“ว่าอย่างไรนะ”
ฉู่หนิงตกใจมาก
“องค์หญิงสี่มีคนติดตามคอยคุ้มครองอยู่ตลอด แล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
จี้ชิงเฟิงส่ายหน้า
“เรื่องนี้ไม่ทราบแน่ชัดนักขอรับ แต่ว่ามีกระแสน้ำเชี่ยวกรากอยู่ด้านล่างหน้าผา ตอนนี้องค์หญิงสี่ตกลงไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่มีผู้ใดตามหาพบเลยขอรับ เมื่อฝ่าบาทได้ยินเรื่องนี้ก็ทรงกริ้วมากและส่งทหารองครักษ์ล่วงหน้าออกไปตามหาร่องรอยขององค์หญิงสี่แล้ว ข้าน้อยจึงรีบมาเชิญท่านให้ไปด้วยกัน…”
ฉู่หนิงรีบพยักหน้าทันที
“ไป!”
เขาคือผู้บัญชาการ เรื่องนี้จำเป็นต้องไปอย่างเด็ดขาด
ในขณะที่เขากำลังจะก้าวขาออกไป เขาก็ฉุกคิดถึงฉู่หลิวเยว่ในทันใด จากนั้นเขาจึงหันไปมองนางด้วยความรู้สึกผิด
“เยว่เอ๋อร์…”
“เรื่ององค์หญิงสี่สำคัญยิ่งกว่า ท่านพ่อรีบไปเถอะเจ้าค่ะ”
“แต่…”
ในใจของฉู่หนิงเกิดความรู้สึกลังเล
“ข้าจะช่วยอยู่ดูแลความเรียบร้อยที่นี่ให้เอง ใต้เท้าฉู่หนิงมิต้องเป็นห่วง เสด็จพ่อทรงรักองค์หญิงสี่มาก ใต้เท้าฉู่หนิงไปทำหน้าที่ให้เต็มที่เถิด”
หรงซิวพูดเพื่อให้ฉู่หนิงวางใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระหม่อมก็ต้องขอรบกวนหลีอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบฉู่หนิงก็ออกไปพร้อมกับจี้ชิงเฟิงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากประตูไปแล้ว เหยียนเก๋อก็ลุกขึ้นพรวดพราดพร้อมกับทำเสียงดังราวกับว่ามีตะปูอยู่บนเก้าอี้
“ทูลหลีอ๋อง คุณหนูหลิวเยว่ องค์หญิงสี่เกิดเรื่องที่สนามล่าสัตว์ของกระหม่อม เกรงว่ากระหม่อมคงต้องขอตัวกลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่พอเข้าใจได้จึงพยักหน้าให้เขา
“เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณชายรองเหยียนรีบไปจัดการเถิด”
ไม่ว่าในกรณีใด หากมีคนที่เกิดเหตุในพื้นที่ล่าสัตว์นั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันไม่มากก็น้อย
เหยียนเก๋อหันไปมองหรงซิวอย่างรวดเร็วก่อนจะประสานมือแล้วกล่าวว่า
“วันนี้คงอยู่ร่วมงานไม่ได้แล้ว คุณหนูหลิวเยว่อภัยให้ด้วย”
“คุณชายรองเหยียนยุ่งอยู่แล้ว วันนี้มาด้วยตนเองได้ หลิวเยว่ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า “ข้าจะไปส่งท่าน…”
“ไม่เป็นไร วันนี้แขกเยอะมาก ใต้เท้าฉู่หนิงก็เพิ่มออกไป ท่านยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ข้าไม่รบกวนท่านแล้วล่ะ ข้าขอตัวก่อน!”
เมื่อกกล่าวจบเหยียนเก๋อก็จากไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลมโดยไม่หันหลังกลับมามอง
เยี่ยนชิงที่ยืนรอตรงประตูทางออกเห็นเงาหลังของเหยียนเก๋อที่มีท่าทางรีบร้อนแวบๆ
เกิดเรื่องกับองค์หญิงสี่แล้วอย่างไร
เกรงว่าคงเป็นเพราะที่นั่งตรงนั้นคงจะร้อนก้นเจ้าเหยียนเก๋อเสียมากกว่ากระมัง…
หากขืนอยู่ต่อไป เกรงว่าเขาอาจจะทนไม่ไหว
เดิมทีในห้องอาหารมีบรรยากาศคึกคัก ในไม่ช้าก็เหลือเพียงแค่หรงซิวและฉู่หลิวเยว่สองคนเท่านั้น
หรงซิวเอามือถูจอกเหล้าของตน สีหน้าแสดงความกังวลออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
“ข้าได้ยินมาว่าพื้นที่ล่าสัตว์ตรงนั้นมีสภาพสูงชัน คราวนี้…องค์หญิงสี่คงได้รับอันตรายจริงๆ แล้วล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเขา
“องค์ชาย มีเรื่องเกิดขึ้นกับองค์หญิงสี่ พระองค์ไม่เสด็จไปดูหน่อยหรือเพคะ”
หรงซิวดื่มเหล้าในจอกอย่างไม่รีบร้อน ค่อยๆ ละเลียดลิ้มรสความหอมของเหล้าชั้นเลิศ
เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เสด็จพ่อได้ส่งทหารองครักษ์ออกไปตามหาแล้ว ข้าไปก็จะไปเกะกะเสียเปล่าๆ มิสู้รอฟังข่าวอยู่ที่นี่จะดีกว่า”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
“อยู่ที่นี่หรือ”
หรงซิวเคาะจอกสุราลงกับโต๊ะเบาๆ แล้วมองหน้าฉู่หลิวเยว่
“ดูเหมือนว่าข้าจะทำสิ่งของตกไว้ที่บ้านของเจ้า รอเรื่องตรงนี้เสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าค่อยหาเวลาไปเอาของอีกครั้ง”
ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“เหตุใดต้องทำให้วุ่นวายด้วยเพคะ ให้หม่อมฉันกลับไปหยิบของที่บ้านมาคืนเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า”
หรงซิวหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วมองนางด้วยแววตาหยอกล้อ
“เจ้าอยากให้ทุกคนรู้หรือว่าเสื้อผ้าของข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้าได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่ “…แต่พระองค์เสด็จไปบ้านหม่อมฉันก็ดูเหมือนจะมิค่อยเหมาะสมเท่าไหร่กระมัง”
หรงซิวหลุบตาเหมือนจะหัวเราะอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นัก
“หากไปตอนกลางค่ำกลางคืนก็จะได้ไม่มีใครเห็น”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ช่างน่าไม่อาย!
