ตอนที่ 77.1 องค์ชายเจ็ดผู้ใจแคบเหมือนไส้ไก่ (1)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

องค์ชายเจ็ดมาเยี่ยมเยือน แม้จะเป็นความลับ แต่เรื่องนี้หากเหลิ่งจวิ้นอวี๋สั่งการลงไป ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกไป

อีกทั้งให้หัวหน้าขันทีลี่จัดการตำหนักชิงเซี่ยวตั้งอยู่ข้างตำหนักหย่าเฟิง เพื่อให้องค์ชายเจ็ดพักอยู่ด้านใน

และบาดเจ็บส่วนล่าง เวลานี้กลับกินอิ่มดื่มอิ่มอย่างหนานกงจวิ้นซีหลังได้ยินแผนเช่นนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง ก่อนพลันนึกบางสิ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

 “ใช่แล้ว ศิษย์พี่ เมื่อให้ข้าพักที่ตำหนักชิงเซี่ยว เช่นนั้นท่านให้ขันทีสักคนมาปรนนิบัติข้าเถอะ!”

แม้ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเทียนซานหนานกงจวิ้นซีและเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะลำบากอย่างมาก แต่หลังกลับมา จะพูดอย่างไรคนหนึ่งเป็นถึงท่านอ๋อง คนหนึ่งเป็นองค์ชายเจ็ด สถานะสูงส่ง เข้าออกมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ หนานกงจวิ้นซีก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นวี เพียงพยักหน้าเอ่ยเสียงเข้มว่า

 “เรื่องนี้เจ้าวางใจ ขันทีที่ปรนนิบัติเจ้าหัวหน้าขันทีลี่จะเป็นคนจัดการ”

เพราะตอนนี้หนานกงจวิ้นซีบาดเจ็บ เรื่องในชีวิตประจำวันจึงจำเป็นต้องมีคนช่วยจัดการ!

หนานกงจวิ้นซีเมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ก็เอ่ยอย่างหน้าเป็นว่า

 “เรื่องนี้ ศิษย์พี่ ความจริงไม่ต้องให้หัวหน้าขันทีจัดการหรอกพ่ะย่ะค่ะ ตรงนี้มีก็มีคนให้เลือกมิใช่หรือ? ให้เขาปรนนิบัติข้าเป็นเช่นไร?”

ความจริง นี้ต่างหากคือจุดประสงค์ของเขา!

แม้เมื่อครู่สิ่งที่ขันทีน้อยนี้ทำมาจะรสชาติดีอย่างยิ่ง ทำให้เขาอดกินขาหมูตุ๋นหม้อนั้นจนเกลี้ยงไม่ได้ แต่กลับไม่ได้หมายความว่า ขาหมูตุ๋นหม้อเดียวจะทำให้ความโกรธในใจเขาหายไป

เช่นไร เขาคือคนที่บาดเจ็บหนักที่สุด เขานั้นคิดว่านกน้อยอันมีเกียรติของตนยังไม่ได้ใช้กับคนที่รัก แทบถูกทำลายลงภายใต้เท้าของขันทีน้อยผู้นี้ เขาจะไม่โมโสได้เช่นไร?

ทว่า พอเห็นใบหน้าของศิษย์พี่เขาจึงไม่ลงโทษอย่างหนักกับ ‘เขา’แต่จะลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ฮิฮิ ถือว่าไม่มากเกินไป!?

ขณะที่หนานกงจวิ้นซีกำลังคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ มือของเล่อเหยาเหยากำลังเก็บชามตะเกียบพลันช้าลง ก่อนเงยช้อนดวงตางดงามที่ดูแปลกใจและตกตะลึงเล็กน้อยขึ้น มองยังบนเตียง สบเข้ากับดวงตาดุจดอกท้อที่มองเธออย่างรอยยิ้มของผู้ชนะ

แต่แม้ภายในดวงตาดุจดอกท้อคู่นั้นจะแฝงด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย

 “เอ้อ”

เห็นเช่นนั้น ในใจเล่อเหยาเหยาพลันเกิดความคิดที่ไม่สบายใจอย่างยิ่งขึ้นมา

หน้าตัวเมีย เป็นผู้ชายชอบผูกใจเจ็บเสียจริง!

