เดิมที ทางตะวันตกของเมืองหลวงมีลูกสาวของครอบครัวหนึ่ง วันนี้ถูกพบเป็นศพในห้องตนเองตอนเช้าตรู่
ปกติแล้ว เมื่อมีคนตาย เจ้าหน้าที่ท้องที่ต้องไปสืบสวนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านอ๋อง แต่การตายของเด็กสาวผู้นี้ กลับน่าสยดสยองยิ่งนัก
“น่าสยดสยอง? วิธีการสยดสยองเช่นใดกัน!?”
เมื่อเหม่ยเอ่ยถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีอดเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้
อันที่จริงเขาเห็นคนตายมามากมาย ยิ่งกว่านั้นวิธีการสังหารคนของศิษย์พี่ใหญ่โหดเหี้ยมยิ่งนัก เขาจึงเคยชิน และไม่หวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแต่ เมื่อเห็นเหม่ยเอ่ยว่าน่าสยดสยอง จึงยากที่จะแปลกใจไม่ได้
ส่วนเหม่ยเมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีเอ่ยถามขึ้น ก็สูดหายใจเข้า พร้อมกับเล่อเหยาเหยาที่เตรียมชาให้พวกเขาเสร็จพอดี ก่อนวางบนโต๊ะไม้จันทน์ด้านข้างพวกเขา
เพราะแม้เหม่ยและซิงจะเป็นองครักษ์ลับของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แต่พวกเขาต่างฝ่าอันตรายร่วมกันมาหลายปี มิตรภาพจึงเทียบกับคนอื่นไม่ได้ รวมทั้งพวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน พูดไปแล้วพวกเขาเป็นสหายกันก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
ดังนั้น หลังเหม่ยและซิงเข้ามาในห้อง จึงให้พวกเขานั่งพักเหนื่อย ก่อนสั่งเล่อเหยาเหยาไปเตรียมน้ำชา
เล่อเหยาเหยาที่จัดเตรียมน้ำชา ได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซีเข้าพอดี จึงแปลกใจอย่างรวดเร็ว
เพราะครั้งก่อนที่พญายมสังหารสสังหากโจรภูเขาพวกนั้น เธออยู่ในเหตุการณ์ เห็นภาพนองเลือดนั้น เธอยังตกใจกลัวจนกลางคืนไม่กล้านอนหลายวัน
ทว่าตอนนี้ เหม่ยกลับใช้คำว่าสยดสยองมาอธิบายการตายของหญิงสาวผู้นั้น เช่นนั้นต้องน่ากลัวอย่างยิ่งแน่
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงอยากออกไปไม่ฟัง เพราะกลัวว่าหากเธอได้ยินแล้ว คืนนี้ต้องฝันร้ายแน่!
เพียงแต่ ทางหนานกงจวิ้นซีคล้ายสังเกตถึงความกลัวของเล่อเหยาเหยา ดวงตาดุจดอกท้องดงามแวบขึ้น ก่อนรีบเอ่ยปาก หยุดการจากไปของเล่อเหยาเหยา
“กระต่ายน้อย เจ้าทำสิ่งใด! เจ้ายังไม่ยกน้ำชามาให้ข้าเลย! ข้าคอแห้งจะตายแล้ว! เหม่ย เจ้าเล่าต่อเถอะ!”
หนานกงจวิ้นซีหลังสั่งเล่อเหยาเหยาเสร็จ รีบให้เหม่ยรีบเอ่ยต่อทันที
เล่อเหยาเหยาได้ยิน รู้ว่าหนานกงจวิ้นซีตั้งใจ จึงโมโหจนแทบกระทืบเท้า พลางก่นด่าในใจไม่หยุด
หากรู้ว่าเขาร้ายกาจเช่นนี้ เมื่อครู่ตอนเทน้ำชาน่าจะถมน้ำลายลงแก้วของเขา ฮึๆ!
