ตอนที่ 177 อีกด้านหนึ่งของฟังจือหัน / ตอนที่ 178 คำเตือนเนื้อหาต่อไปนี้มีความหวานสูง โปรดระมัดระวัง

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 177 อีกด้านหนึ่งของฟังจือหัน

 

 

ตู้ซูเหนียนแสยะยิ้ม โบกมือออกคำสั่งให้ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนเริ่มลงมือจัดการฟังจือหันได้ ทั้งยังหัวเราะไปด้วยพูดไปด้วย “ถ้าแกยอมคุกเข่าให้ฉันเดี๋ยวนี้ เลียรองเท้าฉันให้สะอาด ฉันอารมณ์ดีแล้วไม่แน่อาจจะยอมปล่อยแกไปก็ได้นะ แต่ถ้าไม่ แกก็ล้างคอรอฉันทำให้แกตายเสียดีกว่าอยู่ได้เลย…”

 

 

ตู้ซูเหนียนพูดอย่างอารมณ์ดี เดินไปทางขวาสองสามก้าวอย่างสบายใจเฉิบ ในตอนที่เขาหมุนตัวกลับมา กลับต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าฟังจือหันฝีมือไม่ธรรมดา เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็จัดการชายฉกรรจ์ทั้งหมดสี่คนล้มกองระเนระนาดอยู่บนพื้นได้หมด

 

 

เส้นเลือดบนหน้าผากของตู้ซูเหนียนปูดโปน ดวงตาเบิกโตด้วยความโกรธเกรี้ยว ชี้ไปที่ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ ด่ากราด “ไอพวกขยะไร้ประโยชน์ สี่รุมหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้”

 

 

ตู้ซูเหนียนคว้าท่อนเหล็กที่อยู่บนพื้น พุ่งเข้าใส่ฟังจือหัน

 

 

ฟังจือหันพลิกฝ่ามือชิงท่อนเหล็กจากมือตู้ซูเหนียน จากนั้นฟาดลงไปที่ศีรษะของตู้ซูเหนียนอย่างแรง

 

 

ตู้ซูเหนียนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด “อ๊ากกก…”

 

 

เฉียวพั่นเอ๋อร์คอยจับตามองตู้ซูเหนียนอยู่ตลอด เมื่อเธอเห็นว่าตู้ซูเหนียนเรียกฟังจือหันออกมาด้านนอก เธอจึงแอบตามออกมาด้วย แรกเริ่มเดิมทีนึกว่าจะได้เห็นภาพฟังจือหันถูกซ้อมอย่างอเนจอนาถ นอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นเหมือนสุนัข จากนั้นเธอค่อยเปิดตัวเดินออกมาอย่างหยิ่งผยอง…แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ชายที่ชื่อฟังจือหันคนนี้จะมีความสามารถด้านการต่อสู้ถึงเพียงนี้ เขาต้องเคยเข้ารับการฝึกอบรมแบบพิเศษมาอย่างแน่นอน การฝึกอบรมที่เหมือนกับพวกหน่วยรบพิเศษ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะเก่งกาจได้ขนาดนี้

 

 

ฟังจือหันออกแรงถีบอย่างโหดเ**้ยมอำมหิต ตู้ซูเหนียนลอยกระเด็นไปชนเข้ากับผนังด้านข้างจนเกิดเสียงดัง ปึง ร้องโอดครวญอย่างอเนจอนาถ เฉียวพั่นเอ๋อร์ที่กำลังแอบดูอยู่ดวงตาของเธอเบิกโพลงอย่างฉับพลัน เกือบร้องกรี๊ดออกมา

 

 

ตู้ซูเหนียนมึนงงไปหมด ร้องโหยหวนไปด้วยด่าไปด้วย “แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แกกล้าทำร้ายฉัน แกตายแน่ ฉันจะทำให้แกเสียใจที่ยังมีชีวิตอยู่” 

 

 

ฟังจือหันปรายตามองตู้ซูเหนียนด้วยหางตา สายตาเย็นยะเยือกราวกับลมหนาวในนับเก้าเหมันต์ จากนั้นหันหลังกลับอย่างไม่แยแส

 

 

ตู้ซูเหนียนจ้องแผ่นหลังของฟังจือหันเขม็ง แววตาอาฆาตมาดร้าย โหดเ**้ยมอำมหิต เขาหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋าหน้าอก คมมีดที่ถูกพับอยู่ดีดออก จากนั้นพุ่งเข้าใส่ฟังจือหัน จู่โจมจากด้านหลัง ตู้ซูเหนียนคิดว่าตนเองต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ทว่าราวกับฟังจือหันมีตาหลัง นัยน์ตาเย็นชาหรี่ลงเล็กน้อย ร่างกายหมุนตวัดอย่างเฉียบคม ยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของตู้ซูเหนียนอย่างคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นบิดแขนไขว้ไว้ด้านหลัง เมื่อมีดหล่นถึงพื้นแล้ว ฟังจือหันกระแทกตู้ซูเหนียนเข้ากับกำแพงอีกหลายครั้งอย่างโหดเ**้ยมอำมหิต

