บทที่ 85 รางวัลที่คู่ควร

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 85 รางวัลที่คู่ควร

“ผอ.เฉียน ท่านหมายความว่าท่านจะมอบแก่นโลหิตสัตว์ประหลาดระดับราชานี่ให้เฉินเฉียงอย่างนั้นรึ”

คนที่พูดออกมาอย่างไม่พอใจนี้คือปู่ของจ้าวฮั่น ผู้อาวุโสระดับสอง จ้าวหยาง

“ถูกต้อง”

ผอ.เฉียนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกๆ “พวกโจรแห่งเขตแดนหมอกโลหิตนี้เป็นหอกข้างแคร่กันหนันมานานแล้ว แต่ด้วยการที่ตึกจอมพลทั้งสองต้องทุ่มเทไปกับการต่อการกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทำให้พวกเขานั้นยังไม่อาจโค่นล้มพวกมันได้สักที”

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเฉินเฉียงคนนี้และเว่ยฉิงเชินจากสำนักวิหคอัสนีจะร่วมมีกันกวาดล้างกองโจรหมอกโลหิตในครั้งนี้ได้เหมือนกัน และด้วยการที่พวกมันโดนกวาดล้างไปนี้ทำให้กันหนันหมดเสี้ยนหนามที่ใหญ่ที่สุดไปได้”

“ส่วนเหตุผลนั้นก็คือ ทางกันหนันตั้งใจจะมอบสิ่งนี้เป็นรางวัลให้กับทั้งสองคนอยู่แล้วคนละขวด อ้อ แล้วก็…”

ในระหว่างที่พูด ผอ.เฉียนได้นำเหรียญเงินเล็กๆออกมาหนึ่งเหรียญก่อนที่จะพูดออกมา “นี่คือเหรียญประจำตัวผู้การแห่งกันหนัน เขาตั้งใจมอบสิ่งนี้เป็นรางวัลให้เจ้า”

หลังจากพูดจบ ผอ.เฉียนได้ส่งมอบขวดแก้วนี้และเหรียญให้เฉินเฉียงกับมือตัวเอง

“เฉินเฉียง ผู้การเว่ยฝากมาบอกว่าหลังจากจบจากสำนักเต่าดำแล้ว หากเจ้าเลือกเส้นทางในอนาคตเป็นที่นั่น เจ้าก็ไปที่นั่นและแสดงเหรียญตรานี้ออกไปก็พอ”

เฉินเฉียงรับขวดแก้วและเหรียญตราด้วยรอยยิ้มกว้างและเก็บพวกมันในแหวนของเขาในทันที

สำหรับเขาแล้ว ของที่มีค่าที่สุดของเรื่องในครั้งนี้ก็คือแก่นโลหิตสัตว์ประหลาดระดับราชาขวดนี้

ส่วนเหรียญตราสีเงินนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย

นั่นก็เพราะตัวเขานั้นมีเป้าหมายที่จะแย่งชิงธงแห่งกองกำลังเทียนเว่ยมาให้ได้

อย่างไรก็ตาม ศิษย์สำนักคนอื่นกลับคิดต่างในเรื่องนี้

“นั่นมันเหรียญตราแห่งผู้การกันหนันไม่ใช่เหรอ สำหรับพวกเราไม่ได้ต่างไปจากตราประทับของจักรพรรดิเลยนะ”

“แค่มีเหรียญนั้นไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ไปได้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แหงสิ เฉินเฉียงฉลาดจะตาย เขาต้องเลือกทำงานที่นั่นอยู่แล้ว”

“เจ้าพูดถูก ว่าแต่ทำผู้การถึงกับมอบเหรียญตรานี้ให้เขากันล่ะ อย่าบอกนะว่าผู้การสนใจในตัวเฉินเฉียง”

“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ข้าว่าตอนที่เขาช่วยกันสู้กับเว่ยฉิงเชินต้องชนะใจนางไปแล้วแน่ๆ นี่เรียกว่าเขวี้ยงหินครั้งเดียวได้นกสองตัวชัดๆ”

ในขณะที่ศิษย์คนอื่นกำลังพูดคุยกันนั้น แต่เฉินเฉียงกลับไม่ได้แยแสแต่อย่างใด หลังจากเขาเก็บของรางวัลไปแล้ว เขาก็ได้ก้มหัวอย่างเคารพและพูดออกมา “ขอบคุณครับ ผอ.”

