ตอนที่ 73 ฉินหร่านให้พวกเธอมาสืบหาสินะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อู๋เหยียนคิดไม่ถึงเลยว่าเฉียวเซิงจะไปตรวจดูกล้องวงจรปิดเพราะเหตุการณ์ของฉินหร่าน

 

 

คนห้องเก้าต่างรู้กันว่าเฉียวเซิงเชื่อฟังแต่คำพูดของสวีเหยากวงเท่านั้น แล้วเขาสนใจเรื่องของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

 

แม้แต่ฉินอวี่ก็ได้ประโยชน์จากสวีเหยากวงเท่านั้น

 

 

ทว่าฉินหร่านเพิ่งย้ายมาโรงเรียนมัธยมเหิงชวานนานเท่าไหร่เอง

 

 

พอเฉียวเซิงเข้ามาเกี่ยวด้วย อู๋เหยียนก็กลัวจริงๆ

 

 

เธอไม่กล้าพูดกับเฉียวเซิง แม้ในเวลาปกติจะเล่นกับเฉียวเซิงได้ดี แต่ความเป็นจริงคนในห้องต่างพากันเกรงกลัวความโหดๆ บนตัวของนายน้อยคนนี้

 

 

จึงได้แต่มาขอร้องฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้น สีหน้าไร้ความตกใจสักนิด

 

 

เธอปาตะเกียบที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง สีหน้าไร้ความรู้สึกทว่าความโกรธแผ่ซ่านไปทั้งกาย

 

 

อู๋เหยียนสะดุ้งเฮือก

 

 

“เธอ……” ฉินหร่านกระแอม

 

 

ก่อนจะได้พูดอะไร ก็มีกลิ่นหอมเย็นๆ ที่คุ้นเคยก็ลอยมาอย่างช้าๆ

 

 

บรรยากาศตึงเครียดจางหางไปในพริบตา

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองไป เฉิงเจวี้ยนยังคงสวมเสื้อเชิ้ตสีดำไม่มีลวดลาย มีเพียงกระดุมใสแถวหนึ่ง มือข้างหนึ่งของเขาถือโทรศัพท์ไว้ คล้ายกับกำลังคุยกับใครสักคนอยู่

 

 

ห่างจากด้านหลังเพียงระยะสามก้าวยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดิมตามมา

 

 

ราวกับรู้ว่าบรรยากาศของห้องพยาบาลนั้นแปลกไป เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาลง “ค่อยโทรศัพท์หาฉัน”

 

 

เขาวางสาย ไม่ได้มองอู๋เหยียน สายตาของเขามองผ่านร่างของฉินหร่านไปและหยุดอยู่ที่ลู่จ้าวอิ่ง

 

 

อู๋เหยียนจ้องมองเขา ทว่าอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ อยู่นาน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งลูบคาง แล้วรู้ถึงเรื่องราวบางอย่าง เขารู้ว่าฉินหร่านมีกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงบ่ายนี้

 

 

ประโยค ‘แต่เธอจำบทได้’ และ ‘ได้ความโชคดีจากเรื่องแย่ๆ’ ของอู๋เหยียนนั้นบอกได้ชัดเจน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ได้โง่เสียหน่อย

 

 

ทันทีที่เขาเตะขา เก้าอี้ก็กระเด็นไปด้านหลัง รอยยิ้มที่ไม่จริงใจปรากฏขึ้นตรงมุมปาก “โอ๊ะ สาวน้อยคนนี้ เมื่อตอนบ่ายคงจะเป็นคนที่ตั้งใจทำบทสุนทรพจน์ของฉินเสี่ยวหร่านหายสินะ อยากจะให้ฉินเสี่ยวหร่านขายหน้าต่อหน้าทุกคนในโรงเรียน เธอคงคิดไม่ถึงว่าฉินเสี่ยวหร่านไม่เพียงแต่ท่องจำได้ทั้งหมด แถมผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังทำให้ทุกคนทึ่งมาก ตอนนี้มีคนกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิด เธอเลยอุตส่าห์มาขอโทษให้ฉินเสี่ยวหร่านไม่เอาความสินะ”

 

 

“ตามมาตรฐานการดำเนินคดี ผู้ที่บิดเบือนใส่ร้ายจนส่งผลให้ผู้เสียหายเกิดความเสียหายทางร่างกายและจิตใจ ผู้ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับโทษจำคุกหรือกักขังไม่เกินสองปี” ชีเฉิงจวินที่เดินตามมาข้างหลังเฉิงเจวี้ยนชำเลืองมองอู๋เหยียน แล้วหันมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “คุณฉิน ต้องการทนายไหมครับ”

