เล่ม 2 ตอนที่ 94 น้ำท่วมปาก / ตอนที่ 95 เขาทิ้งเจ้าไปแล้ว

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 94 น้ำท่วมปาก

ในคืนนั้น ณ พระราชวังตำหนักเจียวหลัน

ดวงจันทร์สว่างไสวลอยสูงเหนือม่านนภา และแสงจันทร์ในคืนนี้ช่างดูเหน็บหนาวเป็นพิเศษ

บรรยากาศทั้งด้านนอกและด้านในของตำหนักเจียวหลันดูตึงเครียดเคร่งขรึม เหล่านางกำนัลและคนรับใช้ในวังแม้กระทั่งจะหายใจยังต้องระมัดระวัง เพราะเกรงว่าหากไม่ระวังแล้วจะนำเรื่องเดือดร้อนมาใส่หัวตนเองได้

สายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวของพวกเขาลอบมองเข้าไปในตำหนัก

องค์หญิงสี่ได้สติฟื้นขึ้นมาก่อนเวลาหนึ่งก้านธูป ภายในระยะเวลาอันสั้นนางได้สั่งประหารชีวิตคนไปแล้วกว่าห้าคน

หากทำสิ่งใดที่ขัดใจพระองค์ บางทีหายนะนี้อาจจะถึงคราวของตนเองก็เป็นได้!

เพล้ง!

มีเสียงดังบาดแก้วหูลอดออกมาและเห็นได้ชัดว่ามีของบางอย่างแตกหัก

ทุกคนต่างพสกันเงียบกริบ

กลายเป็นคนพิการภายในชั่วข้ามคืน จะมีผู้ใครกันที่รับได้ นับประสาอะไรกับองค์หญิงสี่ที่ได้รับความโปรดปรานและเป็นที่ภาคภูมิใจมาโดยตลอดกันเล่า

“ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ!”

หรงเจินตะโกนโวยวายอยู่นานจนคอแหบหมดแล้ว แต่น้ำเสียงของนางกลับยิ่งเกรี้ยวกราดดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเจ้าต้องโกหกข้าแน่นอน ข้าเป็นองค์หญิงที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ข้าจะกลายมาเป็นคนพิการได้อย่างไรฮะ!”

หรงเจินเอนกายนอนบนเตียงภายในตำหนักโดยมีสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าโมโหร้ายและมีอาการสติคลุ้มคลั่งราวกับคนบ้า

ข้ารับใช้หลายคนกำลังนั่งคุกเข่าข้างเตียงของนาง

คนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าถูกของบางอย่างปาใส่ศีรษะจนมีเลือดไหลลงมาเป็นทาง ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก

แม้ว่าในใจเขาจะกลัว แต่เขาทำได้เพียงอดทนและพยายามเกลี้ยกล่อมนางต่อไป

“องค์หญิงสี่พ่ะย่ะค่ะ หยวนตันของพระองค์แตกสลายหมดแล้ว แม้กระทั่งชีพจรเดิมก็ถูกทำลายไปด้วย เป็นการยากหากว่าพระองค์…ทรงอยากฝึกพลังยุทธ์อีกครั้งในอนาคต…”

“พวกเจ้ามันไร้ประโยชน์ หยวนตันแตกสลายแล้วอย่างไร ข้าหลอมรวมมันขึ้นมาใหม่ก็ได้แล้วมิใช่หรือ!”

หรงเจินเอ่ยขัดคำพูดเขาด้วยน้ำเสียงแหลมบาดหู

ทุกคนจึงก้มหน้าและเงียบปาก

หยวนตันถูกทำลายลงไปแล้ว ร่างกายของนางจึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นจึงมิสามารถหลอมรวมหยวนตันออกมาได้อีกแล้ว

“หมอเทวดา! ไปตามหมอเทวดามา! พวกเจ้าไร้น้ำยา แต่หมอเทวดาต้องรักษาได้แน่นอน!”

หริงเจินไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางรับผลกรรมนี้ได้

เมื่อเห็นว่าคนพวกนี้ต่างพากันเงียบ หรงเจินก็ค่อยๆ รู้สึกถึงความสิ้นหวัง

ตามจริงแล้วทำไมนางจะไม่รู้ว่าสิ่งที่รอคอยตนเองอยู่นั้นคืออะไร

แต่ว่า…นางจะทำใจรับมันได้เยี่ยงไร!

“เจินเจิน ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรง ทำไมถึงไม่รักษาให้ดีๆ”

คนผู้หนึ่งเข้ามาข้างในด้วยความรีบร้อน ซึ่งคนผู้นั้นก็คือฮองเฮา

เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาเป็นใคร น้ำตาของหรงเจินจึงร่วงหล่นลงมาทันที

“เสด็จแม่! เสด็จแม่ต้องช่วยลูกนะเพคะ!”