เมื่อครู่เธอเพียงเหยียบนกน้อยของเขาไปครั้งเดียว อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนั้น เธอทำเช่นนี้ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ!?

ใครจะรู้ว่าตอนนี้คนที่ปีนกำแพงเข้ามไม่ใช่หัวขโมย แต่เป็นเขาองค์ชายเจ็ดผู้ไม่เล่นตามกฏกติกานี้!?

แม้เธอจะยอมรับว่าน้ำหนักเท้าที่เหยียบนกน้อยเขานั้นจะหนักไปบ้าง แต่เมื่อครู่เขากินขาหมูตุ๋นไปแล้ว ทั้งยังกินจนเห็นก้นหม้ออีกด้วย!

ที่กล่าวว่ากินของคนอื่นปากอ่อน รับของคนอื่นมือไม้อ่อน

เพราะเหตุใดหลังเขากินเสร็จ เริ่มคิดร้ายกับเธอเช่นนี้!?

คิดถึงครงนี้ เล่อเหยาเหยาจนใจอย่างที่สุด

อีกทั้ง เธอทราบดีว่าหากพญายมตอบตกลงคำขอของเขาขึ้นมาจริง ให้เธอไปปรนนิบัติองค์ชายเจ็ดผู้นี้ เล่อเหยาเหยาคาดเดาได้เลยว่า อนาคตของเธอตายไปยังดีกว่ามีชีวิตอยู่แน่นอน!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันหันนัยน์ตาสุกใสงดงาม มองยังพญายมด้วยสีหน้าอ้อนวอน

เมื่อเห็นดวงตาสุกใสแวววาวคู่นั้น คล้ายบ่อน้ำที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ กระพริบไปมา ประกอบกับคิ้วที่งดงามที่ขมวดเล็กน้อย และปากเล็กแดงสดที่เม้มขึ้นเล็กน้อยราวไร้ความผิดและน้อยใจ

ท่าทางเช่นนั้น เมื่อมองคล้ายกระต่ายน้อยที่ขลาดกลัวไร้ที่พึ่งกำลังถูกหมาป่าตัวใหญ่คุกคาม มิต้องพูดว่าน่าสงสารเพียงใด

แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะรู้ว่าเธอแสร้ง แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าสงสารไร้ที่พึ่งของเล่อเหยาเหยา ในใจอดอ่อนลงไม่ได้

กระทั่งสายตาที่มองยังเล่อเหยาเหยานั้นยังดูอบอุ่นหลายส่วน และหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างจับจุดนี้ได่พอดี ดวงตาดุจดอกท้อที่งดงามอดมีความตกตะลึงวาบขึ้นมาไม่ได้ ก่อนพลันทำหน้าใสซื่อไร้เดียงสาน่ารัก มองยังเหลิ่งจวิ้นอว่อย่างออดอ้อน

 “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ปฏิเสธคำขอร้องเพียงเล็กน้อยของศิษย์น้องใช่หรือไม่!? ข้าตอนนี้เพียงอยากขอขันทีน้อยคนโปรดของท่านไปคอยปรนนิบัติเท่านั้น ข้าเห็นขันทีน้อยนี้ฝีมือทำอาหารไม่เลว อีกอย่างหน้าตาน่าเอ็นดู ข้าชอบยิ่งนัก!”

เห็นหนานกงจวิ้นซีที่เดิมทีหล่อเหลาเจิดจ้าพลันเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยอยากได้ผลไม้เชื่อม อีกทั้งที่เขาออดอ้อนมิใช่ใครอื่น แต่เป็นพญายมที่ทำให้คนได้ยินแล้วหวาดผวา เย่อหยิ่งเย็นชาผู้นั้น!

