ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของฉู่หลิวเยว่ ในงานเลี้ยงวันเกิดองค์ชายรัชทายาทคืนนั้น เขาตั้งใจจริงๆ ด้วย
แต่…เพราะเหตุใดกันล่ะ
“องค์ชาย พระองค์…”
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะถามให้แน่ใจ ทว่าหรงซิวกลับลุกขึ้นยืนหลังตรงเสียก่อน
“วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่อยู่รบกวนแล้วล่ะ”
เขาสยายเสื้อคลุมผืนใหญ่ปกคลุมร่างกายเอาวแล้วหมุนตัวออกไป
เงาดำของร่างสูงหายตัวไปอย่างรวดเร็วในคืนที่มืดมิด
ฉู่หลิวเยว่มองทิศทางที่เขาหายตัวไปเป็นเวลาอยู่นาน จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วก็กำมือจิกนิ้ว
เมื่อครู่นี้…หรงซิวอยู่ใกล้ขนาดนั้น จู่ๆ หัวใจของนางเต้นโครมครามขึ้นมาทันที
หากกล่าวกันตามเหตุผล นางไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้ามา ‘รุกล้ำ’ พื้นที่ส่วนตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้เด็ดขาด แต่ดูเหมือนว่านางเองก็ไม่ได้รังเกียจ…การที่ต้องใกล้ชิดกับหรงซิว
เหมือนลึกๆ ในใจของนางจะเชื่อใจหรงซิวว่าหรงซิวไม่มีทางทำร้ายนาง
แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาความเชื่อใจที่อธิบายไม่ได้นี้มาจากไหน
นางเคยผ่านกรถูกทรยศหักหลังในอดีตชาติ นางคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางไว้ใจให้ใครเข้ามาใกล้ชิดได้อีก
กระนั้นไม่ว่าจะเป็นฉู่หนิงหรือหรงซิว ดูเหมือนพวกเขาจะทำให้นางค่อยๆ ทลายกำแพงในใจ
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้สักที ดังนั้นนางจึงยอมแพ้ไปก่อน
นางทำกิจวัตรประจำวันดั่งเช่นเคยโดยการนั่งขัดสมาธิบนเตียงเพื่อฝึกบำเพ็ญและดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน
หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นางก็เอนกายลงเพื่อนอนหลับพักผ่อน
…
งานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงยังคงดำเนินไปอีกสองวัน แค่หรงซิวก็ไม่ได้ไปอีก
ทั้งนี้จึงทำให้ใครหลายคนต้องผิดหวัง เพราะเดิมทีพวกเขากะจะมาใช้โอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์กับหลีอ๋อง
ทว่าเขามีสถานะสูงส่ง สละเวลามาได้วันหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว หลังจากนั้นสองวันจะไม่มาก็เป็นเรื่องปกติ
หลายคนอยากมาถามข่าวคราวจากฉู่หลิวเยว่สักหน่อย แต่ก็ถูกนางพูดตัดบทไปสองสามประโยค
ดังนั้นทุกคนจึงได้แค่คาดเดาว่าบางทีฉู่หนิงและหลีอ๋องอาจมีการไปมาหาสู่กันบ้าง หากรายละเอียดเจาะลึกลงไปนั้น ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็คงไม่ได้ความอะไรกลับมา
อีกอย่างบทสนทนาระหว่างฉู่หลิวเยว่กับหลีอ๋องก็ไม่ได้ดูสนิทสนมกันมากมาย
จุดนี้ก็สามารถเดาได้ว่าคนระดับหลีอ๋องกับฉู่หลิวเยว่นั้นมีสิ่งใดให้ต้องสนทนาพาทีกัน
แม้ตอนนี้นางจะสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้และเป็นอัจฉริยะทั้งด้านปรมาจารย์และผู้ฝึกยุทธ์ แต่หากไม่มีตระกูลขุนนางใหญ่หนุนหลัง ดังนั้นระหว่างนางกับหลีอ๋องจึงมีช่องว่างขนาดใหญ่กั้นกลางอยู่เช่นกัน
ทว่าฉู่หนิงเพิ่งจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์ สามารถทำให้ฝ่าบาททรงไว้เนื้อเชื่อใจได้ เช่นนั้นก็จะได้เปรียบกว่าในเรื่องสานสัมพันธ์
แต่ช่วงนี้ฉู่หนิงกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องขององค์หญิงสี่ ไม่โผล่หน้ามาที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเลยสักวัน ดังนั้นจึงทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกเสียดาย
ด้วยหลายเรื่องที่ซ้อนทับกันจนสับสนวุ่นวาย ทุกคนจึงให้ความสนใจกับฉู่หลิวเยว่น้อยลงตามไปด้วย
ยังดีที่สองวันนี้เหยียนเก๋อยังคงมาอยู่ตลอด แล้วช่วยแบ่งเบาฉู่หลิวเยว่ไปไม่น้อย
สิ่งนี้เองที่ระงับจิตใจที่ไม่สงบของบางคนได้บ้าง
ไม่ว่าอย่างไร ฉู่หลิวเยว่ยังมีเจินเป่าเก๋อคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังก็ไม่มีใครสามารถมาหาเรื่องได้ง่ายๆ
…
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ต้องกลับไปเรียนที่สำนักเทียนลู่แล้ว
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉู่หลิวเยว่เข้าเรียนอย่างเป็นทางการ
เมื่อฉู่หลิวเยว่ลงจากรถม้า ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อย
เดิมทีตรงหน้าประตูใหญ่มีเสียงพูดคุยกันดังจอแจ ทว่าตอนนี้กลับเงียบลงไปทันที
สายตาหลายคู่ต่างมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
“เสี่ยวหลิวเยว่ เจ้ามาสักที!”