แม้ในใจจะโมโห ทว่าใครใช้ให้เธอตอนนี้เป็นบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยล่ะ! เขาเป็นถึงองค์ชายเจ็ดผู้สง่างาม เพียงประโยคเดียวสามารถตัดสินความเป็นความตายของเธอได้!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาเกลียดสังคมทาสที่ชั่วช้านี้ยิ่งนัก
ทว่าโมโหก็โมโห แต่ตอนนี้งานยังต้องทำ
พอคิดถึงจุดนี้ เล่อเหยาเหยาจึงหยิบถาดน้ำชา เดินตรงไปที่หนานกงจวิ้นซี
และตอนนี้ เหม่ยพูดจนรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย ดังนั้นจึงให้ซิงที่อยู่ด้านข้างรับช่วงเอ่ยเล่าต่อ
โดยซิงเป็นคนประเภทค่อนข้างร่าเริงสดใสพูดจาเกินจริงและมีอารมณ์ขัน
เมื่อเอ่ยพูดขึ้นก็อธิบายอย่างสมจริงสมจัง ทำให้รู้สึกราวอยู่ในเหตุการณ์ เวลานี้เห็นเพียงเขาลุกจากที่นั่งยืนขึ้น จากนั้นเอ่ยเล่าเหตุการณ์ที่ตนเห็นด้วยตาให้กับทุกคนอย่างออกรส
“ข้าเพิ่งเคยเห็นสภาพการตายเช่นหญิงสาวรายนั้นเป็นครั้งแรก ปกติหากถูกฆ่าต้องมีเลือดออก แต่หญิงสาวผู้นั้น บนหน้าอกมีรูขนาดเท่ากำปั้น อีกทั้งหัวใจของหญิงสาวนั้นหายไป เห็นชัดว่าถูกคนใช้มือควักหัวใจเธอออกมาอยากรุนแรง ที่ทำให้ผู้คนแปลกใจมากที่สุดคือ กระทั่งเลือดในกายนางหายไปพ่ะย่ะค่ะ กลายเป็นศพแห้งเหี่ยว ทว่าหญิงสาวผู้นั้นตายไม่ถึงวันเลย!บิดามารดาเอ่ยว่า เมื่อก่อนพวกเรายังกินอาหารร่วมกัน หลังกินเสร็จหยิงสาวผู้นั้นกลับห้องเข้านอน คิดไม่ถึงพอเช้ามาถูกคนพบว่าเป็นศพเสียแล้ว สวรรค์ ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ”
พูดถึงตอนสุดท้าย ซิงลูบหน้าอกไปมา ทำทาท่างราวไม่เชื่อสายตา
ทุกคนหลังฟังเขาเล่าจบ ไม่มีผู้ใดไม่ตกตะลึง
ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีถือว่ายังดี
เพราะพวกเขาเห็นคนตายมามากมาย เพียงแค่รู้สึกว่าการตายของหญิงสาวผู้นั้นดูประหลาดเกินไป
แต่เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยิน รู้สึกเพียงท้องไส้ปั่นป่วนไม่หยุด
เมื่อนึกถึงภาพการสังหารคนของพญายมครั้งก่อนขึ้นมาอีกครั้ง คนตายเกลื่อนพื้น และพื้นดินเต็มไปด้วยเลือด…
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหนาวสะท้านไปทั้งตัว
กระทั่งทั่วใบหน้าเขียวคล้ำ หากมองให้ดี จะเห็นว่าเวลานี้เธอกำลังสั่นเทิ้มเล็กน้อย
สวรรค์!
น่ากลัวเกินไปแล้ว ผู้ใดที่เลือดเย็นเช่นนั้น ถึงทำร้ายสังหารเด็กสาวโหดเหี้ยมเช่นนี้!?
เล่อเหยาเหยาหวาดกลัวในใจ และภายในสมองคิดถึงคำพูดและภาพเหตุการณ์นั้นของซิงไม่หยุด พอแล้ว คืนนี้นอนไม่หลับเป็นแน่!
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่ตกใจหวาดกลัว จนสีหน้าซีดขาว หนานกงจวิ้นซีบนเตียงเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของเล่อเหยาเหยา ในใจเริ่มมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ขึ้นมา
ฮึฮึ กล้าเหยียบนกน้อยขององค์ชายเจ็ด ก็ต้องเตรียมใจรับการลงโทษ!
