หรงซิวชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าราวกับจะยิ้มแต่ก็มิได้ยิ้ม
“คุณชายรองเหยียน เชิญนั่งเถิด”
เหยียนเก๋อเกิดอาการเข่าอ่อนจนแทบยืนไม่อยู่และมีเหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง
คนอื่นเรียกเขาเช่นนั้นก็ไม่เป็นกระไรหรอก แต่พระองค์ทรงขานเรียกเขาเช่นนี้…ต้องการเอาชีวิตเขาไปจริงๆ แล้วใช่หรือไม่!
“เอ่อ..คง…ไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง….พ่ะย่ะค่ะ…”
เหยียนเก๋อฝืนยิ้มเจื่อนๆ
“องค์ชายเป็นชนชั้นสูง กระหม่อม…กระหม่อมว่า…”
“คุณหนูหลิวเยว่ให้เจ้านั่ง เจ้าจะเกรงใจไปทำไม”
หรงซิวถอนสายตากลับมา
เหยียนเก๋อรู้ว่าคงปฏิเสธต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงตอบรับพลางนั่งลงตัวสั่นเทา
“เอ่อ…เฮ้อ!”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยความประหลาดใจ
ท่าทางของเหยียนเก๋อในวันนี้ช่างดูผิดแปลกไปจากเดิมยิ่งนัก…ต่อให้หรงซิวมีฐานะสูงส่งแค่ไหน แต่ด้วยสถานะของเจินเป่าเก๋อในเมืองหลวง เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงเช่นนี้
ความคิดที่สับสนแวบเข้ามาในหัวของนาง แต่ในขณะที่นางกำลังจะคิดให้ถี่ถ้วนลึกซึ้งกว่านี้ ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นมาจากด้านข้างแล้วหยิบจอกเหล้าที่นางเพิ่งรินไปเมื่อครู่นี้ไป
“แม่นางน้อยดื่มแค่น้ำชาก็พอแล้ว”
หรงซิวพูดพร้อมกับเปลี่ยนแก้วให้ใหม่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จัดการรินน้ำชาให้นางเสร็จสรรพ
ทุกท่วงท่าการกระทำของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก แม้กระทั่งคนในงานก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป
หรือแม้แต่สายตาของฉู่หนิงที่มองเขาก็ยิ่งฉายแววชื่นชมมากยิ่งขึ้น
ฉู่หลิวเยว่หลุบตามองชาร้อนตรงหน้าแล้วเลิกคิ้ว
นี่…เขาเอาคืนนางใช่ไหม
…
“นี่ พวกท่านว่าทำไมหลีอ๋องถึงเสด็จมางานในวันนี้ได้ ก่อนหน้านี้มีคนส่งจดหมายเทียบเชิญพระองค์ตั้งมากมายแต่กลับทรงปฏิเสธทุกงาน นี่ฉู่หนิงมีลูกตื๊อใดกันถึงสามารถให้พระองค์ยอมเสด็จมาได้”
“ใครจะไปรู้กันเล่า ฉู่หนิงได้เลื่อนเป็นถึงผู้บัญชาการองครักษ์ตำแหน่งสูงมิใช่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับสามารถโน้มน้าวให้หลีอ๋องผู้สูงส่งลดตัวลงมาได้หรอกกระมัง”
“ข้ากลับได้ยินมาว่า งานเลี้ยงวันเกิดองค์ชายรัชทายาทไม่กี่วันก่อน องค์หญิงสี่ทรงรังแกฉู่หลิวเยว่ แต่ก็ได้หลีอ๋องมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์…คงมิใช่เพราะว่าองค์ชายหลีอ๋องทรงตกหลุมรักฉู่หลิวเยว่หรอกกระมัง”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร พระองค์เพิ่งจะเสด็จกลับมาประทับที่เมืองหลวงนี่เอง”
“แล้วถ้าอย่างนั้นจะอธิบายเรื่องที่พระองค์ทรงออกหน้าแทนฉู่หลิวเยว่อย่างไร พระองค์ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้องค์ชายรัชทายาทและตระกูลฉู่ไม่พอใจหรอกกระมัง”
“เฮ้อ นี่แหละประเด็น! ข้าว่านะ ถึงอย่างไรองค์ชายหลีอ๋องคงฉวยโอกาสนี้ยั่วโทสะองค์ชายรัชทายาทแน่นอน เพิ่งกลับมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลีอ๋องแล้ว องค์ชายรัชทายาทจะไม่เคืองพระทัยได้อย่างไร”
“ก็แค่คนป่วยออดๆ แอดๆ คนหนึ่ง จะมีความสามารถมาแย่งชิงอะไรกับผู้ใดได้…”
“พวกท่านไม่รู้หรือ ข้าได้ยินมาว่าพระมารดาของหลีอ๋องในตอนนั้นถูกฮองเฮา…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนคนนั้นก็นึกหวาดกลัวขึ้นมากะทันหัน เขาจึงหยุดพูด ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไปอีก
บรรยากาศโดยรอบเงียบลงไปชั่วขณะ ทุกคนต่างสบตามองหน้ากันแล้วพวกเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความที่มีคารมคมคาย
“ไม่ว่าอย่างไร หลังจากวันนี้ไปฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่ก็ถือว่ามีจุดยืนในเมืองหลวงอย่างมั่นคงแล้ว…คราวนี้ตระกูลฉู่หน้าแตกยับเยิน เกรงว่าพวกเขาคงไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้หรอก!”