เมื่อเห็นเฉินเฉียงทำท่าจะจากไป ผอ.ได้รั้งเขาเอาไว้ก่อน “เฉินเฉียง รอก่อน”

“ฮื้อออ”

เฉินเฉียงได้หยุดเท้าลงพร้อมกับมองไปที่ผอ.เฉินอย่างสงสัย

“ฮ่าฮ่า เฉินเฉียง เจ้านั้นนำเกียรติยศอันยิ่งใหญ่มาให้สำนักเรา ในขณะเดียวกัน เจ้ายังช่วยเหลือภัยอันตรายร้ายแรงของมนุษยชาติ ในฐานะผอ.สำนักเต่าดำแล้วจะไม่มอบรางวัลให้เจ้าเลยจะได้ยังไง ใช่ไหมล่ะ”

หลังจากนั้น ผอ.ได้กระแอมอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด “ด้วยเกียรติยศที่เฉินเฉียงได้ทำเอาไว้นี้ ทางสำนึกจึงตัดสินใจมอบรางวัลพิเศษจำนวนหนึ่งแสนแต้มคะแนนในทันที และจะยอมให้เฉินเฉียงได้กลับไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิด”

ฮะ

การตัดสินใจของผอ.นี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนในหอประชุมอีกครั้ง

“หนึ่งแสนแต้มคะแนน เนี่ยนะ นับแต่นี้เขาไม่ต้องทำอะไรแล้วนะนั่น แต้มคะแนนนี่เพียงพอให้ใช้ไปตลอดชีวิตเลยนะ”

“หากรู้แบบนี้ข้าเข้าร่วมด้วยดีกว่า แค่ทำภารกิจครั้งเดียวก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิตแล้ว”

“พูดไปก็เท่านั้นแหล่ะน่า เมื่อดูสิ่งเกิดขึ้นนี้ เฉินเฉียงสมควรได้มันไปแล้ว”

ท่ามกลางเสียงที่แสดงความอิจฉาของผู้คนนั้น ด้วยสิ่งนี้แน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมมีความสุขอย่างไม่ต้องพูดออกมา

ถึงแม้หากเทียบกับรางวัลที่เขตกันหนันมอบให้เขาจะดูห่างกันมากนัก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างมากในตอนนี้

ด้วยหนึ่งแสนคะแนนนี้ เขาสามารถเก็บตัวบ่มเพาะในห้องบ่มเพาะไปได้อีกนาน

นี่ยังไม่รวมถึงการกลับไปอาณานิคมอีก

นี่ก็เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่เขาจากอาณานิคมเขาหมางมา

และเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว เขากำลังหวังจะออกไปผจญภัยในโลกภายนอกอีกครั้งเพื่อเป็นการฝึกฝนอยู่พอดี

หลังจากผอ.เฉียนได้ประกาศรางวัลออกมา ผู้ดูแลหอภารกิจหลิวได้ส่งแต้มคะแนนหนึ่งแสนแต้มให้เฉินเฉียงผ่านกำไลสื่อสาร

“ขอบคุณครับ ผอ.”

“ฮ่าฮ่า เฉินเฉียง เจ้าสมควรได้รับมันแล้ว เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”

หลังจากเฉินเฉียงหันหลังให้ เสียงเบาๆก็ได้ดังขึ้นในหูของเฉินเฉียง

“หลังจากจบการประชุมให้มาที่ห้องผอ.ด้วยล่ะ”

หลังจากจบการประชุม เหล่านักเรียกต่างก็ถอดถอนลมหายใจและแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนเฉินเฉียงนั้นได้ไปยังห้องผอ.ก่อนเป็นอันดับแรก

“เฉินเฉียง ไหนเจ้าลองใช้พลังสายเลือดของเจ้าให้ข้าดูอีกครั้งหนึ่งสิ”

ผอ.ได้พูดออกมาในทันทีที่เขาเข้าไปถึง

เฉินเฉียงถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังทำตามแต่โดยดี เขาปล่อยพลังสายเลือดอันน้อยนิดของเขาออกมา

ผอ.เฉียนได้เดินวนดูรอบๆเฉินเฉียงในขณะที่นำมือไขว้หลัง ในที่สุดเขาก็ได้ลองใช้นิ้วดีดไปที่ชั้นพลังที่เฉินเฉียงได้ปล่อยออกมาเคลือบร่างกายไว้จนดังแกร้ง