เห็นชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าตั้งใจพยายมทำตัวให้น่ารักออดอ้อนชายหนุ่มที่เหมือนศพในภูเขาน้ำแข็ง เหตุการณ์เช่นนี้ช่าง…

แค่กๆ น่าสยองเสียจริง…

ที่หนักที่สุดคือ ทำให้คนคิดไปไกล

อันที่จริง พญายมโด่งดังเรื่องไม่เข้าใกล้สตรี เย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ศิษย์น้องเขาผู้นี้กลับกล้าทำตัวน่ารักออดอ้อนเขา อีกทั้งพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องใช้ชีวิตอยู่ในเทียนซานมาหลายปี…

อาจเป็นไปได้ว่าที่พญายมไม่เข้าใกล้สตรี ทั้งหมดเป็นเพราะเขาไม่ชอบสาวงาม แต่ชื่อชอบชายงาม!?

หลังคิดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาหดหู่ใจยิ่งนัก

สวรรค์ ที่แท้!

มิน่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นมีคนเข้าใกล้พญายมโดยไม่หวาดกลัว อีกทั้งใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยพูดกับพญายม

นอกจากนี้ เมื่อมองใบหน้าของพญายมอีกครั้ง ไม่มีท่าทางโมโหเลยสักนิด

หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงกว่าคงถูกเขาสังหารไปแล้ว!?

พอคิดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยามั่นใจว่าเรื่องจริงคือพญายมชื่นชอบองค์ชายเจ็ดตรงหน้านี้

อีกทั้ง ในใจก็เชื่ออย่างยิ่งว่า ตนหนีการถูกทรมานจากกรงเล็บมารขององค์ชายเจ็ดได้ยากแน่

เพราะหากพญายมชื่นชอบองค์ชายเจ็ดผู้นี้ จะปฏิเสธคำขอร้องของคนที่เขารักได้เช่นไร!? จริงหรือไม่!?

เพียงแต่ขณะเล่อเหยาเหยาคิดอย่างเศร้าใจอยู่นั้น คำตอบของพญายมกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเธอเล็กน้อย เห็นเพียงพญายมขมวดคิ้วงดงามเล็กน้อยยามเห็นท่าทางออดอ้อนน่ารักขององค์ชายเจ็ด ก่อนพลันเผยอริมฝีปากบางสมบูรณ์แบบ เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า

“หากเจ้าชื่นชอบฝีมือทำอาหารของกระต่ายน้อย สามารถเรียกเขาทำอาหารให้เจ้าทุกวันได้ ทว่ากระต่ายน้อยข้าให้เจ้าไม่ได้”

คำพูดของพญายมเนิบทุ้มอย่างยิ่ง แต่กลับปิดบังความแน่วแน่ไม่ได้

และพอเขาพูดออกไป สองคนที่เหลือในห้องต่างตกตะลึงชั่วขณะ

ดวงตางดงามเบิกกว้างเล็กน้อย ภายในดวงตาเล่อเหยาเหยาปรากฎความแปลกใจแวบขึ้นมา

อันที่จริง เดิมทีเธอคิดว่าหลังพญายมได้ยินคำขอร้องขององค์ชายเจ็ด ต้องไม่เอ่ยอันใด สั่งให้เธอไปปรนนิบัติองคชายเจ็ดเสียอีก!

เพราะในสายตาเขาเธอเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง มิใช่หรือ!?

แต่เพราะเหตุใด!? เหตุใดเขาจึงปฏิเสธ!?

สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาคิดไม่ออกเล็กน้อย

ทว่าเวลานี้ เธอกลับจับท่าทางขมวดคิ้วเล้กน้อยของพญายมได้อย่างรวดเร็ว

เขาขมวดคิ้ว!?

ไม่ดีใจ? ไม่ชอบ? ไม่พอใจ!?

เพราะเหตุใด หรือว่า…

พญายมเขาหึงหรือ!?

หรือเพราะพญายมอับอาย หากให้เธอไปปรนนิบัติองค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดเห็นหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ดังนั้นจึงค่อยๆ เริ่มชอบเธอ!?

สวรรค์ พญายมคิดมากเกินไปแล้ว!?

องค์ชายเจ็ดที่ใจแคบเหมือนไส้ไก่นั้น!?

เขาชอบเธอถึงจะแปลก!

จากนั้น ขณะที่เล่อเหยาเหยาฟุ้งซ่านในใจ องค์ชายเจ็ดอย่างหนานกงจวิ้นซีเมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เห็นชัดว่าในใจตกตะลึงเช่นกัน

เพราะแม้ศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่กลับดีต่อเขายิ่งนัก

ดังนั้น เมื่อครู่เขาจึงมั่นใจว่า หากเขาเอ่ยปากของขันทีน้อยผู้นี้จากศิษย์พี่ใหญ่ เขาต้องตกลงอย่างแน่นอน แต่ผลกลับ…

สำหรับคำตอบเช่นนี้ ทำให้ในใจหนานกงจวิ้นซีตกตะลึงยิ่งนัก บนใบหน้างดงามนั้นยังตะลึงเล็กน้อย สายตาที่มองเล่อเหยาเหยา เปลี่ยนแปลงไป

ทันใดนั้น หันกลับไปเอ่ยถามเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

“เพราะเหตุใด?”

เมื่อหนานกงจวิ้นซีเอ่ยจบ ภายในห้องก็เงียบสงบขึ้นอีกครั้ง

ทว่า ในใจเล่อเหยาเหยากลับเต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งเริ่มกังวลในใจขึ้น

เพราะที่จริงข้อสงสัยของหนานกงจวิ้นซี เหมือนกับข้อสงสัยในใจเธอเช่นกัน สุดท้ายพญายมจะตอบเช่นไร!?

เวลานี้ เล่อเหยาเหยาเริ่มกังวลในใจ และยังคาดหวังอีกด้วย…

เอ้อ? คาดหวัง!?

เธอคาดหวังสิ่งใด เธอเสียสติไปแล้วหรือ!

เมื่อในใจตนพลันเกิดความคิดแปลกประหลาดน่าตกใจขึ้นมา เล่อเหยาเหยารีบไม่สนใจสิ่งผิดปกติในใจนั้น เพียงจ้องมองยังพญายม เพื่อรอฟังคำตอบของเขา

ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ถูกคนสองคนตรงหน้าจ้องมองอย่างสงสัย กำลังเอ่ยปากพูดบางอย่าง กลับพลันเห็นบางสิ่งเข้า ดวงตาเย็นชาแวบขึ้น ก่อนขมวดคิ้วงดงามเล็กน้อย

เมื่อมองตามสายตาของพญายม เห็นเพียงด้านนอกตำหนัก เหม่ยและซิงกำลังมีสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวเดินอย่างรีบร้อนมาทางนี้ เห็นพวกเขามีสีหน้าจริงจัง คล้ายเกิดเรื่องใหญ่โตบางอย่าง!

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาและหนานกงจวิ้นซีหยุดพูด ก่อนมองยังเหม่ยและซิงที่กำลังรีบร้อนเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจ

เห็นเพียงเหม่ยและซิงเวลานี้ดูเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าดูอ่อนล้าเล็กน้อย เห็นชัดว่าเมื่อครู่รีบมาจากที่ใดสักแห่ง

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นใบหน้าจริงจังของผู้ช่วยทั้งสองคนของตน ใบหน้างดงามนั้นพลันเคร่งขรึมลง แววตาดูเข้มขึ้นหลายส่วน ก่อนเอ่ยปากถามว่า

 “เกิดเรื่องใดขึ้นถึงลุกลี้ลุกลนเช่นนี้!?”

 “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

คำพูดของเหม่ยดูเยือกเย็นทว่าหนักแน่น ทำให้ทุกคนในห้องไม่พูดไม่จา นิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่น่าตกใจต่อจากนี้ของเขา

………………………………………….