ฮองเฮารีบเข้ามา เมื่อเห็นพระธิดาสุดที่รักของตนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ นางก็รู้สึกสงสารจับใจแล้วค่อยๆ ประคองร่างของผู้เป็นบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอด

“เจินเจินวางใจ แม่ไปตามหมอเทวดามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร แม่จะต้องหาทางช่วยลูกให้ได้! แต่ว่า…ครั้งนี้ลูกประมาทเกินไปแล้ว…”

หรงเจินอยากจะยันกายลุกขึ้นแต่กลับรู้สึกเจ็บปวดที่ขาอย่างแรง คราวนี้นางจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองขาหักแล้ว นางจึงอดโมโหขึ้นมาไม่ได้

นางตวาดด้วยความเกรี้ยวกราด

“เสด็จแม่! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความผิดของสัตว์อสูรตัวนั้น หากไม่ใช่เพราะมัน…ลูกก็คงไม่กลายมาเป็นเช่นนี้! ไหนจะพื้นที่ล่าสัตว์นั่นอีก…เสด็จแม่ เมื่อครู่นี้พระองค์เพิ่งจะไปหาเสด็จพ่อมามิใช่หรือ เสด็จพ่อทรงรับปากว่าจะรีบไปตรวจสอบพื้นที่ล่าสัตว์นั่นหรือไม่! ฉู่หลิวเยว่ได้ขายต่อพื้นที่ล่าสัตว์นั่นให้เจินเป่าเก๋อ พวกมันต้องหนีไม่พ้นความรับผิดชอบเรื่องนี้แน่ คราวนี้ต้องเอาชีวิตของพวกมันมาชดใช้ให้ได้นะเพคะ!”

สีหน้าของฮองเฮากลับนิ่งค้าง

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมาด้วยความลำบากใจ

“เจินเจิน เรื่องนี้…ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะลูกดื้นรั้นที่จะเข้าไปเองถึงได้เกิดเรื่องขึ้น เกรงว่า…จะหาคนรับผิดชอบได้ยาก…”

“เพราะเหตุใด!”

หรงเจินผลักผู้เป็นพระมารดาออก จากนั้นจึงมองหน้าฮองเฮาที่กำลังเหมือนน้ำท่วมปาก ทันใดนั้นนางจึงเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“นี่คือ…พระประสงค์ของเสด็จพ่อหรือเพคะ”

“พวกเจ้าออกไปก่อน”

ฮองเฮาไล่คนในตำหนักออกไปจนหมด จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา นางส่ายหน้าแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้

“นิสัยของเสด็จพ่อเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ดี…”

“เสด็จแม่!”

หรงเจินมองมารดาอย่างไม่อยากเชื่อ

“เสด็จพ่อทรงโปรดลูกที่สุด ตอนนี้ทุกอย่างของลูกถูกพังไปหมดแล้ว เสด็จพ่อไม่คิดที่จะสืบเรื่องนี้ต่อหรือเพคะ!”

แล้วความแค้นของนางเล่า จะล้างแค้นได้อย่างไร!

ฮองเฮาปิดเปลือกตา

“ใครใช้ให้เจ้าไปเองล่ะ…แล้วยังเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของเจินเป่าเก๋ออีก เรื่องนี้…เจ้าทำได้เพียงต้องรับผิดเองแล้วล่ะ!”

ตอนที่ 95 เขาทิ้งเจ้าไปแล้ว

เป็นเวลาอยู่นานกว่าหรงเจินจะได้สติกลับมา

แค่เจินเป่าเก๋อเล็กๆ ถึงกับแตะต้องไม่ได้เชียวหรือ

นางมีสถานะสูงส่งเป็นถึงองค์หญิงสี่แห่งแคว้นเย่าเฉิน ตอนนี้กลับต้องมากลายเป็นเช่นนี้ นางไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งหาคนมารับผิดชอบเชียวหรือ

“เสด็จแม่ เจินเป่าเก๋อ…มีเบื้องหลังอย่างไรกันแน่ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้ปกป้องพวกเขาขนาดนี้ จนถึงขั้นไม่สนใจแม้กระทั่งความเป็นความตายของลูกเลยหรือเพคะ!”

หรงเจินไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“เรื่องของเสด็จพี่ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน เจินเป่าเก๋อแย่งพื้นที่ล่าสัตว์ที่เสด็จพี่อุตส่าห์ทะนุถนอมไป แต่สุดท้ายกลับทำสิ่งใดไม่ได้เลย!”

