เธอตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกนึกว่าตัวเองฝันไปครู่หนึ่งหรือเปล่า เมื่อตั้งสติขึ้นมาได้จึงค่อยเดินกลับไปนั่งลงบนที่นั่งข้างสองแฝดอย่างว่าง่าย

แน่นอนว่าสองแฝดเองก็กลับมาดูมีชีวิตชีวาเหมือนปกติกันแล้ว ทำเอาฟีเรนเทียสงสัยเลยว่าพวกเขาเพิ่งเศร้ากันไปแน่เหรอ

เธอถามทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง

“นี่ว่าแต่ ข้าทำอะไรผิดไปเหรอ”

สองแฝดเอียงคอด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินคำถามของเธอ

“เมื่อกี้นี้ ท่านเวสติน…ดูเหมือนจะโมโหอะไรข้านิดหน่อยน่ะ”

ในตอนนั้นทั้งสองคนถึงได้ร้อง ‘อ๊า’ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก พลางเหลือบมองรอบข้างเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามเธอ

“เทียไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก”

“เพราะเดิมทีท่านพ่อก็เกลียดพวกลูกพี่ลูกน้องอยู่แล้วน่ะ”

“เกลียด…ลูกพี่ลูกน้อง?”

ไม่อาจเข้าใจได้ง่ายๆ เลยว่าหมายความว่ายังไงกันแน่

“อื้อ ท่านพ่อบอกว่าเกลียดลอมบาร์เดีย”

คิลลีวูลังเลก่อนจะยอมพูดออกมา

“พูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง!”

เมโลนสะดุ้งตกใจ ตำหนิคิลลีวู

“แต่พูดกับเทียคงไม่เป็นไรหรอก”

“มะ…มันก็จริง แต่ว่า…”

“ข้าไม่บอกใครหรอก ไม่ต้องห่วง”

เธอพูดออกไปให้ทั้งคู่วางใจ

เมโลนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนคำสัญญาของเธอจะทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากและก็เอ่ยกระซิบเสียงแผ่วเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมด

“ท่านพ่อไม่ชอบเรื่องที่พวกเราเล่นกับเทียด้วย”

“เหรอ ป้าชานาเนสเองก็รู้เรื่องนั้นด้วยมั้ย”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหนกันล่ะ สองแฝดส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง

“ท่านพ่อบอกว่าเป็นความลับระหว่างผู้ชายตระกูลชูลส์เท่านั้น”

ผู้ชายตระกูลชูลส์

มันไม่ใช่คำพูดที่เหมาะสมกับเวสตินคนที่มักจะแนะนำตัวว่า ‘เวสติน ลอมบาร์เดีย’ ด้วยความมั่นใจในงานพบปะอย่างเป็นทางการทั้งๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล หรือคู่แฝดที่ใช้นามสกุลของลอมบาร์เดียอย่างเห็นได้ชัด

เธอหันหน้าเหลือบมองไปยังโต๊ะฝั่งที่พวกผู้ใหญ่นั่งล้อมวงกันอยู่

เวสตินกำลังหัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า โฮ่โฮ่ ไม่รู้ว่ากำลังเล่นมุกตลกอะไร

แต่มือที่ผลักเธอกับคำพูดของสองแฝดไม่มีทางเป็นเรื่องโกหกแน่

อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบนใบหน้าของชานาเนสที่กำลังหัวเราะจับมือของเวสตินอยู่นั่น ก็ไม่ใช่สีหน้าที่เสริมเติมแต่งขึ้นเหมือนกัน

ชานาเนสคนที่เธอรู้จักเป็นคนที่จะเลือกตัดขาดกันให้เรียบร้อยไม่เหลือเยื่อใย มากกว่าจะแสดงละครอะไรแบบนั้น เหมือนอย่างเมื่อชาติก่อน

แต่สิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจก็คือ ประเด็นที่ว่าเวสติน ชูลส์คนนี้ อาจจะไม่ใช่ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านภริยาอย่างสงบสุขไม่คิดก่อเรื่องอย่างที่เธอเคยคิดไว้ก็เป็นได้

และในตอนนั้นเอง

ฟีเรนเทียก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากฟากตรงข้ามของโต๊ะตัวใหญ่

“เฮ้ เลือดผสม”

อา นี่ก็ไม่ได้ยินเสียนานเลยแฮะ

ฟีเรนเทียดึงสายตาหันมามองทางต้นเสียงเธอถึงได้เห็นเบเลซักที่กำลังหัวเราะเยาะเธออยู่