ขณะคิดในใจ หนานกงจวิ้นซีเอ่ยเรียกเล่อเหยาเหยาที่สีหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาตกตะลึงอยู่ทันที
“นี่ เจ้าบ่าวรับใช้ มัวตะลึงอันใดกัน? รีบยกชามาให้ข้า!”
เดิมทีเล่อเหยาเหยาที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน เมื่อได้ยินเสียงเรียกของหนานกงจวิ้นซี พลันได้สติทันที ทว่าในใจยังคงหวาดกลัว จึงทำให้มือที่ถือถ้วยชานั้นสั่นจนเกิดเสียงกึกกักไม่หยุด ราวใบไม้สีเหลืองท่ามกลางพายุ
ไม่ใช่เพราะเล่อเหยาเหยานั้นขี้ขลาด ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนกล้าที่ถูกยอมรับไปทั่วหอพักคนหนึ่ง แต่หากพวกเขาเห็นฝีมือสังหารราวไม่ใช่ของของพญายมกับตา รวมถึงหลังซิงอธิบายเหตุการณ์อย่างสมจริงสมจังเมื่อครู่ ต้องตกอกตกใจอย่างแน่นอน
กระทั่งแรงถือถ้วยชาแทบไม่มี ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น…
เพียงเล่อเหยาเหยาพลันร้อง ‘โอ๊ะ’ ขึ้น ชาร้อนที่ถูกเธอถืออยู่ในมือหลุดลงจากมือทันที
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตามองถ้วยชาในมือที่กำลังตกลง น้ำที่ร้อนระอุนั้นก็ต้องหกรดลงบนต้นขาเธอ เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้นก็ตกใจจนดวงตางดงามเบิกกว้าง คิดว่าสุดท้ายครั้งนี้ตนต้องหลบไม่พ้นถูกน้ำร้อนลวกอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงปิดตาลง ไม่มองให้รกตา
แต่เธอรออยู่นาน ความเจ็บปวดที่คาดการณ์ไว้ไม่เกิดขึ้น แต่รอบด้านกลับมีเสียงตกใจอย่างคาดไม่ถึงดังขึ้นมา…
“ศิษย์พี่ใหญ่”
“ท่านอ๋อง”
หลังเดเสียงตกใจเกิดข้น เล่อเหยาเหยาหวั่นไหวในใจ ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะต่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างสงัสยทันที
ทว่า เมื่อเล่อเหยาเหยาเห็นภาพตรงหน้า ร่างกายพลันราวถูกฟ้าผ่าในกลางวัน ตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
ดวงตางดงามเบิกกว้าง ภายในเต็มไปด้วยคลามเหลือเชื่อ เพราะ…
พญายมยื่นมือข้างหนึ่งจับถ้วยชาที่ควรตกลงพื้น และเธอต้องถูกลวกนั้นเอาไว้
แต่พญายมกลับรับถ้วยชาที่เธอถือไว้ ให้เธอรอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้…
ทว่า นี้ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเล่อเหยาเหยาจำได้ชัดว่าเมื่อครู่ พญายมนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากเธอ เวลานี้เขากลับรับถ้วยชาร้อนระอุนั้นไว้ได้ แค่คิดก็รู้ว่าเมื่อครู่เขาใช้ความเร็วมากเพียงใดถึงพุ่งมาอยู่ด้านข้างเธอได้
แต่เพราะเหตุใด!?
เธอเป็นเพียงขันทีน้อยผู้หนึ่ง แม้ถูกน้ำร้อนลวก ความจริงในสายตาคนฐานะสูงส่งเช่นพวกเขา ถือว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น!
ทว่าท่านอ๋องสง่างสมสูงศักดืเช่นเขา เหตุใดถึงยอมให้ตนเองบาดเจ็บ เพื่อช่วยขันทีเช่นเธอด้วย!?
เวลานี้ เล่อเหยาเหยาสงสัย และไม่เข้าใจเลย
ทว่าเวลานี้ไม่เพียงเล่อเหยาเหยาที่ไม่เข้าใจและสงสัย ทุกคนในนั้นต่างพากันประหลาดใจไม่หยุด ภายในดวงตาปรากฎความเหลือเชื่อแวบขึ้น
อันที่จริงพวกเขาเหล่านี้ ต่างอยู่ข้างกายเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาหลายปี สำหรับนิสับของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทุกคนล้วนทราบเป็นอย่างดี
ภายในสายตาพวกเขา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นคนที่ไม่อาจทำให้ผู้อื่นมองข้ามไปได้!
