บทที่ 35

ห้องครัวประจำคฤหาสน์ลอมบาร์เดียส่งเสียงดังโหวกเหวกตั้งแต่ยามรุ่งสาง

เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ครอบครัวสายตรงจะมาร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน

แม้แต่ท่านพ่อที่งานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจ วันนี้ยังต้องอยู่บ้าน ไม่ออกไปทำงานเพราะเขาไม่สามารถมาร่วมมื้ออาหารครอบครัวที่นานๆ จะจัดสักครั้งสายได้อย่างเด็ดขาด

มันเป็นคำสั่งของท่านปู่ที่คิดว่า ภาพครอบครัวที่ ‘สมกับเป็นครอบครัว’ ในหมู่ครอบครัวนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากเท่าๆ กับความสำเร็จของกิจการลอมบาร์เดีย ไม่ว่าสภาพที่แท้จริงแล้วมันจะเป็นเช่นไรก็ตาม

เพราะฉะนั้นพวกเราสองพ่อลูกจึงได้ข้ามมื้อเช้า ตื่นสายเล็กน้อย กินของว่างง่ายๆ รองท้องไปก่อน แล้วมายืมมือเหล่าลูกจ้างช่วยแต่งตัว

เท่าที่ได้ยินมา คนอื่นๆ ในตระกูลถึงกับจ้างคนมาไว้เพื่อช่วยแต่งตัวให้เป็นพิเศษกันเลยทีเดียว แต่พวกเธอไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องทำอะไรขนาดนั้น

หากเป็นวันสำคัญก็ค่อยจ้างมาช่วยเป็นครั้งคราวก็พอแล้ว

“เทียของพ่อ นานวันเข้าก็ยิ่งสวยขึ้นนะเนี่ย!”

ท่านพ่อยิ้มให้เธอในกระจกพลางเอ่ยพูด

ฟีเรนเทียไม่ได้พูดถ่อมตัวอะไรออกไป แต่ในสายตาเธอเองก็รู้สึกว่าตัวเองสวยนี่นะ

“ท่านพ่อเองก็เท่มากเลยค่ะ!”

คำพูดนี้เธอเองก็ไม่ได้พูดออกไปเฉยๆ เหมือนกัน

ท่านพ่อที่แต่งเนื้อแต่งตัวกับเขาบ้างวันนี้ ดูหล่อเหลาเสียจนเธอต้องมองจนตาค้าง

พ่อกับลูกสาวที่หน้าตาถอดแบบกันมา ยืนอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งน่าดู

บางทีในสายตาคนอื่นๆ เองก็คงจะยิ่งคิดแบบนั้นสินะ

ฟีเรนเทียเห็นเหล่าข้ารับใช้หญิงที่มาช่วยพวกเธอแต่งตัวมองเธอกับพ่อด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่อาจละสายตาออกไปได้ก็รู้แล้วแค่แต่งเนื้อแต่งตัวนิดหน่อยแบบนี้ ก็ดูดียิ่งกว่าใครๆ ในลอมบาร์เดีย แล้วจะยังจำเป็นอะไรที่จะจ้างคนมาช่วยเพิ่มต่างหากอีกกันล่ะ

เธอยักไหล่ไม่ยี่หระ

“เอาละ ไปกันเถอะ เทีย”

เธอจับมือใหญ่ที่ยื่นมาหาเธออย่างอบอุ่นเอาไว้ ก่อนจะเริ่มเดิน

มือของท่านพ่อทั้งใหญ่ทั้งอบอุ่น

อากาศก็ปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก ภายใต้แสงอาทิตย์สดใส มันเหมือนกับช่วยละลายความเย็นชาภายในคฤหาสน์ลอมบาร์เดียจนอ่อนตัวลงอย่างอ่อนโยนเลย

ทุกอย่างให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบไปหมด

จนกระทั่งมาถึงโถงงานเลี้ยงเอเลนอยด์ซึ่งเป็นห้องจัดงานเลี้ยง แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่นแหละ

“มาแล้วหรือครับ”

พ่อบ้านซึ่งยืนเฝ้ารออยู่หน้าประตูเอ่ยต้อนรับพวกเราด้วยความสุภาพ

แต่สถานที่ที่สายตาของเธอจับจ้องไปคือเหล่าคนในตระกูลลอมบาร์เดียคนอื่นๆ ที่มาถึงก่อนหน้าและกำลังนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ดูจากตำแหน่งที่นั่งสูงสุดของโต๊ะที่ยังว่างเปล่า ท่าทางท่านปู่จะยังมาไม่ถึง

อึก ไม่อยากเข้าไปเลย

ฟีเรนเทียปลอบตัวเอง และบังคับขาที่พยายามจะก้าวถอยหลังด้วยสัญชาตญาณให้เดินไปยังโต๊ะตามที่ท่านพ่อเดินนำเข้าไป

พอเข้าไปใกล้มากขึ้นทีละนิด ก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนอื่นๆ

ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ ใบหน้าของผู้คนที่ดูอ่อนเยาว์กว่าภาพในความทรงจำของเธอลงไปกว่ายี่สิบปี

ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรูหราที่สวมใส่ หรือภาพลักษณ์ภายนอกอันแสนงดงาม แวบแรกที่ได้เห็นทุกคนต่างก็เหมือนกับเทวดานางฟ้า

แต่เธอรู้ว่าข้างในนั้นหากไม่ว่างเปล่าจนกลวง ก็มืดดำไปหมด

คล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ เบเจอร์ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดจึงหันมามองเธอ

อันที่จริงหน้าตาก็ไม่ได้แย่อะไร สมกับที่เป็นพี่น้องกับท่านพ่อ สมกับที่เป็นสายเลือดของลอมบาร์เดียอยู่เหมือนกันแต่เธอเกลียดความโลภที่เต็มเปี่ยมอยู่ในนัยน์ตาแหลมเชิดรั้นคู่นั้นจริงๆ

อึก

รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจนต้องรีบเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น

“เอาละ งั้นเทียอยู่ตรงนี้กับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ นะ”

โต๊ะถูกแบ่งออกเป็นโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ กับโต๊ะสำหรับพวกเด็กๆ

สำหรับเธอถือว่าโล่งอกมากทีเดียวเพราะหากต้องมองหน้าเบเจอร์ที่ยังคงจ้องมาทางนี้จนถึงตอนนี้ หรือหน้าเซรัลภริยาของเขา เธอคงกินอะไรไม่ลงกันพอดี

“เทีย!”

“มานั่งข้างๆ พวกเราตรงนี้สิ!”

สองแฝดที่มาถึงก่อนเอ่ยต้อนรับเธอเสียงดังเหมือนทุกครั้ง

“เอาสิ ทั้งสองคนดูแลเทียดีๆ นะ”

“ไม่ต้องห่วงครับ! ”

พวกเขาตอบอย่างหนักแน่น ทำได้ดีมาก

ภาพนั้นทำให้ท่านพ่อยิ้มอบอุ่น ดูเหมือนจะโล่งใจลงไปได้มากทีเดียว

“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ เทีย”

ท่านพ่อจุมพิตลงบนศีรษะของเธอเป็นการบอกลา เพียงไม่นานก็เดินห่างไปยังโต๊ะอีกฟาก

บนโต๊ะที่ทุกคนต่างก็นั่งกันเป็นคู่ มีเพียงท่านพ่อที่ต้องนั่งอยู่คนเดียว ทำให้ดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย

เธอถอนหายใจแผ่วเบา หมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินไปนั่งลงบนที่นั่ง

“เทียนั่งข้างข้า!”

“ไม่ใช่! ข้างข้าต่างหาก!”

สองแฝดทะเลาะกันแย่งเธอ

ท่านพ่อ บอกให้ใครช่วยดูแลใครนะคะ

คิลลีวูกับเมโลนที่สนิทสนมและเข้าขากันได้ดีจะตาย กลับมักจะทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะปัญหาเกี่ยวกับเธออยู่เรื่อย

“นี่ ทั้งสองคน อย่าทะเลาะกัน”

เธอพยายามพูดปลอบ แต่สองแฝดที่เริ่มโมโหแล้วกลับไม่ยอมฟังเสียงเธอกันเลย

“ครั้งนี้ตาข้านะ!”

“ของแบบนั้นมีที่ไหนกัน! ”

จากนั้นเสียงของสองแฝดก็เริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยไว้แบบนี้คงได้กลายเป็นจุดสนใจแน่ แต่แล้วในตอนที่เธอแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างทั้งคู่ที่กำลังเถียงกันจนเหนื่อยหอบ

“คิลลีวู เมโลน”

ใครบางคนก็เดินเข้ามาในห้องจัดงานเลี้ยงพอดี ในขณะเดียวกันก็เอ่ยเรียกชื่อสองแฝดเสียงเข้ม

เวสติน ชูลส์ บิดาของทั้งสองคน

บนใบหน้าของบุคคลที่สาวเท้ากว้างเดินเข้ามาเสียงดังตึก ตึก ยังคงมีรอยยิ้มไม่จางหายไปไหน แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศรอบตัวเขามันกลับดูเย็นชาแปลกๆ

“โวยวายอะไรกัน”

และสายตาของเวสตินที่เข้ามาใกล้ก็หันมาจับจ้องอยู่ที่เธอ

“เจ้าอีกแล้วนี่เอง”

หืม?

ท่าทางของเวสตินดูแปลกๆ

ท่าทางของเขาแตกต่างจากตอนที่อยู่ด้วยกันกับป้าชานาเนสอย่างสิ้นเชิง

สายตาเหลือบมองเธอราวกับเห็นตัวน่ารำคาญสายตา หลังจากนั้นก็ยังถึงกับแอบลอบผลักไหล่ของเธอออกเสียงดังตุบ

ถึงจะเป็นแค่การผลักเบาๆ ก็จริง แต่แรงของผู้ใหญ่ก็ทำให้ร่างของเธอเซถลาไปข้างหลังอยู่ก้าวหนึ่ง

เวสตินผลักเธอออกไปจากข้างกายคู่แฝด ก่อนที่จะเอ่ยพูดกับบุตรชายทั้งสองคน

“พ่อบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้รักษามารยาทในงานรวมตัวครอบครัววันนี้”

“ครับ”

“ขอโทษครับ…”

พอโดนดุ สองแฝดก็ไหล่ลู่ตกด้วยความเศร้า

“ดีมาก ข้าเชื่อในตัวพวกเจ้านะ”

เวสตินกล่าวทิ้งท้ายเช่นนั้น แล้วเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะอีกฝั่ง

“ฮ่าฮ่า ขออภัยครับ ข้ามาสายเสียแล้ว!”

น้ำเสียงเริงร่าเสียจนไม่อาจจินตนาการออกได้เลยว่าเป็นคนคนเดียวกันกับคนที่หลุบตามองเธอด้วยความเย็นชาเมื่อครู่นี้

ใช่แล้วละ นั่นต่างหากถึงจะเป็นภาพลักษณ์ของเวสติน ชูลส์ตัวจริงที่เธอรู้จัก