“ผู้อาวุโสฉีแห่งแผนกเล่นแร่แปรธาตุตรวจสอบสายเลือดของเจ้าเองกับมือรึเปล่า ทำไมเขาจึงบอกว่าสายเลือดของเจ้าเป็นสายเลือดผสมกัน นี่พวกเราเกือบจะเสียอัจฉริยะไปเลยนะ”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ถึงกับตาเป็นประกายในทันทีและรีบถามออกมา “ผอ. ท่านหมายความว่าผลการทดสอบสายเลือดของข้าผิดอย่างนั้นหรือครับ แล้วข้ามีสายเลือดอะไรกันแน่”

ผอ.เฉียนที่ได้ยินก็ได้ส่ายหัวในทันทีก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเจ้ามีสายเลือดประเภทไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือสายเลือดของเจ้านั้นไม่ใช่สายเลือดพื้นฐานที่ผสมปนเปกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”

“แต่กับเรื่องนี้นะ เฉินเฉียง เจ้าอย่าได้บอกใครเป็นอันขาด”

นั่นก็เพราะในตอนที่เจ้าปล่อยพลังสายเลือดออกมาเคลือบจนกลายเป็นเกราะปราณนั้น ดูเหมือนว่านอกจากคนที่มีระดับการบ่มเพาะเป็นนักรบสายเลือดระดับราชาหรือเหนือกว่าแล้ว คนอื่นๆจะไม่เห็นเกราะปราณของเจ้าได้ นี่คือเหตุผลว่าในตอนนั้นไม่มีใครเลยเห็นเกราะปราณของเจ้านอกจากข้า และนี่ก็จะหมายความว่าคนอื่นในสำนักนอกจากข้าจะไม่มีใครรู้ถึงระดับการบ่มเพาะที่แท้จริงของเจ้า”

“แต่ในเรื่องนี้ก็เป็นผลประโยชน์กับเจ้าเองด้วยเช่นเดียวกันในยามต่อสู้ พูดแค่นี้ข้าเชื่อได้ว่าเจ้าเองต้องเข้าใจอย่างแน่นอน”

แน่นอนว่าเขานั้นย่อมเข้าใจ ตราบใดที่ไม่มีคนเห็นระดับการบ่มเพาะที่แท้จริงของเขาได้ล่ะก็ เขาจะสามารถกดตัวเองให้ต่ำได้เฉกเช่นก่อนหน้านี้ กับเรื่องนี้แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดี

แต่ดูเหมือนว่าในครั้งนี้เขาเองก็ไม่อาจพูดถึงสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขาได้เช่นเดียวกัน เพราะแม้แต่ผอ.ที่อยู่ในระดับราชายังไม่มั่นใจว่าเขามีสายเลือดใด แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจเปิดปากถามตรงๆ

“แล้ว…ผอ.ครับ ท่านเรียกข้ามาที่นี่ทำไมกัน”

ผอ.ได้ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “อย่างแรก ในการประลองสี่สำนักที่จะจัดขึ้นนี้ ผอ.กันหนันขอมาเป็นกรณีพิเศษเลยว่าให้เจ้านั้นต้องเข้าร่วม ส่วนเหตุผลเจ้านั้นก็น่าจะพอเดาได้”

ต่อให้ผอ.ไม่พูดอ้อมค้อมซะขนาดนี้ เขาก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขา

“อย่างที่สองเป็นเรื่องของแก่นโลหิตของสัตว์ประหลาดระดับราชาที่ผู้การกันหนันมอบให้เจ้า”

ผอ.ได้เดินว่อนไปทั่วห้องก่อนที่จะพูดออกมา “เฉินเฉียง ข้าเห็นว่าเจ้านั้นยังไม่ได้บ่มเพาะจุดตันเถียนของเจ้าอย่างสมบูรณ์ และด้วยการที่อาจารย์ของเจ้า ฮู่ต้าไฮ่นั้นยังไม่อาจที่จะเห็นพลังสายเลือดของเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเรียกเจ้ามา”

“ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อนน่ะ เฉินเฉียง ก่อนที่เจ้าจะบ่มเพาะและขัดเกลาจุดตันเถียนด้วยพลังสายเลือดของเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าต้องไม่ดูดซับแก่นโลหิตระดับราชานั่นโดยไม่จำเป็น”

“มีเพียงนักรับสายเลือดระดับนายพลวิญญาณเท่านั้นที่สามารถดูดซับแก่นโลหิตนั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากเจ้านั้นดูดซับแก่นโลหิตนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณล่ะก็ ไม่เพียงที่จะสูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่นี่ยังส่งผลต่อการบ่มเพาะของเจ้าในอนาคตจนถึงขั้นไม่อาจก้าวข้ามไปยังระดับราชาได้เลยด้วยซ้ำ”