 

 

ตู้ซูเหนียนกระอักออกมาเป็นเลือดสีแดงสด ล้มลงกับพื้นแม้แต่จะส่งเสียงร้องโอดครวญก็ยังไม่สามารถทำได้ ฟังจือหันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดบนมือ จู่ๆ ก็หันศีรษะมองไปทางเฉียวพั่นเอ๋อร์อย่างกะทันหัน สายตาเย็นเยียบทำให้เฉียวพั่นเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว เธอรีบซ่อนตัวทันที

 

 

ไม่ลนลานต่อความหวาดกลัว มีสติเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ขนาดตู้ซูเหนียนจะแทงเขาด้วยมีดจากด้านหลัง สีหน้าของเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน รับมืออย่างสุขุมเยือกเย็น ฟังจือหันมันเป็นใครกันแน่ เฉียวพั่นเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เธอกลัวฟังจือหันจะเดินมาคิดบัญชีกับเธอด้วย

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงหัวเราะสนุกสนานดังลอดออกมาจากงานเลี้ยง ยิ่งตอกย้ำถึงความเงียบงันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวของสวนดอกไม้หลังงานเลี้ยง ฟังจือหันเดินมาหยุดอยู่ตรงตำแหน่งระนาบเดียวกันกับเธอ สายตาเย็นชามองลอดผ่านกระถางดอกไม้ใหญ่ยักษ์ที่กั้นระหว่างพวกเขา

 

 

ร่างกายของเฉียวพั่นเอ๋อร์สั่นเทา เธออยากจะวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้ง ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้

 

 

“ฟังจือหัน” น้ำเสียงไพเราะดังกังวานขึ้น มองเห็นอวี๋กานกานกำลังมองซ้ายแลขวา ก่อนจะเดินเข้ามา สายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งของฟังจือหันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นนุ่มนวล ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอวี๋กานกาน

 

 

“นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

 

 

“ตามหาคุณ”

 

 

“อ๋อ”

 

 

“กลับบ้าน”

 

 

น้ำเสียงของชายหนุ่มเรียบนิ่งราวกับน้ำใสสะอาด ชวนให้รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา ราวกับฝันหนึ่งตื่น 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 178 คำเตือนเนื้อหาต่อไปนี้มีความหวานสูง โปรดระมัดระวัง

 

 

ในตอนที่ฟังจือหันและอวี๋กานกานเดินออกมา เธอมองเห็นเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่ยืนช็อกอยู่หลังกระถางดอกไม้ ใบหน้าซีดเซียว ท่าทางดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

พวกเขาเดินออกจากงานเลี้ยง เมื่อขึ้นรถแล้วอวี๋กานกานถึงเอ่ยปากถามฟังจือหัน “เมื่อกี้นายพูดอะไรกับเฉียวพั่นเอ๋อร์เหรอ”

 

 

ฟังจือหันตอบเสียงเรียบ “ผมเดินผ่านทางนั้น”

 

 

ความหมายของประโยคนี้คือผมไม่ได้พูดอะไร จากสีหน้าท่าทางของเฉียวพั่นเอ๋อร์เมื่อครู่ อวี๋กานกานไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอรู้สึกว่าเฉียวพั่นเอ๋อร์น่าจะอาศัยจังหวะที่เธอไม่อยู่ ฉวยโอกาสมาให้ท่าฟังจือหัน แต่กลับโดนฟังจือหันพูดจาเชือดเฉือนใส่ ฟังจือหันปากร้ายจะตายไป บางครั้งที่เขาต้องการพูดจาเหน็บแนมใคร เขาจะไม่รักษาน้ำใจและไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไป เฉียวพั่นเอ๋อร์เป็นคนหน้าบาง โดนไปประโยคสองประโยคคงสูญเสียความมั่นใจไป แต่ก็ทำได้เพียงต้องโทษตัวเธอเอง ใครให้เธอสิ้นคิดไปยั่วโมโหฟังจือหันเล่า

 

 