“เจ้าก็รู้ว่าแม้กระทั่งรัชทายาทก็มิสามารถแตะต้องเจินเป่าเก๋อได้ง่ายๆ!”

ฮองเฮาตัดบทของนาง

คนหนึ่งคือพระโอรสของนาง อีกคนหนึ่งก็คือพระธิดาของนาง เหตุใดนางถึงจะไม่โกรธแค้นเล่า

เพราะฉะนั้นหากรู้ตั้งแต่ทีแรกว่าฝ่าบาทมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเจินเป่าเก๋อ เมื่อครู่นี้นางก็คงขอร้องไปแล้ว

แต่ผลที่ออกมาก็เป็นไปตามคาด

ฝ่าบาทไม่ได้ตั้งใจจะลงเจินเป่าเก๋อตั้งแต่แรก!

“แต่ถึงอย่างไร ก่อนหน้านี่เจ้าอยากไปพื้นที่ล่าสัตว์นั่นตั้งหลายครั้ง เจินเป่าเก๋อก็ปฏิเสธกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเจ้าก็รั้นจะไปจนได้ พวกเขาถึงได้จนใจยอมตกลงให้ เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็ทราบดี! ตอนนี้เจ้าเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บแล้วจะโทษใครได้อีก คนมากมายในพื้นที่ล่าสัตว์ต่างเห็นชัดเจนว่าเจ้าดึงดันที่จะตามล่าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเอง จนสุดท้ายต้องตกหน้าผาลงไป ต่อให้หาคนมารับผิดชอบ แล้วต้องให้มารับผิดชอบด้วยเหตุผลอะไร”

ฮองเฮาเองก็เสียใจที่มิสามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้[1]

เรื่องนี้หรงเจินช่างเอาแต่ใจไร้เหตุผล เรื่องมันถึงได้กลายมาเป็นเยี่ยงนี้ ฉะนั้นนางก็ทำได้เพียงยอมรับมันเท่านั้น!

หรงเจินถูกต่อว่าจนพูดไม่ออก

แต่นางเป็นคนหยิ่งทระนงมาตลอด นางจะยอมรับความเสียใจนี้ได้อย่างไร

นางจะต้องกลายเป็นคนพิการอย่างนี้ตลอดไปเลยหรือ

นางจะทำใจได้อย่างไร!

ฮองเฮาพยายามข่มอารมณ์ที่กำลังเดือดพลุ่งพล่านแล้วเอ่ยว่า

“เจินเจินวางใจ แม่จะไม่ทอดทิ้งเจ้า หากคนพวกนี้ไร้หนทางรักษา เราค่อยหาวิธีกันใหม่ อีกไม่นานราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่งก็จะมาแล้ว ไม่แน่พวกเขาอาจจะมีวิธี…”

ดวงตาของหรงเจินเป็นประกาย

“จริงหรือเพคะ”

ฮองเฮาฝืนยิ้ม

“ราชวงศ์เทียนลิ่งยิ่งใหญ่เพียงใดเจ้าก็รู้ดี ไม่แน่…พวกเขาอาจหาทางรักษาให้เจ้าได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง แม่จะต้องช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”

ตกดึก

ฉู่หลิวเยว่กลับถึงบ้านแล้ว นางรออยู่นานกว่าฉู่หนิงจะกลับมา

ฉู่หนิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฉู่หลิวเยว่ฟังพอสังเขปแล้วถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า

“น่าเสียดาย เมื่อก่อนองค์หญิงสี่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่เลว มิฉะนั้นฝ่าบาทก็คงไม่ภูมิใจขนาดนี้หรอก แต่จากนี้ไปก็คง…”

คิดถึงครั้งเมื่องานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชายรัชทายาท หรงเจินบีบให้ฉู่หลิวเยว่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และหัวเราะเยาะเยว่เอ๋อร์ที่เป็นคนพิกลพิการ

ใครจะไปรู้ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เยว่เอ๋อร์กลับกลายเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่น ส่วนนางกลับกลายเป็นคนพิการแทนเสียเอง

พวกเขาสองพ่อลูกถูกรังแกเหยียดหยามมานักต่อนัก ตอนนั้นใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะมีวันนี้ได้

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ

“ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงธรรม ความแค้นครั้งนี้ต้องเอาคืนแน่นอน”

ไม่ว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไรก็ล้วนเป็นเพราะหรงเจินก่อกรรมเองจะโทษผู้อื่นมิได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง

แต่ทว่า นางกลับรู้สึกประหลาดใจ เพราะเรื่องนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ

ดูเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นควบคุมทุกสิ่งภายในความมืด

แต่นางก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่

“จริงสิ ท่านพ่อหาสัตว์อสูรตัวที่ทำร้ายองค์หญิงสี่เจอหรือยังเจ้าคะ”

“ไม่เจอ สัตว์อสูรระดับสูงตัวนั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก แม้กระทั่งองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงสี่ยังสู้มันไม่ไหว พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคือตัวอะไร แม้ฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้สืบค้นจนถึงที่สุด แต่ก็เป็นไปได้ยากมาก ช่วงนี้พ่ออาจจะยุ่งหน่อย ลูกก็ต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน”

ฉู่หนิงพูดด้วยความลังเล

“สองสามวันนี้คลื่นลมไม่สงบ คนพวกนั้นคงไม่มาทำอะไร แต่รอผ่านช่วงนี้ไปได้ พ่ออาจจะ…ส่งคนมาแอบคุ้มครองเจ้าลับๆ”

แน่นอนว่าคนพวกนั้นหมายถึงคนของตระกูลฉู่และองค์ชายรัชทายาท

เขาไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะยอมหยุดเพียงเท่านี้!

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจนตาเป็นสระอิ

“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง รองานเลี้ยงสองวันนี้จบลง สำนักก็เปิดเรียนพอดี ตอนนี้ท่านพ่อเพิ่งรับตำแหน่งก็ต้องรีบไปจัดการเรื่องนี้แล้วก็จะต้องยุ่งมากแน่นอน ดังนั้น ลูกคิดว่าช่วงนี้คงจะพักอยู่ในสำนักไปก่อน ท่านพ่อว่าดีไหมเจ้าคะ”

ฉู่หนิงโล่งใจ

เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเชียว

อยู่ในสำนักเทียนลู่ถ้าเทียบกับข้างนอกนั้นปลอดภัยกว่าเยอะ

“ลูกตัดสินใจเองก็ดี พ่อเห็นด้วยหมดนั่นแหละ”

“เจ้าจะพักในสำนักเทียนลู่หรือ”

ฉู่หลิวเยว่เพิ่งจะกลับเข้าห้องของตนเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นอันแสนคุ้นเคย

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นหรงซิวจริงดั่งคาด

สายตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องมองมาที่นางอย่างอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่าง

ฉู่หลิวเยว่ไม่แปลกใจกับการมาของเขาเลยสักนิด เพราะเขาผู้นี้มักซ่อนตัวได้อย่างลึกล้ำ นางไม่มีทางห้ามเขาได้หรอก

แต่ในเมื่อเขาต้องการจะมา นางเป็นฝ่ายไปเองก็ได้

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า จากนั้นจึงหยิบเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ของเขาออกจากตู้แล้วยื่นให้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“เพราะฉะนั้นต่อไปพระองค์ก็ไม่ต้องเสด็จมาแล้ว นอนรักษเนื้อรักษาตัวในตำหนักตัวเองจะดีกว่านะเพคะ”

หรงซิวมองเสื้อคลุมตัวใหญ่ปราดหนึ่งก่อนจะรับมันมาแล้วยกยิ้มกรุ้มกริ่ม

“คิดไม่ถึงว่าเยว่เอ๋อร์จะเป็นห่วงเป็นใยข้าขนาดนี้”

ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ตอนนี้พระองค์ทำให้รัชทายาทต้องขุ่นเคืองพระทัย เกรงว่าต่อไปคงจะลำบากแล้วล่ะ”

เห็นได้ชัดว่ารัชทายาทเห็นเขาเหมือนเข็มตำตา คืนนั้นที่งานเลี้ยงวันเกิดรัชทายาทนางก็พอจะมองออก

เวลานี้เขายังยืนอยู่ฝ่ายนางอีก รัชทายาทจะต้องโกรธมากแน่นอน

เมื่อหรงซิวได้ยินดังนั้น ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวลงมาเข้าใกล้นาง

ระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนแทบจะแลกลมหายใจกนอยู่แล้ว

ฉู่หลิวเยว่กำลังจะถอยหลังไป แต่กลับเห็นตัวเองตัวเล็กๆ สะท้อนอยู่ในแววตาทั้งคู่ของเขา สายตาของเขาช่างลึกล้ำราวกับมีกระแสใต้น้ำ

น้ำเสียงแหบพร่าของเขาราวกับสายลมที่พัดผ่านสายพิณ

“ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณที่เขาทิ้งเจ้าไปเลย”

[1] สำนวนจีน หมายถึง อบรมสั่งสอนบุตรหลานไม่ได้ดั่งใจหวัง