อาจเพราะรู้ความคิดในใจของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงฉีกยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก”

แม้คำพูดของพญายมจะเบาและเย็นชาอย่างยิ่ง แต่หากฟังให้ดีจะพบว่า เขากำลังปลอบใจเล่อเหยาเหยา

เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ในใจเล่อเหยาเหยาทรมาน และเจ็บปวดอย่างรุนแรง

ทว่า เธอยังไม่ได้พูดอะไร ซิงได้ตามหมอมาแล้ว

หมอดูอาการมือข้างที่โดนน้ำร้อนลวกของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เอ่ยเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ทายาสองวันหายเป็นปกติ

ทุกคนได้ยิน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่นำการบาดเจ็บเล็กน้อยมาทำให้เสียงาน หลังพันแผลเสร็จ พาเหม่ยและซิงออกไปสถานที่เกิดเหตุอย่างงรีบร้อน เพื่อดูว่าสามารถหาหลักฐานใดออกมาได้บ้าง

ส่วนหนานกงจวิ้นซีเหนื่อยล้าแล้ว หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋จากไป ถูกคนประคองกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักชิงเซี่ยวของตน

เพราะหลายวันมานี้ เขาหลบหนีไปทุกที่ไม่หยุด เพราะกลัวจะถูกองครักษ์ที่หมู่โฮวส่งมาจับกุมตัวกลับไป จากนั้นอภิเษกกับหอยทากนั้น เขากลัวจนหลายวันมานี้กินไม่ลงนอนไม่หลับ

ไม่ง่ายกว่าจะมาถึงที่นี่ ตอนนี้ต้องพักผ่อนให้คุ้มค่า ดังนั้นจึงไม่เปลืองแรงกลั่นแกล้งเล่อเหยาเหยา

ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังทุกคนจากไป ทำงานในตำหนักหน่าเฟิงเรียบร้อย เมื่อมีเวลาว่าง พลันกลับรู้สึกโหวงเหว่งในใจ

รสชาติเช่นนั้น คล้ายกับหัวใจหายไปบางส่วน

ความรู้สึกประเภทนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่คิดมากอีก ไปหาเสี่ยวมู่จื่อเพื่อออกไปเดินเล่นนอกวัง

แม้เรื่องทำร้ายตุณชายแห่งรองกรมพิธีการครั้งก่อน หัวหน้าขันทีลี่จะไม่พอใจเล่อเหยาเหยาเล็กน้อย แต่หัวหน้าขันทีลี่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านอ๋องมาหลายปี จึงรู้ว่าในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋เล่อเหยาเหยานั้นต่างออกไป ดังนั้นหัวหน้าขันทีลี่จึงมอบป้ายออกจากวังให้กับเล่อเหยาเหยา แต่สายตาที่มองเล่อเหยาเหยากลับมีความหมายอย่างยิ่ง เล่อเหยาเหยาเห็นพลันหนังศีรษะชาวาบ รีบดึงตัวเสี่ยวมู่จื่อจากไปทันที

ทว่าแม้คนซื่อเช่นเสี่ยวมู่จื่อ เหมือนสังเกตได้ว่าหัวหน้าขันทีลี่ไม่ปกติ หลังก้าวออกจากประตูวัง อดเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาอย่างสงสัยไม่ได้

 “เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าคิดว่าสายตาเมื่อครู่ที่หัวหน้าขันทีลี่มองเจ้าดูแปลกๆ หรือไม่?”

สำหรับคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาเพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนเอ่ยอย่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่า

 “ข้ารู้สึกเช่นกัน แต่พักนี้ข้าคล้ายไม่ได้ทำผิดอันใดนะ!? แปลกจริง หรือเขาใกล้จะวัยทองแล้ว!?”

 “วัยทองคืออันใด?”

สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ

เล่อเหยาเหยาได้ยินตะลึงชั่วขณะ ก่อนพลันรู้ตัวว่าตนเอ่ยคำศัพท์ในยุคปัจจุบันออกมา ดังนั้นจึงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา ก่อนจะพูดให้เสี่ยวมู่จื่อเข้าใจได้ว่า

 “เอ้อ วัยทองนะ คือคนที่อายุมากจะป่วยเป็นโรคนี้ อารมณ์ก็จะเปลี่ยนไปดูประหลาด เช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

 “โอ้ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อมีสีหน้าเข้าใจในทันที ก่อนจะไม่คิดซักถามปัญหานี้กับเล่อเหยาเหยาอีก โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาออกจากวังมาแล้ว ก็ต้องอยากเดินเล่นอย่างสบายอกสบายใจ!

ทว่าเพราะสิ่งที่ทำได้มีจำกัด พวกเล่อเหยาเหยาจึงเดินเล่นอยู่บนถนน หลังเดินชมเครื่องประดับที่น่าสนใจจนเหนื่อย จึงเดินหาร้านน้ำชาคิดเข้าไปดื่มน้ำจับเลี้ยงให้หายเหนื่อยก่อนกลับวัง

พวกเล่อเหยาเหยาจึงเลือกโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งที่ราคาไม่แพง แต่บรรยากาศไม่ถือว่าไม่เลว แม้จะเทียบกับโรงเตี้ยมใหญ่ไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นเพียงขันที ไม่มีเงินติดตัวมากมาย จึงเข้าได้เพียงสถานที่คุณภาพต่ำเช่นนี้

หลังเข้ามาในโรงเตี้ยม เสี่ยวเอ้อร์รีบยิ้มเดินออกมาต้อนรับพวกเล่อเหยาเหยา

 “กี่ท่านขอรับ?”

 “สอง เจ้านำน้ำจับเลี้ยงสองถ้วยมาให้พวกเราก็พอ”

หลังนั่งลงเล่อเหยาเหยารีบเอ่ยกับเสี่ยวเอ่อร์ทันที

เสี่ยวเอ้อร์ได้ยิน ยิ้มพลางเอ่ยพูด ‘ขอรับ’ก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานน้ำจับเลี้ยงสองถ้วยถูกวางลงบนโต๊ะ

ตอนนี้หน้าร้อนอากาศร้อนอบอ้าว ดวงอาทิตย์ลอยเด่นบนฟ้า แสงแดดงดงามสาดส่องลงมาบนพื้น กระทั่งสายลมที่พัดมายังหอบเอาความร้อนระอุมาด้วย

เล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อที่เดินเล่นเป็นเวลานานจนเหนื่อย หลังน้ำจับเลี้ยงถูกวางบนโต๊ะจ่ายเงินทันที ก่อนจะรีบหยิบขึ้นมาดื่ม

เดิมทีเล่อเหยาเหยาวางแผนว่าหลังดื่มน้ำจับเลี้ยงเสร็จจะกลับวัง ทว่ากลับได้ยินเสียงเอะอะโวยวายบางอย่างจากด้านข้าง ดังนั้นจึงสงบใจคิดไปแอบฟังว่าคือข่าวลืออันใดกัน

เพราะในโรงน้ำชาพวกนี้ มีข่าวซุบซิบมากที่สุด

แม้หนูบ้านของผู้ใดเกิดมามีกี่มือกี่เท้า ทุกคนล้วนหยิบมาพูดคุยกัน

เพียงแต่ครั้งนี้สิ่งที่ทุกคนถกเถียงกลับไม่ใช่หนูของบ้านผู้ใด แต่เป็นเรื่องการตายและหญิงสาวผู้นั้น!

สำหรับเรื่องนี้ ชั่วพริบตาในโรงเตี้ยมเหมือนกับขีปนาวุธที่ระเบิดอย่างรุนแรง

เมื่อเล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อได้ยิน ในใจหวาดหวั่นอย่างรุนแรง

เดิมทียามเช้าทางทิศตะวันตกห่างออกไปจากเมืองหลวงหลังพบว่าหญิงสาวผู้นั้นถูกพบว่าเป็นศพอยู่ในห้องของตนเอง ยามเที่ยงมีครอบครัวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพบหญิงสาวผู้หนึ่งเสียชีวิตอยู่ในห้อง อีกทั้งสองคนนี้ยังตายแบบเดียวกัน อายุไล่เลี่ยกัน เป็นหญิงสาวอายุประมาณสิบหกปีที่ยังไม่ได้ออกเรือน

ในหนึ่งวันเกิดคดีขึ้นสองคดี อีกทั้งวิธีการตายยังน่าสยดสยองเช่นนี้

ศพที่ถูกควักหัวใจ จะไม่ให้หวาดกลัวได้เช่นไร!?

อีกอย่าง การตายของหญิงสาวทั้งสอคงแปลกประหลาดเช่นนี้ ไม่นานถูกคนล่ำลือว่าเป็นฝีมือของปีศาจ ก่อนทุกคนทุกบ้านพลันตื่นตระหนก

เวลานี้ภายในโรงเตี้ยมยังมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมผู้หนึ่ง เขาถูกยอมรับว่ารอบรู้ทุกเรื่อง ข่าวทุกเรื่องรู้ก่อนผู้ใด ดังนั้นทุกวันจึงมีคนใน้อยมาที่นี่เพื่อฟังเรื่องของเขา

เวลานี้ผู้รอบรู้กำลังเล่าถึงเรื่องนี้ มือหนึ่งโบกพัดพับขนาดใหญ่ ทั้งพัดทั้งเล่าคดีทั้งสองที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างสมจริงสมจัง

 “ว่ากันว่า ฮ่องเต้ทรงทราบทั้งสองเรื่องที่เกิดวันนี้แล้ว อีกทั้งตอนประชุมทรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง รับสั่งให้คนตรวจสอบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ผู้ใดจะรู้ว่าพอตรวจสอบลงมากลับพบว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ได้มีแค่หญิงสาวสองคนนี้ที่โชคร้ายในเมืองหลวงเท่านั้น

หลายเดือนก่อน ทางแถบซานซีก็เกิดคดีที่ศพถูกควักหัวใจขึ้นกว่าสิบคดี เพียงแต่พวกขุนนางไร้มโนธรรมทางซานซี กลัวถูกราชสำนักทราบเรื่องเข้าอาจตำหนิว่าเขาทำงานไม่ได้เรื่อง ดังนั้นจึงให้ทุกคนเก็บเรื่องทั้งหมดพวกนี้เอาไว้ อีกทั้งได้ยินว่าทางซานซี สิบกว่าคนนั้นเป็นหญิงสาวที่ถูกควักหัวใจเช่นเดียวกับเมืองหลวง อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี นอกจากนี้ยังเป็นหญิงสาวที่ไม่ออกเรือน แต่ละคนอายุเท่ากัน เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าบ้านผู้ใดมีหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน รีบให้แต่งออกไปซะ แม้บุรุษจะหน้าผุผองฟันเหยิน ไม่ต้องสนสิ่งพวกนี้ เพราะชีวิตสำคัญที่สุด!”

สุดท้ายผู้รอบรู้ถอนหายใจออกมา ทำให้ในใจทุกคนกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะบ้านที่มีหญิงสาวยังไม่ออกเรือน เวลานี้สีหน้าล้วนลนลานหน้าซีดขาว

เพราะเรื่องน่าสยดสยองเช่นนี้ คงหลีกเลี่ยงให้เกิดกับลูกสาวตนไม่ได้ เพื่อชีวิตของลูกสาวต้องรีบแต่งออกไป!

