บทที่ 36
อา เรื่องนั้นมันเริ่มตอนนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ
เธอลองค้นดูความทรงจำของตัวเอง
ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเมื่อชาติก่อนก็เริ่มช่วงประมาณนี้เหมือนกัน
เบเลซักเริ่มแวะเวียนไปยังพระราชวังอย่างเต็มตัว ในฐานะเพื่อนเล่นของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง
ที่จริงมันไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเพราะอาสทาน่ากับเบเลซักสนิทสนมอะไรกันขนาดนั้นหรอก
เจ้าชายอาสทาน่าน่ะ มองเบเลซักเป็นแค่กากเดนน่ารำคาญตัวหนึ่ง ย่อมไม่มีทางมีความรู้สึกพวกมิตรภาพกับเขาแน่
คงจะเป็นจุดประสงค์ทางด้านการเมืองเสียมากกว่า
“อิจฉาใช่มั้ยล่ะ”
เบเลซักพูดอวดเหล่าลูกพี่ลูกน้องที่นั่งอยู่บนโต๊ะรวมถึงเธอ
“เปล่า”
“ไม่อิจฉาเลยสักนิด”
“เล่นกับหมอนั่นที่นิสัยสกปรก ทุเรศแบบนั้น ทำไมจะต้องอิจฉาด้วย”
“เจ้านั่นทำตัวแย่กับเทียอีกต่างหาก”
สองแฝดเอ่ยตอบเสียงเอื่อย
ท่าทางสองคนนี้จะพูดจากใจจริง
เพราะสำหรับเด็กตระกูลลอมบาร์เดียแล้ว พระราชวังที่ทั้งจุกจิกทั้งเจ้าระเบียบไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่นที่น่าดึงดูดใจอะไรขนาดนั้นหรอกแต่สำหรับตระกูลชั้นสูงตระกูลอื่นจะเห็นเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ
“หึ โกหก ทุกคนก็อิจฉากันทั้งนั้น!”
สงสัยคงจะเที่ยวไปโอ้อวดข่าวนี่ตามงานสังคมมาหลายแห่งแล้วละมั้งนั่นก็คงเป็นสิ่งที่คู่สามีภรรยาเบเจอร์กับเซรัลต้องการ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดต่อหน้าคนอื่นเฉยๆ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างคู่สามีภริยาเบเจอร์กับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งและจักรพรรดินี
“เพราะฉะนั้นเลือดผสม เจ้า”
เบเลซักใช้ส้อมปลายแหลมชี้มาที่เธอซึ่งนั่งนิ่งไม่พูดอะไรพลางเอ่ยพูด
“ต่อไปเชื่อฟังคำพูดของข้าก็น่าจะดีกว่านะ เชื่อฟังกันให้เหมือนเมื่อก่อน”
ว่าไงนะ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งใครมันจะไปอิจฉากันไอ้โง่นั่นยังไงก็ถูกเจ้าชายลำดับที่สองลากไปสนามรบอยู่แล้ว
แต่ฟีเรนเทียไม่ชอบเห็นท่าทางหยิ่งยโสของเบเลซักผู้ไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะกลายเป็นเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน
เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ทาเนยลงบนขนมปังอยู่เงียบๆ ค่อยๆ ทาอย่างประณีต
และฟีเรนเทียก็ยกมันชูขึ้นสูง
ผงะ!
เบเลซักที่กำลังมองเธออยู่ก็ถึงกับผวาเฮือก
ทว่าเธอยัดขนมปังทาเนยใส่ปากให้เบเลซักได้เห็น กัดมันคำโต
ในตอนนั้นเองใบหน้าของเบเลซักที่เพิ่งจะประเมินสถานการณ์ออกถึงได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เธอแลบลิ้นเลียเศษขนมปังที่เลอะติดปากไปพลาง ตั้งใจพูดเสียงดัง
“ขี้ขลาด”
จากนั้นฟีเรนเทียก็ได้ยินเสียงสองแฝดที่นั่งประกบอยู่สองฝั่งหัวเราะเสียงดังคิกคัก
ส่วนอาสทัลลีอูส่งสีหน้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อไปทางเบเลซัก ท่าทางจะผิดหวังในตัวหมอนั่นเล็กน้อย
โธ่ เด็กเอ๋ยเด็ก
ตอนนั้นเองประตูห้องจัดงานเลี้ยงเอเลนอยด์ก็ถูกเปิดออก ตามด้วยท่านปู่ที่เดินเข้ามาในห้อง
ท่านปู่เหลือบมองหลานชายหลานสาวที่นั่งล้อมวงกันอยู่หนึ่งครั้ง แล้วเดินมุ่งตรงไปยังโต๊ะตัวใหญ่
พวกผู้ใหญ่ลุกขึ้นจากที่นั่ง กล่าวทักทายต้อนรับท่านปู่
ในที่สุดงานเลี้ยงครอบครัวก็เริ่มต้นขึ้นเสียที
ถึงเธอนั่งเงียบปิดปากแน่น เอียงหูแอบฟังบทสนทนาที่ได้ยินดังมาจากทางฝั่งโต๊ะตัวใหญ่
“เห็นพวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้แล้ว รู้สึกอารมณ์ดีทีเดียวนะ”
รูลลักมองบุตรชายบุตรสาวที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันกับคู่สมรสของพวกเขา พลางเอ่ยพูดด้วยความพึงพอใจ
ความสัมพันธ์ของบุตรหลานสายตรงของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนั้น ถือว่าเอนเอียงไปทางค่อนข้างดี