คนผู้หนึ่งวิ่งมาทางฉู่หลิวเยว่ด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเสียงโหวกเหวกที่ฟังดูตื่นเต้น
ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือไป๋เชิน
“อาจารย์ไป๋เชิน”
ฉู่หลิวเยว่ทำความเคารพ
ไป๋เชินมองนางด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ข้ารอเจ้ามาสักพักหนึ่งแล้ว เหตุใดเจ้าเพิ่งมา”
“ศิษย์จะเข้าพักในสำนักก็เลยมีของมากมายที่ต้องเก็บ ดังนั้นจึงมาสายเจ้าค่ะ” ฉู่หลิวเยว่อธิบาย
ไป๋เชินหัวเราะแหะๆ
“ข้าจัดเตรียมที่พักให้เจ้าเอาไว้แล้ว ตามข้ามา!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้เขา
“เช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์ไป๋เชินแล้วเจ้าค่ะ”
“รบกวนอันใดกัน! ยามนี้เจ้ากลายเป็นคนดังของสำนักไปแล้ว มีหลายคนต้องการแย่งโอกาสนี้กันทั้งนั้น! แต่พวกเขาแย่งข้าไม่ทันหรอกนะ แหะๆ!”
ทุกคนได้ประจักษ์ความสามารถของฉู่หลิวเยว่กับตาตัวเองแล้ว หลังจากที่นางเลือกเรียนสาขาวิชาปรมาจารย์ ทว่ากลับยังไม่ได้เลือกว่าจะติดตามอาจารย์ท่านใด
อาจารย์ทุกท่านในฝั่งปรมาจารย์ต่างตื่นเต้นกันเป็นอย่างยิ่ง มีใครไม่อยากได้ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งเช่นนี้บ้างเล่า จริงไหม
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉู่หลิวเยว่เข้าร่ำเรียนในสำนัก ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไม่ควรพลาดอย่างแน่นอน
แม้ว่าไป๋เชินจะไม่ได้หวังสิ่งใดมาก กระนั้นนางก็ชื่นชอบฉู่หลิวเยว่จากใจจริง ดังนั้นเขาจึงเต็มใจมาต้อนรับด้วยตนเอง
“ของบนรถม้านี่เป็นของเจ้าหมดเลยใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ เป็นของใช้ในชีวิตประจำวันทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าไปตามคนมาช่วยเจ้าขนของก่อน…”
ไป๋เชินยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ทันใดนั้นก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขัดด้วยความประชดประชัน
“รถม้าเก่าบุโรทั่งมาจากที่ใดกันหนอ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาจอดหน้าประตูสำนัก”
น้ำเสียงนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเล็กน้อยก็พบหน้าคุ้นๆ ของคนผู้หนึ่ง
ลู่เฟยเยี่ยน
นางยืนอยู่ห่างๆ ทำท่าปิดจมูกและมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเหยียดหยาม เก็บซ่อนความร้ายกาจของตัวเองไม่มิดเลยสักนิด
“รถม้าคันนี้คงทำมาจากไม้คุณภาพต่ำกระมัง ถึงได้มีกลิ่นเชื้อรา
นางกวาดสายตามองฉู่หลิวเยว่อย่างเยาะเย้ยและจงใจพูดเสียงดังให้คนแถวนั้นได้ยิน
“พวกเจ้าดูสิขนม้าตัวนั้นก็ลายพร้อย มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ม้าชั้นดี แต่สตรีตระกูลสูงศักดิ์จะนั่งรถม้าพรรค์นี้ได้เยี่ยงไร”
มีหญิงสาวอีกหลายคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังของนาง
“เยี่ยนเอ๋อร์ ตอนนี้นางไม่ได้เป็นสตรีตระกูลสูงศักดิ์อีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่ามิอาจเทียบกับพวกเราได้หรอก”
“ก็จริง เป็นอัจฉริยะแล้วอย่างไร แต่ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ช่างน่าขันจริงๆ”
ไป๋เชินมีสีหน้าเคร่งขรึม ในขณะที่กำลังจะจัดการ กลับถูกฉู่หลิวเยว่ห้ามเอาไว้ก่อน
“อาจารย์ไป๋เชิน ข้ารู้ดีว่าไม่สามารถนำรถม้าเข้าไปในสำนักได้ แต่ข้าขนของมาเยอะมาก ไม่รู้ว่าท่านพอจะเรียกคนมาช่วยขนได้หรือไม่”
ไป๋เชินนิ่งค้าง
“แน่นอนว่าได้!”
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่พรรพวกของลู่เฟยเยี่ยนแล้วยิ้มน้อยๆ
“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเจ้าช่วยก็แล้วกัน”