“หึ นานแล้วที่ตระกูลฉู่ไร้ลูกหลานที่เป็นอัจฉริยะโดดเด่นเยี่ยงนี้ ตอนนี้ไม่มีฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่อีกต่อไปแล้ว เกรงว่าต่อไปพวกเขาคงจะอยู่ยากขึ้นแล้วล่ะนะ!”
“ดูท่า…ตระกูลฉู่ยึดครองตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่มานานแล้ว…”
…
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งดื่มน้ำชาไปเพียงจิบเดียว ทันใดนั้นก็ได้ยินอึกทึกครึกโครมดังมาจากข้างนอก
นางลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับมองลงไปยังเบื้องล่าง
ห้องอาหารที่พวกเขานี้เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดบนชั้นสอง นอกจากเปิดหน้าต่างออกไปสามารถมองเห็นทะเลสาบที่อยู่กลางโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงแล้วก็ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของท้องถนนที่อยู่ด้านนอกได้อีกด้วย
ฉู่หลิวเยว่เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าห้อตะบึงออกไปไม่ไกลนัก
แผงลอยข้างถนนหลายแผงถูกชนจนล้มระเนระนาดจนทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต้องหันหลังกลับไป
พวกพ่อค้าแม่ค้าที่เดือดร้อนเสียหายได้แต่โกรธแต่กลับไม่กล้าพูดอะไร แล้วจึงทำได้เพียงรีบเก็บข้าวของของตนเองเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา เมื่อครู่นี้ทันเห็นว่ามีคนในกลุ่มนั้นสวมเสื้อเกราะและจริงๆ แล้วเป็นทหารองครักษ์
แต่ทว่า…มีเหตุอันใดเกิดขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงดูรีบร้อนเช่นนี้
ขณะนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งแยกตัวออกมาจากกลุ่มนั้น เขากระโดดลงจากหลังมาแล้ววิ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง
“ขอถามหน่อย ใต้เท้าฉู่หนิงอยู่ในนี้หรือไม่”
ซูหุยประจำอยู่ที่ชั้นล่างพอดี เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็รู้ทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน เขาจึงไม่กล้าถ่วงเวลา
“ใต้เท้าฉู่หนิงอยู่ที่นี่จริง”
“ข้าน้อยนามว่าจี้ชิงเฟิง หัวหน้าหน่วยมหาดเล็กที่เจ็ดของราชองครักษ์ ขอพบท่านผู้บัญชาการขอรับ”
ชายคนนั้นอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ใต้เท้าจี้รอสักครู่ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปรายงาน…”
“ใต้เท้าจี้ขึ้นมาได้เลย”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขึ้น
จี้ชิงเฟงเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงก็เห็นแผ่นหลังของคนร่างบางยืนข้างหน้าต่างบนชั้นสอง
เขารีบวิ่งขึ้นไปโดยไม่ทันคิดสิ่งใด
แม้ฉู่หนิงจะไม่เคยพบเห็นคนคนนี้ แต่หลังจากที่เขาได้รับหน้าที่นี้เขาก็พอจะทราบสถานการณ์ในกรมหทารองครักษ์อยู่บ้าง และเขาจึงรู้ว่ามีชื่อนายทหารจี้ชิงเฟิงเป็นธรรมดา
“คารวะผู้บัญชาการ”
จี้ชิงเฟิงมีสีหน้าตึงเครียด ในขณะที่เขากำลังจะโค้งคำนับก็ถูกฉู่หนิงห้ามเอาไว้ก่อน
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น”
ฉู่หนิงขมวดคิ้วถาม
“ผู้บัญชาการ เมื่อเช้านี้องค์หญิงสี่เสด็จไปพื้นที่ล่าสัตว์ เมื่อครู่นี้เพิ่งมีรายงานว่าองค์หญิงสี่ไม่ทันระวังจึงพลาดตกหน้าผาขอรับ!”