธอจำมันได้อย่างไร”

 

 

หลังจากได้แชมป์แล้วกลับห้องเรียนก็ยังคงเป็นคาบทบทวนบทเรียน

 

 

คนอื่นๆ ในห้องต่างมุงกันเข้ามา

 

 

ฉินหร่านยิ้มเล็กน้อย เธอนั่งตรงที่นั่งของตนเอง ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาก “ก็แค่ดูๆ อยู่ แล้วก็จำได้หน่ะ”

 

 

เฉียวเซิงหัวเราะแซะเธอว่า “ความจำเธอดีขนาดนี้ ทำไมไม่ใช้ในเรื่องการเรียน!”

 

 

คนอื่นๆ ต่างพูดสมทบว่าใช่ จากนั้นยังมีคนบอกว่าเธอวาดรูปสวย

 

 

ฉินหร่านไม่สนใจเขา

 

 

เฉียวเซิงพูดจบก็นึกถึงเรื่องสำคัญได้ เขายิ้มไปทางฉินหร่านแล้วก้าวยาวๆ ไปที่แท่นพูด จากนั้นเอียงข้างนั่งลงบนโต๊ะ ถือแปรงลบกระดานเคาะโต๊ะเสียงดัง “เงียบก่อน”

 

 

การกระทำนี้ทำให้คนอื่นๆ ต่างเงียบลง

 

 

บรรดาคนที่เดิมทียังล้อมรอบฉินหร่านอยู่ก็กลับไปนั่งดีๆ ไม่กล้าพูดแม้แต่พยางค์เดียว

 

 

“หลินซือหรานบอกว่าบทสุนทรพจน์อยู่ที่คนของห้องเก้าตลอด ฉันถามมาหลายคนแล้ว ไม่มีใครเห็นคนห้องอื่นเข้าใกล้” เฉียวเซิงยกมุมปากขึ้นแต่กลับมองไม่เห็นรอยยิ้ม “เพราะฉะนั้น ฉันสงสัยว่าเป็นคนห้องนี้ คนที่เข้าร่วมกลุ่มแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์ เป็นใครกันแน่ ยืนขึ้นเดี๋ยวนี้”

 

 

ในห้องไม่มีใครพูด ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง

 

 

เฉียวเซิงพยักหน้าแล้วยิ้มต่อ “โอเค คงจะมีคนลืมไปแล้วว่าห้องสโลปและทางเดินมีกล้องวงจรปิด หลังเลิกเรียนฉันจะไปห้องควบคุมกล้อง”

 

 

พูดจบคนในห้องก็มองหน้ากันแล้วกระซิบกระซาบ

 

 

“เฉียวเซิงเท่ชะมัดเลย!” เพื่อนข้างโต๊ะของอู๋เหยียนพูดเสียงเบา เก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ พูดๆ อยู่ก็กำหมัด “แต่คนที่ขโมยบทสุนทรพจน์ช่างน่าโมโหจริงๆ ใครกันที่อิจฉาฉินหร่านขนาดนี้ ยังจะมาขโมยบทสุนทรพจน์อีก ไร้คุณธรรมเสียจริง ถ้าฉินหร่านไม่ได้ท่องละก็ ไม่จบเห่กันเหรอ”

 

 

อู๋เหยียนหัวเราะ “ก็ใช่น่ะสิ”

 

 

แต่กลับกำมือไว้แน่น มีอาการเหม่อลอยเล็กน้อย

 

 

หลังเลิกเรียน เฉียวเซิงไม่ได้ถือลูกบาสและไม่ได้ไปสนามบาส พูดกับสวีเหยากวงหนึ่งประโยคแล้วทั้งสองก็เดินไปด้านนอก

 

 

“เฉียวเซิง รอฉันด้วยคน ฉันก็จะไปเหมือนกัน” ผู้ชายคนหนึ่งที่เข้าร่วมการกล่าวสุนทรพจน์ตอนกลางวันรู้ว่าพวกเขาไปดูกล้องวงจรปิด “ฉันจะดูหน่อยว่าห้องของพวกเราใครมันไม่มีความสามัคคีขนาดนี้!”

