เล่ม 2 ตอนที่ 97 กล่องไม้เหมยเขียว

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

รอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของลู่เฟยเยี่ยนชะงักค้าง

“เจ้าอยู่ในฐานะอะไรถึงกล้ามาสั่งให้ข้าทำนู่นทำนี่ให้ฮะ!”

อย่าว่าแต่ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ออกจากตระกูลฉู่นางก็ไม่มีสิทธิ์ หรือต่อให้ตอนนี้นางยังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ นางก็ไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน

“ลู่เฟยเยี่ยน ที่นี่คือสถานศึกษาไม่ใช่บ้านตระกูลลู่! เจ้ามาทำเป็นคุณหนูใหญ่อวดเบ่งอะไรแถวนี้!”

ไป๋เชินเห็นเรื่องแบบนี้มานักต่อนัก เขาจึงไม่แปลกใจสักนิด ดังนั้นเขาจึงเอ็ดตะโรใส่ลู่เฟยเยี่ยน

“หากเจ้าอยากอวดเบ่งก็กลับไปเบ่งที่ตระกูลลู่!”

เมื่อลู่เฟยเยี่ยนถูกตำหนิ นางถึงได้เก็บอารมณ์

ถ้าจะให้นางไปเป็นขี้ข้าฉู่หลิวเยว่นั่นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

“อาจารย์ไป๋เชิน แต่ฉู่หลิวเยว่เพิ่งจะเข้าเรียนวันแรก แม้นางจะอยู่รุ่นเดียวกับพวกเรา แต่คงไม่ถึงกับต้องให้พวกเราทำเรื่องแบบนี้หรอกกระมังเจ้าคะ”

ไป๋เชินยิ้มเย็นชา

“แม้นางจะมาวันแรก แต่ไม่รู้ว่าพรสวรรค์และความสามารถของนางแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าตั้งเท่าไหร่! ในสำนักเทียนลู่ถือเอาพลังความสามารถเป็นที่เคารพนับถือ! ถึงกระนั้นก็แค่ให้พวกเจ้าช่วยขนของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พวกเจ้าดื้อรั้นขนาดนี้หรือเพราะพวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำของอาจารย์แล้วหรือ”

พรรคพวกของลู่เฟยเยี่ยนไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงไป๋เชิน เมื่อเห็นว่าหนี่ไม่พ้น จึงทำได้เพียงเดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนัก

ลู่เฟยเยี่ยนชำเลืองมองรถม้า

ก็แค่คนไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่งจะมีของดีๆ ใช้

นางยังกลัวว่าของพวกนั้นจะทำให้มือนางสกปรกด้วยซ้ำ!

ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปแล้วหยิบกล่องไม้สีดำออกมา

กลิ่นหอมอ่อนๆ ค่อยๆ ฟุ้งกระจายออกมาตามเช่นกัน

ไป๋เชินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกว่ากลิ่นหอมได้เติมเต็มฟื้นฟูอวัยวะภายในในทันที ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

ดวงตาของเขาเป็นประกาย

“นี่คือไม้เหมยเขียวหรือ!”

“อาจารย์ไป๋เชินมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก”

เมื่อได้ยินคำว่า “ไม้เหมยเขียว” ลู่เฟยเยี่ยนก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น

อันที่จริงตอนที่ฉู่หลิวเยว่หยิบกล่องไม้ออกมาเมื่อครู่นี้ นางก็ได้กลิ่นหอมราวกับดอกเหมยฟุ้งกระจายออกมา นางเดาว่าอาจจะเป็นไม้เหมยเขียว กระนั้นนางก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่

เนื่องจากของสิ่งนี้มีราคาแพงมาก มันเติบโตในที่สภาพอากาศเย็นจัดเท่านั้น สามปีถึงจะยาวแค่หนึ่งนิ้ว ต้องบ่มเพาะนานนับร้อยปีถึงจะมีดอกเหมยสีเขียวบานสะพรั่ง

คนธรรมดาอาจไม่เคยเห็นมันสักครั้งในชีวิต นับประสากับการได้ครอบครองเป็นเจ้าของ

“เยี่ยนเอ๋อร์ ดูเหมือนกำไลข้อมือของเจ้าก็ทำมาจากไม้เหมยเขียวแกะสลักใช่ไหม”

หญิงสาวที่อยู่ข้างกันนั้นแอบกระซิบถามอย่างอดไม่ได้

สีหน้าของลู่เฟยเยี่ยนบูดบึ้ง

ตอนนั้นท่านแม่ของนางตั้งใจซื้อกำไลข้อมือไม้เหมยเขี้ยวเพื่อมอบให้เป็นรางวัลที่นางสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้

นางชอบมันมากก็เลยมักจะสวมข้อมือเป็นประจำ ดังนั้นสหายใกล้ชิดของนางจึงรู้ดี

ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีคนอิจฉานางที่ได้สวมกำลังนี้ตั้งกี่คน

ยามนี้ฉู่หลิวเยว่กลับหยิบกล่องไม้เหมยเขียวแกะสลักออกมาอย่างนั้นหรือ

วัสดุเรียบง่ายเพียงอย่างเดียวแต่ดีกว่ากำไลข้อมือนี่ของนางมากมายกี่เท่า

“กล่องไม้ของนางคงราคาแพงมากล่ะสิท่า”

หญิงสาวอีกคนหนึ่งพึมพำ

“พวกเจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใดเล่า ไม้เหมยเขียวมีทั้งดีและไม่ดี อย่าเห็นว่าเป็นเพราะกล่องไม้นี่มีขนาดใหญ่ ไม่แน่มันอาจจะทำมาจากเศษไม้เหลือๆ ราคาถูกก็เป็นได้!”

