บทที่ 69 หลอมรวม (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของประมุขพรรคเฒ่าทันที

“ไม่ทราบอาจารย์ของท่านประมุขตอนนี้อยู่ที่ใด” เขาหวั่นไหวอยู่บ้าง ยอดฝีมือที่เป็นอาจารย์ของท่านประมุขได้ต้องเป็นขอบเขตที่สูงกว่าระดับผนึกจิต เป็นอาจารย์เขาก็ไม่เลวแล้ว

“อาจารย์จากไปสิบกว่าปีแล้ว” ประมุขพรรคเฒ่ากล่าวเสียงทุ้ม

ลู่เซิ่งพลันหมดคำพูด ฉุกคิดว่าคนผู้นี้จะรั้งตัวเขาไว้ในพรรควาฬแดง

พึงทราบว่าวิถีของโลกนี้เกิดกราบอาจารย์ขึ้นมา ภายหลังถ้าทรยศ ชื่อเสียงสถานะจะย่อยยับไม่มีชิ้นดี สถานะไม่ต่างอะไรกับมีคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ลืมบุญคุณทิ้งน้ำใจ ถูกรังเกียจ

ดังนั้นเกิดเขากราบเข้าสำนักประมุขพรรควาฬแดง ภายหลังไม่อาจเปลี่ยนไปที่อื่นได้อีกจริงๆ

“ท่านประมุขให้ผู้แซ่ลู่ใคร่ครวญก่อน” ไม่อาจตัดสินใจได้ชั่วขณะ ลู่เซิ่งได้แต่ถ่วงเวลาไปก่อน

“นี่ยังต้องใคร่ครวญอะไรอีก ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเป็นวัวเป็นม้า” ประมุขพรรคเฒ่าส่ายหน้าอดยิ้มไม่ได้ “ยิ่งไปกว่านั้นสำนักของข้ายังไม่ใช่รังเดียวกับพรรควาฬแดง ถ้าเจ้าเข้าสู่สำนักอาจารย์ของข้าจริงๆ ภายหลังจะรู้ และเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”

ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย แต่หลังขบคิดสักพักก็นึกออก ถึงแม้ภายหลังอาจเจอวรยุทธ์ที่ดีกว่า แต่ตอนนี้เป็นช่วงเติบโตด้วยความเร็วสูง ตนในตอนนี้ยังอ่อนแอเล็กจ้อยเกินไป เพียงแต่พอมีพลังป้องกันตัวเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเจอภูตผีที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง นั่นก็ลำบากแล้ว

“เช่นนั้นก็ขอคารวะศิษย์พี่!”

ลู่เซิ่งตัดสินใจ โค้งตัวคำนับประมุขพรรคเฒ่าเหมือน ผลักเขาทองคว่ำเสาหยก

“วางใจ เจ้าจะไม่เสียใจ” ประมุขพรรคเฒ่ายิ้มอย่างเบิกบาน “มา มา มา ตามข้ามา”

ในเมื่อกำหนดสถานะแล้ว หงหมิงจือก็ยินดี พาลู่เซิ่งออกจากสวนดอกไม้ ลงบันไดสองชั้นเข้าไปในสถานที่ที่เหมือนโถงบูชา ซึ่งซ่อนไว้ลับๆ แห่งหนึ่งในเรือวาฬแดง

ในโถงบูชาแขวนภาพหลายแถว ทั้งหมดเป็นภาพเหมือน เป็นคนชราลักษณะต่างกัน มีทั้งบุรุษทั้งสตรี

ประมุขพรรคเฒ่าชี้ภาพเหมือนตรงกลาง กล่าวเบาๆ

นี่เป็นเจ้าสำนักรุ่นก่อนของสำนักอาทิตย์ชาด และเป็นอาจารย์ของเจ้า หัตถ์อาทิตย์แรงกล้าม่อเฟย มา เจ้ามาคำนับภาพเหมือน”

ลู่เซิ่งไม่ปฏิเสธ ในเมื่อเข้าสำนักอีกฝ่าย การคำนับอาจารย์ย่อมเป็นสิ่งสมควร

เขาคุกเข่าบนเบาะกลมโขกศีรษะเก้าครั้งหน้าภาพเหมือนม่อเฟย นี่เป็นพิธีโขกเก้าครั้ง เกิดว่ากราบอาจารย์ หนึ่งวันเป็นอาจารย์เหมือนบิดาตลอดชีวิต ไม่ใช่ของเล่นๆ

เป็นข้อผูกมัดและหน้าที่รับผิดชอบต่ออาจารย์และต่อศิษย์ ถ้าอาจารย์ไม่ตั้งใจสอนศิษย์ เมื่อรั่วไหลออกไปชื่อเสียงป่นปี้ ถูกคนประณาม บารมีลดลงพันจั้ง

และถ้าศิษย์ไม่เคารพกตัญญูต่ออาจารย์ เมื่อแพร่หลายออกไปก็จะถูกชนชาวโลกเหยียดหยามเช่นกัน

คำนับ รินชากราบอาจารย์ จุดธูป เผากระดาษ แล้วปฏิญาณกฎของสำนัก

ลู่เซิ่งขณะทำพิธี ก็รู้จักสำนักอาทิตย์ชาดคร่าวๆ ส่วนหนึ่ง

สำนักอาทิตย์ชาดเป็นค่ายสำนักที่มีทั้งด้านดีและด้านแย่ หนำซ้ำที่แล้วมาสมาชิกมีน้อย ถ่ายทอดลำบากและเป็นความลับ ต่อให้เป็นช่วงรุ่งโรจน์ ในสำนักก็มีไม่เกินสี่คน พรรควาฬแดงก็ไม่ใช่ขุมกำลังขยายอันเป็นบริวารของสำนักอาทิตย์ชาด

พิธีเสร็จสิ้น ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

ลู่เซิ่งเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือเป็นเพื่อนประมุขพรรคเฒ่า ดาดฟ้าเรือของเรือวาฬแดงกว้างใหญ่อย่างยิ่ง ด้านบนหอศาลาลานหลักตั้งตระหง่าน มองไปเหมือนกับเขตเมืองแถบหนึ่ง

ทั้งสองคนค่อยๆ เดินรับลมแม่น้ำบนกราบเรือ ใต้การอารักขาขององครักษ์

“ศิษย์น้องเอ๋ย… ตั้งแต่นี้ไปเจ้านับว่าเป็นคนกันเอง ข้าได้เพิ่มชื่อบนสาสน์สำนักแล้ว สำนักที่มีความสัมพันธ์ที่ดีส่วนหนึ่ง ข้าศิษย์พี่ส่งรายงานไปแล้วเช่นกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้านับว่าเป็นบุคคลสำคัญของพรรควาฬแดง เรื่องบางเรื่องเจ้าก็จำเป็นต้องรู้แล้ว” หงหมิงจือกระแอมสองสามครั้ง ลดเสียงกล่าว

“เรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลขุนนางหรือ” ลู่เซิ่งถามเรียบง่าย

“เจ้าเคยได้ยินมาแล้วหรือ” หงหมิงจือพยักหน้า “ตระกูลขุนนางสูงส่ง นั่นเป็นตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้แต่เกิด พวกเราไม่มีทางเลือก ได้แต่รับไว้และทำตัวให้ชิน เป็นเพราะมีแต่พวกเขาจึงต้านทานมารกับตัวประหลาดได้

“แต่ว่าตระกูลขนุนางแทรกแซงเรื่องทางโลกน้อยยิ่ง ในห้วงสิบกว่าปีบางครั้งค่อยมีข่าวและคำสั่งลงมา ไม่มีเรื่องราวเจ้าก็ไม่ต้องไปคิดถึงพวกเขา

“ข้าศิษย์พี่เพียงให้เจ้ารู้ไว้เท่านั้น โลกใบนี้อันตราย เบื้องหลังผีและปีศาจ มีมารและความประหลาดลี้ลับ พวกเราย่อมไม่ได้ต่อสู้เป็นทัพโดดเดี่ยว”

ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ไม่พูดอะไร เขานึกถึงท่าทีที่ตวนมู่หว่านแสดงออกมาในตอนนั้น ความรู้สึกที่มองสรรพสิ่งเป็นมดปลวกนั้นติดค้างในใจเขามาโดยตลอด

“ไม่ต้องคิดมาก ตระกูลขุนนางมีคนน้อยยิ่ง กระจายอยู่ทั่วต้าซ่งจึงน้อยกว่าเดิม พวกเราสิบกว่าปีเจอได้สักคนก็ถือว่าโชคดีแล้ว” หงหมิงจือยิ้ม

“น้อยปานนี้เลย?” ลู่เซิ่งงุนงง เขาเจอตวนมู่หว่านสองครั้งติดกัน ยังมีเหยียนไคอีกคน จึงนึกว่าตระกูลขุนนางมีอยู่ทุกที่

“น้อยยิ่ง” หงหมิงจือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างเช่นตระกูลเจินที่คุมแดนเหนือของพวกเรา สายตรงของตระกูลขุนนางในตระกูลพวกเขามีแค่สิบกว่าคน หนำซ้ำส่วนใหญ่ออกหาประสบการณ์ไปทั่ว ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ถึงขั้นซ่อนสถานะเล่นเป็นคนธรรมดา แดนเหนือใหญ่มหึมา เมืองใหญ่มากกว่าร้อยเมือง ประชากรเรือนแสนเรือนหมื่น ไหนเลยเจอง่ายขนาดนั้น”

ลู่เซิ่งเข้าใจบ้างแล้ว

“ตระกูลขุนนางสูงส่ง แต่จำนวนคนน้อยนิด ดังนั้นผู้ที่ดูแลทุกสิ่งอย่างแท้จริงยังเป็นราชสำนักกับพวกเราค่ายพรรค” หงหมิงจืออธิบายต่อ “ดังนั้นในความจริงแล้ว อาณาเขตดูแลของพวกเราพรรควาฬแดงจึงกว้างยิ่ง เมืองเลียบคีรีเมืองเฟิง(เมเปิ้ล)เขียว ยังมีเมืองใหญ่อีกหลายเมือง เมืองเล็กสิบกว่าเมือง ต่างเป็นอาณาเขตการดูแลของพวกเรา ปกติพวกเรามีคนไม่น้อยไปอยู่ในเมืองเหล่านั้น ถึงเวลาก็จะส่งรายงานกับทรัพย์สมบัติกลับมา

“ความจริงเป็นเพราะระยะทางค่อนข้างไกล ในเมืองทุกเมืองต่างสร้างหน่วยย่อย เทียบได้กับชุมนุมพรรควาฬแดงขนาดเล็ก ในเวลาส่วนใหญ่ชุมนุมพรรคเหล่านี้จะแยกตัวเป็นเอกเทศ”

“ความหมายของศิษย์พี่คือ…?” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจว่าหงหมิงจือพูดเรื่องเหล่านี้กับเขามีความตั้งใจอะไร

“กล่าวมากมายขนาดนี้ ความจริงเป็นเพราะข้าศิษย์พี่แย่ลงเรื่อยๆ เรื่องราวมากมายต้องให้ศิษย์น้องลงมือ ช่วยเหลือสงเคราะห์มากๆ” หงหมิงจือค่อยๆ ล้วงม้วนผ้าสีเทาที่ประณีตชิ้นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ส่งให้ลู่เซิ่ง

“นี่เป็นวิชาลมปราณแดงฉาน มีตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับเจ็ด จำเป็นต้องฝึกร่วมกับโอสถอาทิตย์ชาด อานุภาพไร้สิ้นสุด ศิษย์น้องเอาไปจะต้องรักษาให้ดี อย่าทำรั่วไหล” หงหมิงจือเอ่ยอย่างจริงจัง

ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย สองมือรีบรับห่อผ้า คลี่ออกมาเล็กน้อย ตัวหนังสือเล็กๆ แน่นขนัดเหมือนตัวริ้นพลันเข้าสู่คลองจักษุ

“แต่ว่าศิษย์พี่ ทำไมคนของสำนักอาทิตย์ชาดของเราน้อยขนาดนี้มาโดยตลอด รับศิษย์สำนักมากๆ ไม่ดีกว่าหรือ” ลู่เซิ่งพลันถาม

“ไม่ใช่พวกเราไม่อยาก หากวิชาเดินลมปราณกำลังภายในล้ำค่าเกินไป เคยปรากฏครั้งหนึ่งที่ในสำนักมีคนทรยศ วิชาเดินลมปราณเกือบรั่วไหล นอกจากนี้วิชาลมปราณแดงฉานของพวกเราจำเป็นต้องมีโอสถอาทิตย์ชาดที่ทำเป็นพิเศษกินร่วมกับการฝึกฝน ไม่อย่างนั้นหากอัคคีหยางมากเกินไป จะลดทอนอายุขัย ร่างกายพร่อง อีกทั้งราคาโอสถอาทิตย์ชาดยังแพงยิ่ง…” พูดถึงตรงนี้ หงหมิงจือบอกความหมายอย่างชัดเจนยิ่งแล้ว

จุดสำคัญของวิชานี้คือโอสถอาทิตย์ชาด โอสถชนิดนี้แพงเกินไป หากคนฝึกวิชานี้มากจะบำรุงไม่ไหว

ลู่เซิ่งพลันกระจ่าง เห็นหงหมิงจือล้วงขวดเล็กๆ สีแดงขวดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อส่งให้ตน

“นี่คือปริมาณโอสถอาทิตย์ชาดที่ต้องใช้ภายในหนึ่งเดือน ศิษย์น้องกินเองได้เลย ไปกันเถอะ ศิษย์พี่จะสอนระดับเบื้องต้นขั้นแรกของวิชาลมปราณแดงฉานแก่เจ้าก่อน” หงหมิงจือไอหลายครั้ง กล่าวเสียงอ่อนโยน

“รบกวนศิษย์พี่แล้ว” ลู่เซิ่งประสานมือกล่าว

“ภายหลังสร้างชื่อให้สำนักอาทิตย์ชาดของพวกเราก็พอ ค่ายสำนักหลักๆ ใกล้พวกเราคือพรรคทรายขาว พรรคดาวเขียว และพรรคดอกเหมย สองพรรคแรกแย่งชิงตลาดการค้าทางเมืองประสานมังกรกับพวกเรา สำนักดอกเหมยขัดแย้งกับพวกเราเรื่องวัตถุดิบยา หุบเขายากับป่าเขาที่สำคัญหลายแห่งเกิดข้อพิพาทไม่น้อย ถึงแม้พรรควาฬแดงของพวกเราจะเป็นค่ายพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ แต่ว่าค่ายสำนักที่เหลือก็ไม่ใช่พวกเป็นมิตร” หงหมิงจืออธิบาย “ศิษย์น้องในฐานะผู้จัดการภารกิจภายนอก เกรงว่าอีกไม่นานจะมีความยุ่งยากหลากหลายแบบส่งมาให้ เมืองเลียบคีรีที่เจ้าดูแลไม่ใช่สถานที่ดีอันใด”

ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง

เขาออกจากเรือวาฬแดง รู้สึกยินดีเหนือคาดหมายอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะได้วิชากำลังภายในลมปราณแดงฉานที่เหี้ยมหาญกว่าวิชาทมิฬพิฆาตมาง่ายดายขนาดนี้

ถึงแม้ว่าบนศีรษะจะเพิ่มชื่อศิษย์สำนักอาทิตย์ชาด ศิษย์พี่ยังเป็นเจ้าสำนักอาทิตย์ชาดคนปัจจุบัน แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีความหมาย และส่งผลไม่มากต่อเขา

กลับกันถ้าค่อยๆ สั่งสมคุณูปการต่อพรรค จากนั้นรอจนแลกวิชากำลังภายในระดับเดียวกับวิชาลมปราณแดงฉานมาได้ ไม่ทราบต้องรอนานขนาดไหน

ถึงขั้นที่ไม่อาจนำวิชากำลังภายในระดับวิชาลมปราณแดงฉานสุดขั้วออกมาจากศาลาประกาศยุทธ์ได้

ตอนลงจากท่าเรือ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ลู่เซิ่งพลิกตัวขึ้นขี่ม้า จากนั้นติดตามพวกนิ่งซาน ต้วนเหมิ่งอัน ยังมีพลพรรคบริวารอีกหลายคน เตรียมกลับเมืองเลียบคีรี

“ผู้จัดการภารกิจภายนอกลู่ดูเหมือนคึกคักยิ่ง เรื่องราวไม่สำเร็จ กลับสมควรได้ประโยชน์ไม่น้อยกระมัง” ตอนนี้เองเสียงสตรีที่กระบิดกระบวนเสียงหนึ่งพลันดังมาจากข้างท่าเรือ

ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนห้อมล้อมสตรีนุ่มนวลแก้มยาวคนหนึ่งเดินมา

สตรีนางนี้ใส่อาภรณ์สีแดง รูปหน้าเป็นทรงแต่งตามมาตรฐาน แต่เป็นเพราะแก้มลึกตอบ ให้ความรู้สึกชั่วร้ายไม่สมบูรณ์ เพราะแบบนี้ต่อให้มีร่างกายโค้งเว้าชัดเจน ก็ทำให้คนไม่เกิดตัณหาใดๆ แม้แต่น้อย

“ท่านคือใคร ทำไมจึงขวางทางข้า” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว

“ข้าน้อยกงซุนจิ้ง” สตรีอาภรณ์แดงกล่าวเย็นชา “ได้ยินชื่อเสียงของผู้จัดการภารกิจภายนอกลู่จากท่านอาหลายครั้งแล้ว”

“กงซุนจิ้งหรือ หลานสาวของกงซุนจางหลานใช่หรือไม่” เขาถาม

“ใช่แล้ว” กงซุนจิ้งตอบเย็นชา

“อย่างนั้นตอนนี้ท่านมาโผล่ด้านหน้าของข้าต้องการอะไร” ลู่เซิ่งมองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อาของท่านตอบรับว่าจะสู้กับข้าแล้วหรือ”

“อะไรนะ” กงซุนจิ้งอึ้ง คล้ายไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ อาของท่านส่งท่านมาให้ข้าทุบตีโดยเฉพาะ ภายหลังเขาจะได้มีข้ออ้างสู้กับข้าอย่างเป็นทางการ ในนิยายก็ใช้วิธีนี้ทั้งนั้นนี่” ลู่เซิ่งพูดแปลกๆ มากขึ้น

“ท่าน!” กงซุนจิ้งพลันโมโห ชี้หน้าจะตำหนิลู่เซิ่ง

“ดูเหมือนไม่ใช่…” ลู่เซิ่งผิดหวังเล็กน้อย ขยับกำปั้น “เช่นนั้น…”

“ข้าจะสังหารท่านก่อน จากนั้นก็ให้อาของท่านมาแก้แค้น!”

ตูม!

พริบตานั้น เขากระทืบเท้าใส่แผ่นไม้บนพื้น เสียงแกร่กดังขึ้น แผ่นไม้หนาบนท่าเรือถูกเขาเหยียบจนถล่มลง

ลู่เซิ่งพลันคลุ้มคลั่ง ร่างเหมือนพยัคฆ์ร้าย กลางอากาศเกิดเสียงพยัคฆ์คำรามปานเสียงฟ้าร้องขึ้นในทันใด

โฮก!

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งก้าวเท้าไปสิบกว่าเก้า กระแทกฝ่ามือใส่ทรวงอกกงซุนจิ้ง

พรู่ด!

กงซุนจิ้งเงยหน้ากระอักเลือด ร่างปลิวออกไป กระแทกเข้ากับชายฉกรรจ์หลายคนที่ด้านหลัง ไถลไปบนพื้นสิบกว่าหมี่จึงค่อยๆ หยุดลง

ไม่ทันแม้แต่จะร้องครวญคราง นางหายใจรวยริน นอนบนพื้น เลือดไหลออกจากปากอย่างต่อเนื่อง

ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่ มองชายฉกรรจ์ที่อยู่กับกงซุนจิ้งรอบๆ คนเหล่านั้นพลันตกใจตัวสั่น รีบหลีกทางก้มหน้าลง

“เจ้าเฒ่าชรากงซุนจางหลานเอาแต่หลบเลี่ยงไม่สู้กับข้า ครั้งนี้ดูว่าเขายังมีเหตุผลอะไรเป็นเต่าหัวหดอีก!”

หลังหัวเราะลั่น ลู่เซิ่งพาพวกต้วนเหมิ่งอันและนิ่งซานขี่ม้าจากไปอย่างผ่าเผย

………………………………………….