 

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ……” อู๋เหยียนได้สติหลังจากตื่นตระหนก ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฉินหร่าน เธออย่า……”

 

 

“ไม่ได้ตั้งใจเหรอ” เฉิงเจวี้ยนเก็บโทรศัพท์ ใบหน้าที่หล่อเหลาผ่อนคลายลง เขามองอู๋เหยียนอย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นบทสุนทรพจน์มันวิ่งมาหามือเธอเอง แล้วยังบังคับให้เธอทิ้งมันเหรอ”

 

 

คำพูดนั้นเจือด้วยความประชดประชัน

 

 

แรงพอสมควร

 

 

อู๋เหยียนนิ่งอึ้ง ผู้ชายสามคนในห้องพยาบาลต่างมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

 

 

สีหน้าของเธอหม่นหมองลงเรื่อยๆ

 

 

ภายใต้การบีบคั้นของเฉิงเจวี้ยน ทำให้เธอทนต่อไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว จึงวิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นออกจากห้องพยาบาลไป

 

 

……

 

 

ชีเฉิงจวินละสายตา มองไปยังผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในห้องพยาบาลในเวลานี้

 

 

รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นคุณฉินที่เขาสนอกสนใจคนนั้น

 

 

แต่ฉินหร่านกลับไม่อยากรู้อยากเห็นกับเขาเลย ไม่ได้หยิบตะเกียบแต่หยิบกระติกน้ำร้อนที่วางไว้บนโต๊ะแทน

 

 

ตอนแรกเฉิงเจวี้ยนอยากจะโทรศัพท์ แต่เห็นเธอหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง จึงหยิบมาเปิดฝาพร้อมกับรินให้เธอหนึ่งแก้วอย่างไม่คิดอะไร

 

 

ช่วงที่มือฉินหร่านบาดเจ็บ ไม่หลินซือหราน ก็เป็นเฉิงเจวี้ยนที่คอยช่วยเธอเปิดฝา เธอรับมาอย่างเคยชิน แล้วเอ่ยขอบคุณหลังจากดื่มเสร็จ

 

 

ชีเฉิงจวินที่เดิมทีอยากคุยกับฉินหร่านสักหน่อย “……?!”

 

 

นี่เขาดันไปเห็นอะไรเข้าเนี่ย?!

 

 

หันศีรษะมาอีกทีก็เห็นลู่จ้าวอิ่งเตะขาเก้าอี้อยู่ กับเหตุการณ์แบบนี้เขาไม่สงสัยเลยสักนิด เหมือนจะเคยชินกับมันเสียแล้ว

 

 

ชีเฉิงจวินเป็นคนที่ใจเย็นและมีสติมากแค่ไหน

 

 

พูดตรงจุดตรงประเด็น มีประกายระยิบระยับในชั้นศาลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

 

แต่ตอนนี้กลับตะลึงงันไปหนึ่งนาทีเต็ม แล้วจึงนั่งลงที่เก้าอี้อีกด้านหนึ่งอย่างครุ่นคิด ปล่อยให้เฉิงมู่รินน้ำชาให้เขา

 

 

วันนี้อาการฉินหร่านพอใช้ได้ จึงไม่ได้เปลี่ยนยา แต่หยิบยานอนหลับขวดหนึ่งใส่กระเป๋า จากนั้นก็หยิบหนังสือที่ตัวเองวางไว้ที่โต๊ะแล้วกลับหอไป

 

 

ตั้งแต่ต้นยันจบ ชีเฉิงจวินก็ยังหาโอกาสที่จะคุยกับเธอไม่ได้

 

 

และเธอเองก็ไม่ได้มีความสงสัยในตัวของชีเฉิงจวินเลยแม้แต่น้อย ทักทายเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าว ทานเสร็จหยิบยานอนหลับแล้วจากไป

 

 

เย็นชาและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองสุดๆ

 

 

“สาวน้อยคนนี้……” ชีเฉิงจวินมองแผ่นหลังที่จากไปของเธอ “มิน่าล่ะคนถึงพากันอิจฉา”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเห็นว่าเธอไปแล้ว เอียงศีรษะมองเฉิงมู่พลางกระซิบบอก “นายไปสืบดูทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ”

 

 

เฉิงมู่ตอบรับอย่างชินชา

 

 

เฉิงเจวี้ยนหยิบโทรศัพท์มาโทรต่อ

 