ดังนั้น ครอบครัวที่มีลูกสาวเหล่านั้น ต่างลุกขึ้นจ่ายเงินแล้วจากไป น่าจะเพื่อเตรียมตัวเรื่องการออกเรือนของลูกสาว

เมื่อได้ยินเรื่องเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อในใจล้วนตื่นตระหนกเช่นกัน

 “เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าว่าหญิงสาวพวกนี้เหตุใดตายอย่างน่าเวทนาเช่นนี้? น่าเสียดายจริงๆ โชคดีที่พวกเราไม่ใช่สตรี แต่ใครกันที่โหดเหี้ยมขนาดนี้ ถึงสังหารเด็กสาวที่บริสุทธิ์พวกนี้เช่นนี้ เจ้าว่าเป็นฝีมือปีศาจหรือไม่!?”

ไม่แปลกที่เสี่ยวมู่จื่อจะคิดเช่นนี้ เพราะสมัยโบราณที่เคร่งครัดประเพณี สิ่งที่หลบหลีกไม่ได้ที่สุดคือเรื่องปีศาจเทวดาเหล่านี้ มีคนมากมายเมื่อหาสาเหตุไม่ได้ มักเอ่ยว่าเป็นฝีมือปีศาจ

เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ในใจยังเต็มไปด้วยความกังวล

เมื่อมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกอีกครั้ง

เห็นเพียงแสงแดดสาดส่องแรงจ้ามื่อครู่ ตอนนี้กลับถูกเมฆดำปกคลุมจนหมด

กลางอากาศอัดแน่นด้วยความมืดมิด ทำให้คนที่เห็นรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออกเล็กน้อย

“เสี่ยวมู่จื่อ พวกเรากลับกันเถอะ!”

เมื่ออารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงคิดออกมาเดินเล่นพักใจนอกวัง ผู้ใดจะรู้ว่าหลังออกจากวังมาที่นี่ กลับได้ยินเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดียิ่งขึ้น ช่างทำให้ในใจยากที่รับไหวเสียจริง

อาจเพราะเสี่ยวมู่จื่อรู้สึกเช่นเดียวกับเล่อเหยาเหยา ดังนั้นหลังได้ยินคำชักชวนของเล่อเหยาเหยา เพียงพยักหน้า ก่อนทั้งสองคนจะเดินทางกลับวัง

เมื่อกลับมาถึงวัง เล่อเหยาเหยาทราบว่าพญายมได้กลับมาแล้ว และขณะนี้อยู่ในห้องหนังสือ

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาที่เห็นสายตาเชิงตำหนิของหัวหน้าขันทีลี่ รีบไปยังห้องหนังสือทันที

เห็นเพียงเวลานี้แม้จะพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน แต่เพราะด้านบนปกคลุมด้วยเมฆดำ ทำให้ท้องฟ้ามืดมิด ดังนั้นภายในตำหนักหย่าเฟิงจึงจุดไฟขึ้น

เล่อเหยาเหยาไปที่ห้องชาเพื่อชงชาที่พญายมชื่นชอบที่สุดก่อน จากนั้นจึงยกอย่างระมัดระวังไปที่ห้องหนังสือ

ภายในห้องหนังสือมีแสงสว่างสาดส่องออกมา เห็นชัดว่ามีคนกำลังอยู่ด้านใน

ประตูห้องเปิดอ้าไว้ ทว่าเมื่อเล่อเหยาเหยามาถึงด้านนอกห้อง ยังยื่นมือเคาะประตูห้องเบาๆ เป็นการให้สัญญาน

หลังมีเสียงเคาะประตูเบา ภายในห้องมีน้ำเสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหล ที่มีเพียงแต่พญายมเท่านั้นดังออกมา

 “เข้ามา!”

หลังได้ยินเสียงนี้ เล่อเหยาเหยาอดสั่นไหวในใจไม่ได้

ไม่รู้เหตุใด พวกเขาไม่เจอกันเพียงครึ่งวันเท่านั้น ทว่าเธอกลับได้ยินถึงความอ่อนล้าในน้ำเสียงของพญายม เป็นเพราะเธอฟังผิด หรือพญายมเหนื่อยล้าจริง!?

เล่อเหยาเหยาคิดในใจพลางผลักประตูเข้าไป

…………………………………………………………………..