หลังจากโดนตี ก็ดูเหมือนจะใช้ชีวิตสงบปากสงบคำมาสักระยะหนึ่งแล้ว

วันนี้บนใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มน่ารังเกียจ

เข็มไปทางไหน ด้ายต้องไปทางนั้น แยกจากกันไม่ได้

อาสทัลลีอูวันนี้ก็ยังคงเกาะติดอยู่ข้างกายเบเลซักไม่ห่าง ท่าทางดูหยิ่งยโสมากพอกัน

“เฮ้ ไม่ได้ยินที่ข้าเรียกหรือไง”

พอเห็นว่าเธอไม่ตอบ เบเลซักก็คำรามขู่เสียงชั่วร้าย

แต่คนเราไม่ตอบกลับเวลาหมามันเห่าใส่อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

ฟีเรนเทียตั้งใจอยู่กับการฉีกขนมปังกินรองท้อง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ้าบอพวกนั้น

“นังนี่จริงๆ เลย”

เบเลซักยิ่งโมโหจนหอบแฮก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ก่อนจะเด็ดองุ่นจากพวงองุ่นเขียวที่วางอยู่ตรงหน้าออกมาหนึ่งเม็ด โยนมาทางเธอ

ตุบ

องุ่นเม็ดเขียวกระทบใบหน้าของเธอ ก่อนจะตกลงมากลิ้นกลุกกลักบนโต๊ะสีขาว

นายโดนฉันตีน้อยไปใช่มั้ย

ฟีเรนเทียไม่คิดที่จะอดทนอะไรทั้งนั้น

คิดแค่ว่าจะตอบแทนกลับไปด้วยวิธีเดียวกันเพราะฉะนั้นจากองุ่นที่บินพุ่งใส่ เธอจึงกำเม็ดองุ่นสามเม็ดที่เด็ดออกมาใหม่ไว้ในมือข้างหนึ่ง

แต่ก่อนที่เธอจะทันได้โยนมันออกไป อะไรบางอย่างก็บินพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเบเลซักเสียก่อน

แผละ!

ขนมปังทาเนยจนชุ่มโปะเข้าใส่หน้าของเบเลซัก มันเกาะติดหนึบอยู่บนนั้น ก่อนจะค่อยๆ ลื่นหล่นลงจากใบหน้าอย่างเชื่องช้า

“วะฮาฮ่า!”

เธอหัวเราะในขณะที่มองไปยังฝั่งที่ขนมปังบินพุ่งออกมา

เมโลนยังกำมีดปาดเนยเอาไว้ในมือข้างหนึ่งอยู่เลย

“นี่ทำอะไร…อึก!”

เบเลซักโมโห เขาแกะขนมปังออกจากใบหน้าของตัวเอง แต่กลับมีขนมปังอีกแผ่นบินพุ่งตรงมาอีก คราวนี้มันแปะเข้าบนแก้มอีกด้าน

แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้ มันเป็นผลงานของคิลลีวูนั่นเอง

“อะ…อะไรกัน! สองคนนี่ทำไมทำแบบนี้ฮะ!”

เบเลซักตะโกนด้วยความโกรธเคือง ในขณะเดียวกันก็ใช้ผ้าเช็ดใบหน้าที่มันเยิ้มไปด้วยเนย

“เจ้าเป็นฝ่ายโยนผลไม้ใส่เทียก่อนไม่ใช่หรือไง”

“ก็เลยนึกว่าเล่นปาอาหารใส่กันอยู่น่ะสิ”

สองแฝดพูดกระทบกระทั่งด้วยความเจ้าเล่ห์

เบเลซักกัดฟันกรอดส่งเสียงคำรามดังลอดผ่านไรฟัน

“เล่นกับยายชั้นต่ำนั่น พวกเจ้าทั้งคู่ก็เลยเปลี่ยนไปด้วยสินะ! ว่าแล้วเชียว เพราะแบบนี้ไงถึงได้ต้องสนิทสนมกับคนให้มันระดับเดียวกันน่ะ!”

สองแฝดไม่ได้สนใจฟังเบเลซักด้วยซ้ำ สองคนนั่นกำลังใช้ปลายนิ้วแคะหูกันอยู่

เบเลซักเดือดพล่านแต่กลับโดนเมินอยู่พักใหญ่ แต่เพียงไม่นานเขาก็แสยะยิ้มออกมาพลางเอ่ยพูด

“พวกเจ้าสองคน ทำดีกับข้าหน่อยน่าจะดีกว่าละมั้ง”

หมอนี่ว่าอะไรนะ

อาจจะมองว่าเบเลซักแค่พูดพล่ามไร้สาระเหมือนเคยก็ได้ แต่ฟังดูแล้วมันเหมือนมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่

ไหนจะท่าทางเย่อหยิ่งจองหองนั่นอีก

เบเลซักมองเธอกับสองแฝดพลางเอ่ยพูด

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าได้รับอนุญาตจากท่านปู่ให้ไปยังพระราชวังได้เดือนละครั้ง มันเป็นคำขอร้องพิเศษขององค์จักรพรรดินีน่ะ”