 

 

สีหน้าของอู๋เหยียนซีดกว่าเดิม

 

 

เธอมองไปทางฉินหร่านแวบหนึ่ง

 

 

เลิกเรียนแล้วฉินหร่านมักไม่ชอบออกไปก่อน ชอบอืดอาดยืดยาด

 

 

มีคนกำลังเร่งอู๋เหยียน

 

 

อู๋เหยียนแจกใบคำตอบภาษาอังกฤษที่เก็บมาเมื่อวานอย่างชักช้า อาจารย์ภาษาอังกฤษตรวจแก้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอแจกมาถึงฉินหร่าน เธอได้คะแนนเพียงแค่สี่คะแนน

 

 

เวลานี้ไม่มีความประชดประชันในดวงตาของอู๋เหยียน เธอแค่กวาดมองรอบๆ ในห้องยังมีนักเรียนซึ่งกำลังถกเถียงคำถามแบบฝึกหัดอยู่ เธอเม้มปากครุ่นคิดแล้วเดินไปพร้อมกับคนที่เรียกเธอ

 

 

…….

 

 

ณ ห้องพยาบาลโรงเรียน

 

 

ฉินหร่านหยิบยานอนหลับมา บนโต๊ะมีถ้วยอยู่สองสามใบที่ด้านบนปิดฝาเอาไว้ มองเห็นไอร้อนได้จากตรงนั้น

 

 

“วันนี้ทำได้ไม่เลวนะ” ลู่จ้าวอิ่งฟุบโต๊ะยิ้มมองเธอ “น่าจะไม่โดนด่า”

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่อยู่ห้องพยาบาล ได้ยินลู่จ้าวอิ่งบอกว่าเขาออกไปข้างนอก

 

 

“เอ๋ นักเรียนครับ มาหาคุณหมอเหรอ” หางตาเห็นว่าด้านนอกมีคน ลู่จ้าวอิ่งเงยหน้าขึ้นมอง เป็นผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง “เลิกงานแล้ว แต่ฉันยังอนุโลมให้ได้นะ”

 

 

“เปล่าค่ะ ฉันมาตามหาคน” ผู้หญิงคนนั้นหน้าแดงเล็กน้อยแล้วหันไปยังฉินหร่าน “ฉินหร่าน เธอออกมาได้ไหม ฉันมีธุระกับเธอ”

 

 

ฉินหร่านนั่งบนเก้าอี้ ในมือถือตะเกียบไว้ ปรายตามองเธอแวบหนึ่ง เย็นชาเป็นอย่างมาก “มีอะไรพูดตรงนี้ ฉันเดินไม่ไหว”

 

 

“นี่เป็นธุระเรื่องส่วนตัว” อู๋เหยียนมองลู่จ้าวอิ่งแล้วเม้มปาก “ไม่สะดวก…”

 

 

“ฉันไม่มีธุระส่วนตัวกับเธอ” ฉินหร่านไม่ได้สนใจเธอ

 

 

อู๋เหยียนใช้แค่หางตามองลู่จ้าวอิ่ง ใกล้จะร้องไห้แล้วจริงๆ นี่กำลังขอความช่วยเหลือจากลู่จ้าวอิ่ง

 

 

แต่ลู่จ้าวอิ่งกลับหัวเราะ เขาเอนไปข้างหลังแล้วลูบต่างหูของตนเอง ทำท่าทาง ‘ฉันฟังหูซ้ายทะลุหูขวานะน้องสาว’

 

 

ท่าทีเป็นมิตรต่ออู๋เหยียนเมื่อครู่นี้หายวับไปแล้ว

 

 

สีหน้าของอู๋เหยียนซีดเผือด เม้มปากลังเลอยู่นาน เห็นว่าฉินหร่านและลู่จ้าวอิ่งไม่สนใจเธอจริงๆ เธอจึงจะบีบมือ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซีดขาวว่า “ฉินหร่าน เรื่องตอนกลางวัน ฉัน…ฉันเป็นคนทำเอง แต่เธอจำบทสุนทรพจน์ได้ เรื่องนี้เธอก็ได้ความโชคดีจากเรื่องแย่ๆ เหมือนกัน เธอช่วยไปบอกเฉียวเซิงหน่อยว่าอย่าให้เขาจู้จี้จุกจิกกับฉันได้ไหม”