 

แต่เหลือบไปเห็นกระดาษคำตอบใบหนึ่งที่หล่นอยู่ตรงขาโต๊ะ จึงหยิบขึ้นมา

 

 

เป็นของฉินหร่านที่เผลอทำหล่นเอาไว้ตอนหยิบหนังสือเมื่อครู่

 

 

เดิมทีกะจะแค่ดูเฉยๆ แต่พอเห็นเข้าจริงๆ สายตาของเฉิงเจวี้ยนก็ชะงัก มือก็เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ชีเฉิงจวินนั่งตรงข้ามกับเขาอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย จึงชะโงกเข้ามาดู แวบแรกก็เห็นสี่คะแนนที่อยู่บนกระดาษคำตอบ

 

 

เขาหัวเราะออกมาเป็นอันดับแรก กำลังอยากจะหันกลับไปก็พบสิ่งผิดปกติ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งพาดมือบนพนักเก้าอี้ ยิ้มพลางพูดว่า “เด็กน้อยอะไรก็ดีไปหมด แต่ดันไอคิวแย่ น้อยมากที่จะเห็นเธอสอบได้คะแนนสองหลัก น่าเครียดจริงๆ”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถอนหายใจ

 

 

ชีเฉิงจวินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นชี้นิ้วไปที่กระดาษคำตอบแผ่นนี้ “นายแน่ใจว่าเธอไอคิวต่ำ”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งชะงัก

 

 

เขายันเก้าอี้แล้วลุกขึ้นยืน ขยับมาอยู่หน้ากระดาษคำตอบแผ่นนี้ ดูอยู่สักพัก ไม่เห็นอะไรนอกจากสี่คะแนน “สี่คะแนนไง มันทำไมล่ะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเก็บกระดาษคำตอบพลางครุ่นคิด

 

 

ชีเฉิงจวินมองลู่จ้าวอิ่งด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย “เปล่า ไม่มีอะไร”

 

 

มุมปากของลู่จ้าวอิ่งกระตุกยิบๆ เขาคิดว่าชีเฉิงจวินอยากจะมีเรื่องกับเขา

 

 

……

 

 

“คือเธอจริงๆ ด้วย!” ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ในที่สุดเฉียวเซิงก็เจอคลิปกล้องวงจรปิดที่ต้องการจากในกองข้อมูลมาได้

 

 

“อู๋เหยียน?!” ผู้ชายหลายคนในห้องมองหน้ากันไปมา

 

 

สวีเหยากวงเอนตัวไปข้างๆ ด้วยท่าทางที่สง่างามและสายตาเย็นชา “ก๊อปมา พวกเราออกไปก่อน”

 

 

เฉียวเซิงลากเม้าท์คัดลอกไว้ตั้งนานแล้ว

 

 

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

 

ผู้ชายสองสามคนนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบกล้องวงจรปิด พอหันศีรษะไปกลับพบผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่

 

 

“ฉินอวี่? เธอมาหาสวีเซ่าสินะ!” เพราะความสัมพันธ์ของเฉียวเซิงกับสวีเหยากวง ห้องเก้าจึงรู้จักฉินอวี่แล้วก็รู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสวีเหยากวง

 

 

ฉินอวี่หัวเราะ หันไปมองแฟลชไดรฟ์ที่อยู่ในมือของเฉียวเซิงแล้วกลอกตา “พวกนายคิดจะทำอย่างไรกับมัน”

 

 

เฉียวเซิงโยนแฟลชไดรฟ์เล่นพร้อมกับยิ้มออกมา “เผยแพร่คลิป”

 

 

“เมื่อกี้ฉันเจออู๋เหยียนระหว่างทางที่เดินมา สภาพแย่มาก” ฉินอวี่ถอนหายใจแล้วเม้มปาก “พวกเธอเคยคิดกันบ้างไหมว่าถ้าเผยแพร่คลิปนี้แล้วอู๋เหยียนจะต้องเจอกับแรงกดดันเยอะแค่ไหน ถ้าเธอรับไม่ไหว คิดไม่ตกล่ะจะทำอย่างไร”

 

 

ฉินอวี่หยุดชะงักแล้วก็ระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง “พี่สาวฉันให้พวกเธอมาสืบสินะ”

 

 

กล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ใครบอกจะดูก็ดูได้ได้ แถมพวกเขาไม่ใช่ตำรวจด้วย ก็แค่ความน่ายำเกรงนี้ของเฉียวเซิง