เขาบารมีสูง คุณงามความดีมากมาย ฝีมือเด็ดขาด รูปโฉมหล่อเหลา วรยุทธไร้เทียมทาน เป็นที่โปรดปราน หาได้ยากบนโลก ไม่มีผู้ใดแทนที่ได้!
นอกจากนี้ เขาเย็นชาไร้ความรู้สึก สำหรับทุกสิ่งล้วนเฉยเมยไม่ไยดี แต่เวลานี้เขากลับมีท่าทีแปลกไป และฝ่ายตรงข้ามยังเป็นขันทีน้อยผู้หนึ่ง! นี่ช่างทำให้คนคาดไม่ถึงเสียจริง!
ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว!
ดังนั้น หลังทุกคนหายตกตะลึง รีบสั่งคนให้ไปตามหมอมา
อันที่จริงน้ำที่ร้อนระอุอย่างเมื่อครู่ แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ใช่เหล็ก ต้องถูกลวกจนบาดเจ็บแน่นอน
หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น เอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างโมโหและหงุดหงิดว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำอันใด!แค่ขันทีเพียงคนเดียว ท่านสถานะสูงส่ง ทำเช่นนี้… ”
“ศิษย์น้อง ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก”
เมื่อเห็นหนานกงจวิ้นซีร้อนรนหงุดหงิด เหลิ้งจวิ้นอวี๋ทำราวไม่เกิดเรื่องใดขึ้น คล้ายคนที่ถูกน้ำร้อนลวกตอนนี้ไม่ใช่ตน กระทั่งคิ้วงดงามนั้นไม่ขมวดแม้แต่น้อย
คล้ายกับเขาไม่รู้สึกสิ่งใดเลย!
แต่ไม่มีความรู้สึกจริงหรือ!?
เจ็บปวด นั่นต้องมีแน่อนอน!
แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่นำเรื่องเล็กอย่างน้ำร้อนลวกวางไว้ในใจเลยแม้แต่นิดเดียว
อันที่จริงตั้งแต่เด็กจนโต เขาได้รับบาดเจ็บหนักและเบามามากมาย หนักที่สุดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ตอนนี้เขายังดีอยู่มิใช่หรือ
อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลังเขารู้สึกตัว ความจริงรู้สึกไม่เชื่อสายตาเช่นกัน
เพราะเมื่อครู่เมื่อเห็นขันทีน้อยไม่ระวังทำถ้วยชาตก แล้วน้ำชาร้อนจัดนั้นกำลังรดลงบนส่วนล่างของเขา เมื่อเห็นเช่นนั้น ในใจเขาบีบรัดชั่วขณะ ดังนั้นจึงไม่คิดอันใด รีบพุ่งเข้าไปทันที
ทว่าหากเกิดเรื่องร้ายแรง เขาอาจจะไม่ทำเช่นนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาเพียงทำตามใจของตนเอง
เพราะเขาไม่อยากให้ขันทีน้อยนี้บาดเจ็บ…
ขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดในใจ ในที่สุดเล่อเหาเหยาได้สติ จากนั้นไม่สนใจสายตาอันดุดันของหนานกงจวิ้นซี ก้านเดินเข้าไปด้านหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างช้าๆ
เห็นมือใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อของเขานั้น ในใจกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะเจ็บปวดขึ้นมา…
แม้เธอจะเห็นแผลน้ำร้อนลวกบนมือพญายมไม่ชัดเจน แต่รู้ว่าต้องร้ายแรงแน่นอน เพราะน้ำชาของเธอนั้นใช้น้ำเพิ่งต้มสุกชงขึ้นมา!
พอคิดถึงตรงนี้ ริมฝีปากเล่อเหยาเหยาสั่นชั่วขณะ มองยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ คล้ายอยากพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา
………………………………………………………………………