มีคำกล่าวที่ว่า ต่อหน้าอำนาจแล้ว แม้แต่สายเลือดเดียวกันก็ไร้ค่า สิ่งที่ยืนยันคำกล่าวนั้นได้เป็นอย่างดีก็คือ ตระกูลอื่นๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์หลับหูหลับตาไม่ยอมจะมองหน้ากันด้วยซ้ำไป ซึ่งหากเทียบกับตระกูลเหล่านั้นแล้ว ตระกูลของเขายังถือว่าดีอยู่มาก
เพราะอย่างน้อยก็ยังไม่มีเรื่องที่พี่น้องถือดาบจ่อหน้ากันเองเกิดขึ้น
การที่รูลลักยังมีชีวิตสุขสบายดีจนถึงตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าคำกล่าวนั้นเป็นเรื่องไม่จริงด้วยเช่นกัน
หากเจ้าตระกูลแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์อ่อนแอ และถึงเวลาที่เหล่าตระกูลรับใช้ใต้บังคับบัญชาคิดว่าถึงเวลาที่รุ่นต่อไปจะขึ้นมาแทนที่แล้วละก็ การที่ทุกคนจะมานั่งล้อมวงกันทั้งหมดแบบนี้ คงจะเป็นเรื่องยากน่าดู
ที่ผ่านมาทุกคนที่ได้ครอบครองตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเองก็เป็นเช่นนั้น แม้แต่ตัวรูลลักเองก็เช่นกัน
“เสิร์ฟอาหารได้”
รูลลักสั่งพ่อบ้าน
เพียงครู่หลังจากนั้นเหล่าข้ารับใช้ก็ทยอยถือถาดอาหารหลายใบเดินเข้ามากันอย่างต่อเนื่อง
“ว้าว น่าทึ่งจัง”
พวกเด็กๆ ต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย เมื่อเห็นสิ่งที่ข้ารับใช้ชายสองคนช่วยกันถือเดินตามหลังขบวนเข้ามา
มันคือหมูย่างตัวใหญ่ที่คาบผลแอปเปิ้ลสีแดงเอาไว้ที่ปาก
กลิ่นหอมกระตุ้นความอยากอาหารลอยคลุ้งไปทั่วห้องจัดงานเลี้ยง
และผู้ชายสวมชุดสะอาดสะอ้านคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
เขาคือหัวหน้าพ่อครัวที่ดูแลรับผิดชอบครัวของเจ้าตระกูล
อีกอย่างเขายังเป็นถึงลูกศิษย์ของพ่อครัวส่วนตัวประจำองค์จักรพรรดิโยบาเนสอีกด้วย
หัวหน้าพ่อครัวโค้งศีรษะทักทายไปทางรูลลักด้วยความนอบน้อม เขายกมีดขึ้น ลงมือหั่นหมูย่างเป็นชิ้นพอดีคำด้วยตัวเอง
มือที่แบ่งเนื้อหมูใส่จานทีละชิ้นนั้นระมัดระวังเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของหัวหน้าพ่อครัวที่มีต่อเจ้าตระกูลได้เป็นอย่างดี
จานอาหารถูกวางลงตรงหน้าทุกคน มื้ออาหารเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย
เบเจอร์ลุกขึ้นจากที่นั่ง ถือไวน์ขวดหนึ่งเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายรูลลัก
“ข้าขอคำนับสักแก้วนะครับ ท่านพ่อ”
รูลลักพยักหน้าด้วยความพอใจ รับเหล้าจากบุตรชายคนโต
เบเจอร์กล่าวพูดตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน
“ขอบคุณที่อนุญาตให้เบเลซักเข้าวังครับ”
คนที่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดนั้นเป็นคนแรกคือเวสติน
“ดูเหมือนจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นดีนะ น้องเขย”
“เพราะท่านพ่อน่ะครับ”
เบเจอร์ให้เกียรติมอบความดีความชอบทั้งหมดไปที่รูลลัก
“ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตแล้วละก็ เบเลซักคงต้องรออีกหลายเดือนกว่าจะอายุสิบเอ็ดนี่ครับ”
ขนาดเบเจอร์ที่เป็นคนจู้จี้ ยังดูมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเวสตินเลย
แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเวสตินที่เป็นคนห่ามๆ นั้นเป็นพวกยอมนอบน้อมทั้งยังหน้าด้านไม่ว่าจะเจอใครก็ตามก็เป็นได้
แน่นอนว่าในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ อาจจะมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
รูลลักดื่มไวน์องุ่นสีแดงลงคอโดยไม่พูดอะไร ในขณะเดียวกันก็เฝ้ามองบทสนทนารับส่งบนโต๊ะไปด้วย
“โล่งอกมากทีเดียวที่ท่านพ่อช่วยยกเว้นให้เป็นพิเศษเพื่อเบเลซักของพวกเรา”
เซรัลหัวเราะพลางเน้นคำว่า ‘ยกเว้นให้เป็นพิเศษ’
เด็กตระกูลลอมบาร์เดียไม่สามารถออกไปนอกคฤหาสน์ได้อย่างอิสระจนกว่าจะอายุครบสิบเอ็ดขวบ
หมายความว่าเบเลซักได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าใคร เพื่อให้เขาสามารถเดินทางไปยังพระราชวังได้ก่อนวัย
“ถึงขนาดต้องบอกว่ายกเว้นเป็นพิเศษเชียว”
ชานาเนสพูดเสียงเบาแต่ช่างแสนเย็นชา
ในขณะเดียวกัน แพขนตายาวของเซรัลก็สั่นระริก
แต่ก็ยังไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเถียงอะไรออกไป
ในบรรดาบุตรชายทั้งสามของรูลลัก ไม่มีใครคนไหนกล้าต่อต้านชานาเนส
เหล่าคู่สมรสของพวกเขาเองก็เช่นเดียวกัน