…
หลังจากที่ส่งทหารออกไป ฉู่หนิงก็รีบตามไปเหมือนกัน หลายคนสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติและเริ่มส่งคนไปแอบไปสืบถามความเป็นไป
มีคนไม่กี่คนที่รู้เรื่องว่าองค์หญิงสี่พาคนไปยังพื้นที่ล่าสัตว์ในวันนี้ และเรื่องวุ่นวายก็ลุกลามใหญ่โตจนไม่สามารถควบคุมได้
ในไม่ช้าข่าวก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
และทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตกตะลึง
พื้นที่ล่าสัตว์หลายแห่งมีอันตรายมากกว่า แต่องค์หญิงสี่นั้นมีทหารองครักษ์คอยติดตามคุ้มกันข้างกายเสมอ แล้วจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร
ยิ่งไปกว่านั้น หากจำไม่ผิด พื้นที่ล่าสัตว์ที่องค์หญิงสี่เสด็จไปดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ที่เจินเป่าเก๋อเพิ่งจะซื้อต่อจากฉู่หลิวเยว่เมื่อไม่นานมานี้มิใช่หรือ
แต่ถ้าเกิดเรื่องสิ่งใดขึ้นกับองค์หญิงสี่ เกรงว่าคงจะมีคนพลอยโดนหางเลขไม่น้อย
บางคนเริ่มตื่นตัวฉุกคิดขึ้นมาได้ และบางคนถึงกับลุกขึ้นมาเพื่อขอตัวลาก่อนในทันที
ทำไมฉู่หลิวเยว่ถึงจะไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้ แต่พวกเขาก็เป็นได้แค่ไผ่ลู่ลมที่ไหวตัวไปตามสถานการณ์เท่านั้น
นางมิได้ใส่ใจนัก และส่งแขกด้วยความใจกว้าง
ในขณะที่เดินผ่านห้องภัตตาคารที่พวกซือหยางอยู่นั้น นางก็เห็นว่าพวกเขายืนออกันตรงหน้าประตูพอดี
“พวกเจ้าก็จะกลับไปเหมือนกันหรือ” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“ไปไม่ไปอะไรกันเล่า ตอนนี้เจ้ายังมีเวลาคิดถึงเรื่องนี้อีกหรือ”
ซือหยางก้าวมาข้างหน้าด้วยความร้อนใจ
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพื้นที่ล่าสัตว์ที่องค์หญิงสี่ประสบอุบัติเหตุนั้นก็คือ…”
“ข้ารู้น่า”
“รู้แล้วเจ้ายังทำเฉยอีกหรือ เจ้าไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วแล้วหาคนมารับผิดชอบหรือไร”
ไม่เพียงแต่ซือหยางเท่านั้น สีหน้าของคนอื่นๆ ก็ดูกระวนกระวายเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับหลายฝ่าย
“พื้นที่ล่าสัตว์ผืนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับข้าแล้ว อีกอย่างองค์หญิงสี่รั้นที่เข้าไปล่าสัตว์อสูรระดับสูงด้วยพระองค์เอง เรื่องนี้โทษคนอื่นไม่ได้หรอกกระมัง”
ซือหยางและคนอื่นต่างพากันอึ้งกิมกี่
คำพูดนี้ก็ไม่ถือว่าไม่มีสิ่งใดผิด แต่ก็ดูเหมือนว่ามีบางตรงที่ไม่ถูกต้อง…
“แต่นั่นคือองค์หญิงสี่เชียวนะ…”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขำ
หรงจิ้นโดนโกงก็มิเห็นจะสามารถทำอันใดได้ แล้วนับประสาอะไรกับการที่หรงเจินรนหาที่ตายเองเล่า
“องค์หญิงสี่ทรงมีบุญวาสนา ทั้งยังมีฝ่าบาททรงคุ้มครองจะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน พวกเรารอด้วยความใจเย็นดีกว่านะ”
ซือหยางและคนอื่นสบตากันแล้วก็ได้แต่พยักหน้า
…
ช่วงเวลาพลบค่ำ มีข่าวรายงานว่า
องค์หญิงสี่หรงเจินไม่ทันระวังจึงลื่นตกหน้าผาและขาหักทั้งสองข้าง อีกทั้งเพราะก่อนหน้านั้นถูกสัตว์อสูรระดับสูงอันลึกลับทำร้ายและไม่สามารถช่วยรักษาได้ทันท่วงทีจึงทำให้หยวนตันหรือแกร่งพลังปราณแตกละเอียด…กลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต