ตอนที่ 175 เรื่องราวของหลินจยาอวี่ / ตอนที่ 176 ฟังจือหันที่ถูกยั่วยุ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 175 เรื่องราวของหลินจยาอวี่

 

 

หลินจยาอวี่จ้องหน้าอวี๋กานกานนิ่ง ใบหน้าเย็นชานั้นยังคงไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่ามือทั้งประสานกันแน่นจนนิ้วขึ้นเป็นรอยจ้ำสีแดง เธอเหม่อลอยไปครู่ใหญ่ก่อนจะรวบรวมสติคืนกลับมาได้ ค่อนข้างสับสน “ทะ เธอแน่ใจเหรอ”

 

 

อวี๋กานกานพยักหน้า “ประมาณหนึ่งเดือน”

 

 

ถ้าเธอจำไม่ผิด เหมือนว่าหลินจยาอวี่จะเลิกกับแฟนหนุ่มมาเกือบจะครึ่งปีแล้วนี่นา ถ้าอย่างงั้นนี่เป็นลูกของใครกัน?

 

 

ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ หลินจยาอวี่เซไปเล็กน้อย อวี๋กานกานรีบพุ่งเข้าไปประคอง “จยาอวี่ เธอยังไหวอยู่ไหม”

 

 

หลินจยาอวี่ไม่ไหว เธอไม่ไหวแล้ว แขนทั้งสองข้างของเธอกอดไหล่ตัวเองไว้อย่างแน่นหนา

 

 

อวี๋กานกานเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของหลินจยาอวี่ เธอยื่นแขนออกไปโอบกอดหลินจยาอวี่ไว้ เป็นการปลอบประโลมโดยไม่ต้องพูดจากใดๆ ให้มากความ

 

 

“เธอถามฉันไม่ใช่เหรอว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมยิ้ม” หลินจยาอวี่ขยับมุมปากให้ยกขึ้น แต่กลับยังแข็งเกร็งเหมือนอย่างเคย ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้

 

 

หลินจยาอวี่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าจะเรื่องชาติตระกูล รูปร่างหน้าตา กิริยามารยาทหรือความสามารถล้วนโดดเด่นเป็นเลิศ ทั้งยังไม่เคยได้รับความอัปยศใดๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้พบกับหลีหนานเซิง

 

 

หนานเซิง หนานเซิงเป็นชื่อที่ช่างไพเราะ ตอนที่เรียกขานชื่อนี้ มักจะทำให้หวนนึกถึงมะกล่ำแดงเติบโต ณ แดนใต้ ใบไม้ผลิมาเยือนแตกกิ่งก้าน หวังท่านเก็บผลผลิตให้มากยิ่ง เพราะมันคือสิ่งแทนความคิดถึง[1]

 

 

ด้วยชาติตระกูลของหลินจยาอวี่ หากเธออยากได้อะไรมาครอบครองล้วนไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ด้วยนิสัยของเธอที่เป็นคนเก็บตัว ทำให้เธอไม่ชอบไปแก่งแย่งชิงดีกับใคร เติบโตมาถึงขนาดนี้สิ่งเดียวที่เธอพยายามจะครอบครองและพยายามรักษาไว้อย่างสุดความสามารถ นั่นคือความรักความผูกพันระหว่างเธอกับหลีหนานเซิง

 

 

เพื่อนที่ดีที่สุดของหลินจยาอวี่มีชื่อว่าจางอวี้จือ เธอพาหลีหนานเซิงไปเมืองจิงแนะนำจางอวี้จือให้รู้จัก ทั้งยังพาพวกเขาไปขั้วโลกใต้ด้วยกัน ต้องการให้จางอวี้จือช่วยเธอวิเคราะห์ดูว่าแฟนหนุ่มหลีหนานเซิงคนนี้ของเธอเป็นอย่างไร ผลปรากฏว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ กลับตกหลุมรักหลีหนานเซิงและแย่งเขาไป นั่นเป็นครั้งแรกของเธอที่มีปากมีเสียงกับคนอื่น ครั้งแรกของเธอที่อยากจะเหนี่ยวรั้งความรักครั้งนี้เอาไว้

 

 

แต่กลับ…

 

 

หลินจยาอวี่จำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน ท่ามกลางพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอพูดกับเธอว่า “เรื่องของความรู้สึกเป็นเรื่องที่ฝืนกันไม่ได้ เขาไม่ได้รักเธอ คนที่เขารักคือฉัน”

 

 

และยิ่งไม่มีวันลืมสิ่งที่แฟนหนุ่มของเธอพูดกับเธอ “คุณรู้ไหมว่าตอนที่ผมอยู่กับคุณมันทุกข์ทรมานมาก มันอึดอัดไปหมด จนบางครั้งผมแทบจะหายใจไม่ออก ผมไม่ชอบที่คุณเอาแต่ตามติดผม ไม่ชอบให้คุณมายุ่งวุ่นวายกับผม และยิ่งไม่ชอบรอยยิ้มที่คุณยิ้มให้ผมตอนนี้ เอาแบบนี้แล้วกัน เรามาเลิกกันด้วยดีเถอะ บางทีพวกเราอาจจะยังเป็นเพื่อนกันได้”

 

 

ครั้งแรกที่ตกหลุมรัก ครั้งแรกที่มีแฟน หลินจยาอวี่นึกมาโดยตลอดว่าพวกเขาจะมีรักที่สวยงามเหมือนกับคนอื่นๆ ประสบความสำเร็จเป็นความรักอันสมบูรณ์แบบ เธอให้ใจไปร้อยทั้งร้อย นึกว่าเมื่อให้ไปแล้วจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมา แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า นอกจากจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ กลับคืนมาแล้ว มิหนำซ้ำยังโดนคนรักและเพื่อนที่ดีที่สุดหักหลัง

 

 

วันนั้น ท่ามกลางพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หลินจยาอวี่ยืนนิ่งอยู่นาน นานจนเธอถูกความเย็นกัดจนได้รับบาดเจ็บแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว เธอเข้าผิดใจมาโดยตลอดว่าตนเองเป็นคนใจเย็นมีสติ ต่อให้มีความรักก็ไม่มีทางรักจนชั่วฟ้าดินสลาย ถึงตายก็ไม่แปรเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้ภายหลังเธอต้องช็อกอยู่กับความเจ็บปวดของตนเอง ช็อกอยู่กับความโศกเศร้าอาดูร ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยบอกกับตนเองว่า ‘ก็แค่ผู้ชายคนเดียวเองนี่?’ แต่เธอไม่สามารถลุกฮึดขึ้นมาได้จริงๆ

 

 

สองสามวันก่อนที่เธอจะเข้ารับการรักษากับอวี๋กานกาน เธอไปที่เมืองจิงอีกครั้งหนึ่ง แอบไปดูหลีหนานเซิงและจางอวี้จือ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขหวานแวว

 

 

เธอโศกเศร้าเสียใจ เข้าผับกลายเป็นนางเมรีขี้เมา

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] หนานเซิง พ้องเสียงกับคำว่าแดนใต้ ทำให้หลินจยาอวี่นึกถึงกลอนบทนี้ สมัยก่อนมะกล่ำแดงถูกเรียกว่าเมล็ดคะนึงหาซึ่งเติบโตเฉพาะในภาคใต้ของประเทศจีน โดยกลอนบทนี้ หวังเหวย แต่งให้แก่ หลีกุยเหนียน สหายที่ไปพเนจรในแดนใต้ เพื่อแสดงออกถึงความคิดถึง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 176 ฟังจือหันที่ถูกยั่วยุ

 

 

จนถึงทุกวันนี้หลินจยาอวี่ก็ยังจำไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดในคืนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร จำได้เพียงมีผู้ชายคนหนึ่งทับอยู่บนตัวเธอ หอบหายใจฮืดฮาด ร่างกายของเธออ่อนปวกเปียกไปทุกสัดส่วน ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ทำได้เพียงปล่อยให้ชายคนนั้นทำในสิ่งที่เขาปรารถนา

 

 

เมื่อตื่นเช้ามาหากไม่ใช่เพราะบนเตียงที่ยุ่งเหยิงมีร่องรอยของการร่วมรัก บนผ้าปูที่นอนมีเลือดสีแดงสดสะดุดตา เธอคงนึกว่าตัวเองแค่ฝันฤดูใบไม้ผลิ[1] ไปเท่านั้น

 

 

เธอแสร้งทำเหมือนเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง บังคับตัวเองไม่ให้นึกถึงมันอีก ตอนนั้นเธออยู่ในสภาพโศกเศร้าเสียใจ หมดอาลัยตายอยาก จึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องท้องหรือไม่ท้อง นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงครั้งเดียวก็แจ็กพอตแตก

 

 

เธอกำลังตั้งครรภ์…หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดที่เชื่อมโยงกันให้อวี๋กานกานฟังจบแล้ว หลินจยาอวี่ทอดถอนหายใจยาวเหยียด เหมือนกับว่าเธอได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งออก รู้สึกโล่งสบายไปทั่วทั้งตัวขึ้นมาทันที

 

 

หลินจยาอวี่มองหน้าอวี๋กานกาน กล่าว “ฉันขอบคุณเธอมากจริงๆ นะ กานกาน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ตอนนี้ฉันก็คงยังจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดที่ตนเองสร้างขึ้นมา ทำให้พ่อแม่ที่พวกท่านก็ชรามากแล้วต้องมาเป็นห่วงเป็นกังวล พอตอนนี้มาคิดทบทวนดูแล้ว มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ”

 

 

ช่วงแรกหลินจยาอวี่เล่าด้วยท่าทีที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ราวกับกำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่ จนกระทั่งพูดถึงพ่อแม่ ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำตาหยดใสค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหัวตา รับการรักษามานานถึงขนาดนี้แล้ว หลินจยาอวี่ไม่เคยเล่าถึงสาเหตุที่เธอได้รับบาดเจ็บจากความเย็นเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าในวันนี้จะยอมเล่าออกมาเพราะตั้งครรภ์ก็ตาม แต่อวี๋กานกานรู้สึกว่า ในเมื่อเธอเต็มใจที่จะเล่าออกมาแล้ว นั่นเท่ากับเธอได้ทำการปลดล็อกปมที่อยู่ในใจไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

อวี๋กานกานกุมมือของหลินจยาอวี่ กล่าว “ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล มีใครบ้างที่ไม่เคยเจอผู้ชายเลวๆ  การปล่อยวางต่างหากที่เป็นทางออกที่ฉลาดที่สุด อีกอย่างเธอควรจะดีใจนะ ที่ผู้ชายสาระเลวนั่นไม่ได้อยู่ทำร้ายเธอต่อ ให้เธอได้มีเวลาไปตามหาผู้ชายที่รักและทะนุถนอมเธอ”

 

 

หลินจยาอวี่พยักหน้า “อือ ฉันรู้ ฉะนั้นเด็กคนนี้…ฉันเก็บไว้ไม่ได้” แม้แต่พ่อของเด็กเป็นใครเธอก็ยังไม่รู้ เธอไม่สามารถให้กำเนิดเด็กคนนี้ได้จริงๆ

 

 

หัวคิ้วของอวี๋กานกานมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย “ฉันเคยอ่านประวัติการรักษาของเธอ เลือดของเธอเป็นหมู่อาร์เอชลบ[2]”

 

 

“ใช่ เลือดของฉันเป็นหมู่อาร์เอชลบ ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามหมู่เลือดของฉัน”

 

 

“หมู่เลือดอาร์เอชลบ ด้านการคลอดบุตรไม่มีปัญหา ระหว่างการตั้งครรภ์ให้หมั่นตรวจแอนตี้บอดี และฉีดยาป้องกันการสร้างสารต้านดี เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ว่าหากต้องทำแท้ง มีโอกาสสูงที่หลังจากนี้จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก หรือหากตั้งครรภ์ก็จะมีความเสี่ยงสูง แท้งง่าย เหมือนภาวะแท้งซ้ำซ้อน ถึงแม้จะให้กำเนิดออกมาได้ แต่เด็กก็อาจจะ…”

 

 

หลินจยาอวี่ดวงตาเบิกโต มองหน้าอวี๋กานกานด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

 

 

“โดยปกติแล้วเลือดอาร์เอชลบไม่ควรจะท้องโดยที่ไม่พร้อม เมื่อท้องแล้วจำเป็นต้องคลอด เพราะท้องที่สองและสามมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว เมื่อร่างกายของแม่และทารกในครรภ์เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว มีโอกาสสูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เด็กจะไม่รอดชีวิต ฉะนั้นฉันขอแนะนำเธอให้คิดทบทวนดูให้ดีก่อน”

 

 

ใจจริงของอวี๋กานกานหวังให้หลินจยาอวี่เก็บเด็กเอาไว้ เพราะเธอตรวจชีพจรของหลินจยาอวี่ดูแล้ว สุขภาพร่างกายของเธอไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งปีมานี้ ร่างกายของหลินจยาอวี่เสื่อมสภาพไปมาก แต่ประโยคนี้เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะการตั้งครรภ์นี้หลินจยาอวี่เป็นคนที่ต้องรับภาระ ต้องแล้วแต่หลินจยาอวี่เป็นผู้ตัดสินใจ

 

 

……

 

 

เมื่ออวี๋กานกานแยกตัวจากฟังจือหัน ตู้ซูเหนียนก็เดินเข้ามาหาเรื่องทันที

 

 

ณ สวนดอกไม้หลังงานเลี้ยง ตู้ซูเหนียนเรียกพรรคพวกเป็นชายฉกรรจ์มาด้วยกันสี่คน เตรียมพร้อมรุมสกรัมฟังจือหัน “แกคิดว่าแกเป็นใครวะ กล้ามาแย่งผู้หญิงกับฉัน ถ้าคืนนี้ฉันไม่ได้สั่งสอนแกให้หลาบจำก็อย่ามาเรียกฉันว่าตู้ซูเหนียน!”    

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฝันฤดูใบไม้ผลิ อุปมาถึงความสุขชั่วคราว ในที่นี้หมายถึงฝันเปียก

 

 

[2] หมู่อาร์เอชลบ (Rh-) มนุษย์จะแบ่งหมู่เลือดออกเป็น Rh+ และ Rh- แบ่งโดยโดยสารแอนติเจนที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงคือสาร ‘ดี’ (D antigen) โดยคนที่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นหมู่เลือดอาร์เอชบวก (Rh positive) ส่วนคนที่ไม่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นหมู่เลือดอาร์เอชลบ (Rh negative) โดยทั่วไปหมู่ Rh- จะยังไม่มีสารต้าน D ( anti D) อยู่เดิมแต่จะถูกสร้างขึ้นเมื่อได้รับเลือด Rh+ ซึ่งมีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงหรือตั้งครรภ์บุตรที่มีเลือดอาร์เอชบวก ซึ่งสารต้าน D จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงและเป็นอันตรายได้  ดังนั้นในคนที่มีหมู่เลือด Rh- หากมีเหตุที่จะต้องได้เลือดจึงควรจะได้เลือดหมู่ Rh- เพื่อป้องกันการสร้างสารต้าน D และหากตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่มีสารต้าน D ก็ควรจะฉีดยาป้องกันการสร้างสารต้าน D ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด ส่วนในคนที่มีการสร้างสารต้าน D แล้วก็จะต้องได้รับเฉพาะเลือดอาร์เอชลบเท่านั้น มิฉะนั้นก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้