ลู่เฟยเยี่ยนพูดด้วยความหงุดหงิด

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว

“ที่แท้คุณหนูใหญ่ลู่ก็เคยเห็นไม้เหมยเขียว เช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้วล่ะ ท่านถือของชิ้นนี้ไปดีกว่า”

ลู่เฟยเยี่ยนตกตะลึง จากนั้นก็รู้สึกหนักที่มือ เพราะฉู่หลิวเยว่เอากล่องไม้มาวางบนมือของนางเสียแล้ว

เมื่อมือละเอียดอ่อนได้สัมผัสก็รู้สึกเนื้อสัมผัสที่แผ่วเบา กลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งเข้มข้นกว่าเดิมมาก

นางจึงก้มหน้ามองอย่างอดไม่ได้ แล้วนางก็เห็นว่าเป็นกล่องไม้เหมยเขียวแกะสลักลวดลายประณีตที่เบาราวกับมีชีวิต

นางหัวเราะ “อุ๊บ” และไม่สามารถปกปิดสายตาดูถูกได้เลยสักนิด

“เกิดมาจนก็คงไม่เคยเห็นอะไรเลยล่ะสิท่า เพราะไม้เหมยเขียวนี่โตช้าแล้วอยู่ในพื้นที่ที่มีหิมะน้ำแข็งตลอดทั้งปี ดังนั้นพื้นผิวของมันจึงเย็นและหนักซึ่งมีผลทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิ แต่เมื่อพื้นผิวถูกทำลาย ทั้งยังแกะสลักแบบชุ่ยๆ อีกก็ยิ่งทำให้คุณค่าของมันหายไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็กลายเป็นแค่เศษไม้ราคาถูก ไม้เหมยเขียวชิ้นนี้ของเจ้าโดนลดค่าไปหมดแล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่ที่โดนนางต่อว่ากลับไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านเลยสักกระผีกแต่กลับหัวเราะขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ใครๆ ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าตระกูลลู่ร่ำรวย คุณหนูใหญ่ลู่ก็นับว่ากว้างขวางไม่น้อย กล่องไม้เหมยเขียวนี่แกะสลักชุ่ยๆ และเสียหายง่ายก็จริง ถ้าหากเอาไม้เหมยเขียวมาคั้นน้ำแล้วแช่ไว้หนึ่งเดือนก็จะไม่มีปัญหาเช่นนั้นแล้ว”

ลู่เฟยเยี่ยนติดอ่างขึ้นมาทันที

“ว่า..ว่าไงนะ! แช่…น้ำ…เหมยเขียว…หรือ!”

ต้นเหมยเขียวว่าหายากแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงดอกเหมยเขียวที่บานสะพรั่ง

แม้กระทั่งนางก็ยังไม่เคยเห็น!

“หากคุณหนูลู่ไม่เชื่อก็มองดอกเหมยนั่นให้ชัดๆ สิ เพราะเกสรตัวผู้สีเขียวนั่นเกิดจากใช้น้ำเหมยเขียว”

ลู่เฟยเยียนรีบก้มหน้ามองก็เห็นว่าภายในกลีบดอกเหมยนั้นถูกย้อมด้วยสีเขียวอ่อนๆ

ทั้งกลิ่นหอมตรงจุดนั้นยังเด่นชัดเป็นพิเศษอีกด้วย!

ลู่เฟยเยี่ยนตกใจเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ของสิ่งนี้…ของสิ่งนี้ช่างล้ำค่ามากจริงๆ!

กล่องไม้เหมยเขียวที่ดูเรียบง่ายกล่องนี้ กลับมีค่านับล้านตำลึง แล้วถ้าหากยิ่งเพิ่มการย้อมด้วยน้ำเหมยเขียวเข้าไปอีกล่ะก็…

“เจ้า…นี่เจ้า…”

แม้นางจะรู้สึกตกตะลึง แต่กลับไม่ยอมแพ้โดยเด็ดขาด และจึงทำได้เพียงฝืนปากแข็งต่อไป

“ข้าว่าเจ้าทะนุถนอมของชิ้นนี้ เกรงว่าคงจะเป็นทั้งชีวิตและครอบครัวของเจ้าแล้วกระมัง! ขนาดเข้ามาเรียนในสำนักยังพกติดตัวมาด้วย…”

“ข้าใช้มันเป็นกล่องเก็บใบชา แน่นอนว่าต้องนำมาด้วย” ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอ่อน

ลู่เฟยเยี่ยนสะอึก จากนั้นก็เยาะเย้ยอย่างเย็นชา

“ชารึ เจ้ามีชาดีอะไร”

เกรงว่าฉู่หลิวเยว่คงไม่มีชาชั้นดีอะไรที่มาคู่ควรแก่การเก็บในกล่องไม้เหมยเขียวนี้ได้หรอก!

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ

“ข้าไม่มีชาดีอะไรจริงๆ นั่นแหละ ก็แค่เอาไว้เก็บชาดอกไม้ที่ข้าเอาไว้แช่เท้ายามว่างเท่านั้นเอง”

ฉู่เฟยเยียนอึ้งไปชั่วขณะ นานกว่านางจะได้สติกลับคืนมา และสีหน้าก็ซีดเซียวจนแทบไม่มีสีสันใดๆ!

นี่ฉู่หลิวเยว่ใช้นางถือของที่เอาไว้แช่เท้าจริงๆ หรือ!