ภายในรถเงียบสงัดตลอดทางกลับคอนโด อวี๋กานกานพิงเบาะรถมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอกำลังกลัดกลุ้มเรื่องของหลินจยาอวี่ การตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวายเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าสุดท้ายหลินจยาอวี่จะตัดสินใจเลือกทางไหน ก็ดูเหมือนว่าไม่มีสักทางที่สวยงามสมบูรณ์แบบ ถ้าหากมีทางเลือกที่สามก็คงดี เช่นตามหาพ่อของลูกเจอ ให้เขาและหลินจยาอวี่แต่งงานกันไปก่อน จากนั้นค่อยๆ สานสัมพันธ์กลายเป็นคนรัก แบบนี้จะทั้งได้อยู่ร่วมกันกับคนรัก ทั้งยังมีครอบครัวที่สมบูรณ์ให้ลูก แต่ทว่าชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย เหตุการณ์อันสวยสดงดงามสมบูรณ์แบบนี้ น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เธอเองก็ทำได้เพียงแค่คิด

 

 

จู่ๆ รถยนต์ก็จอดลง อวี๋กานกานมองสำรวจด้านนอก ยังไม่ถึงคอนโด แต่รถจอดอยู่ข้างร้านหม้อไฟร้านหนึ่ง เธอหันไปมองฟังจือหันด้วยความสับสนงุนงง “จอดทำไม นายอยากกินหม้อไฟเหรอ”

 

 

ฟังจือหันไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่จ้องมองหน้าเธอ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอวี๋กานกานมีเพียงความสับสนงุนงง เขาจึงกุมพวงมาลัยเตรียมจะขับออกไปจากที่นี่

 

 

อวี๋กานกานรีบส่งเสียงท้วงทันที “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”

 

 

ฟังจือหันปรายตามองเธอ พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ทำไม คุณอยากกินหม้อไฟเหรอ”

 

 

อวี๋กานกานส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ฉันอยากลงไปซื้อชานมสักแก้ว”

 

 

เธอยังไม่ได้รับประทานอาหารเย็นก็จริง แต่อิ่มจากขนมที่ได้กินในงานเลี้ยงแล้ว ไม่สามารถยัดหม้อไฟลงไปเพิ่มได้อีก แต่ยังเหลือที่ว่างสำหรับชานมหนึ่งแก้ว

 

 

ฟังจือหัน “…” ปกติคนคนนี้ชอบกินหม้อไฟมากแท้ๆ

 

 

อวี๋กานกานลงจากรถซื้อชานมมาสองแก้ว แก้วหนึ่งเย็นอีกแก้วหนึ่งร้อน ตัวเองเธอชอบดื่มแบบเย็น แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นฤดูหนาว เธอคิดว่าฟังจือหันน่าจะอยากดื่มแบบร้อน เธอยื่นชานมส่งให้ฟังจือหัน ฟังจือหันมองหน้าเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบชานมแบบเย็นที่อยู่ในมือของเธออีกข้าง

 

 

อวี๋กานกานมองหน้าฟังจือหันด้วยความประหลาดใจ “อ้าว ที่แท้นายก็ชอบชานมแบบเย็นเหมือนกันเหรอ”

 

 

“อากาศหนาวเกินไป หลังจากนี้ห้ามกินของเย็นตอนฤดูหนาวอีก” เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าดื้อ คุณเป็นผู้ป่วยนะ”

 

 

น้ำเสียงของชายหนุ่มช่างรักใคร่และเอ็นดู อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของความเอาอกเอาใจแฝงไว้อย่างบางเบา

 

 

 อวี๋กานกานได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเธอเต้นโครมคราม เธอดูดชานมจากหลอดคำโตๆ สงบความสั่นไหวที่อยู่ภายในใจ ทว่าหลังจากชานมอุ่นๆ ลงไปอยู่ในท้อง กลับทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม ความจริง เธอไปตรวจซ้ำมาแล้ว ร่างกายหายดีเป็นปกติแล้ว เธอไม่ได้เป็นคนป่วยซะหน่อย

 

 

ภายในรถยนต์อันเงียบเชียบ จู่ๆ ก็มีกลิ่นอายความหวานละมุนเกิดขึ้น เมื่อรถถึงคอนโดและจอดสนิทแล้ว อวี๋กานกานที่จิตใจกำลังว้าวุ่นต้องการรีบลงจากรถ แต่กลับลืมปลดเข็มขัดนิรภัย ทำให้ร่างกายของเธอถูกรั้งให้กลับมานั่งยังตำแหน่งเดิม เธอหันไปเหลือบมองฟังจือหัน ใช้รอยยิ้มปกปิดความลุกลี้ลุกลนของตนเองที่อยู่ในใจ

 

 

นัยน์ตาคู่สวยสีดำสนิทลึกล้ำของฟังจือหัน แฝงไว้ด้วยความรู้สึกขบขัน