เสี่ยวเชี่ยนงง เธอมองอวี๋หมิงหลางเดินจากไป ตอนที่เดินผ่านรถบรรทุกคันนั้นที่ทำเขาเสียเรื่องเขาได้ยื่นเท้าออกไปถีบล้อหนึ่งทีเหมือนเด็กๆ
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนขึ้นรถของพ่ออวี๋แล้ว เธอก็ยังนึกไม่ออกว่าเสี่ยวเฉียงเป็นอะไร
แม่อวี๋นั่งเบาะหลังกับเสี่ยวเชี่ยน พ่ออวี๋นั่งข้างคนขับ ขณะที่แม่อวี๋กำลังจะถามเสี่ยวเชี่ยนเกี่ยวกับอาการของหลี่เจิ้น ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเสี่ยวเชี่ยนก็ดังขึ้น อวี๋หมิงหลางโทรมา
“อยากรักษาก็รักษา ไม่อยากก็ไม่ต้องทำ ขอแค่คุณสบายใจเป็นพอ ถ้าอาหญิงมาขอร้องคุณ จำไว้นะรีดค่ารักษาเยอะๆ เขามีขุมทรัพย์ ไม่ต้องช่วยเขาประหยัด”
“อืม เข้าใจแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนวางสายแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าตกลงเมื่อกี้เสี่ยวเฉียงพูดอะไรกับเธอ ทำไมทำหน้าผิดหวังจนลืมพูดเรื่องนี้กับเธอ แล้วต้องโทรมาบอกตอนขึ้นรถแล้ว?
คนฉลาดอีคิวย่อมสูง ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้วรีบกดส่งข้อความอย่างรวดเร็ว
อวี๋หมิงหลางกำลังจะออกรถ พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนส่งข้อความมาก็กดออกดู มีอยู่สามคำ
ฉันชอบนาย
ประหนึ่งมีสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ดอกไม้ในใจของเสี่ยวเฉียงเบ่งบาน
เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจสุดๆ ทันใดนั้นอาการก็หายดี
เขาอ่านสามคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา เห็นได้ชัดๆว่าเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นมีมาด
พอใจสุดๆ แต่กลับแสร้งทำเป็นพูดพึมพำอย่างเซ็งๆ
“พี่ขาดทุนนะเนี่ย ที่พูดไปน่ะมันคำว่ารัก แต่เธอตอบกลับมาว่าชอบแต่ไม่เป็นไร ลูกผู้ชายต้องยอมให้ผู้หญิง เจอกันครั้งหน้าต้องชดเชยให้ด้วย~”
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว แค่สามคำนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ดอกไม้เบ่งบานเต็มทั้งหัวใจ ฤดูใบไม้ผลิของเขามีชื่อว่าเสียวเหม่ย ซุปเปอร์นางฟ้าแสนสวย
รถของพ่ออวี๋แยกกันไปคนละทางกับรถของอวี๋หมิงหลาง คู่รักทั้งสองคนค่อยๆห่างกันออกไปเรื่อยๆแต่หัวใจของทั้งสองคนเหมือนมีบางอย่างผูกไว้ด้วยกัน ไม่เคยแยกจากกัน
นึกถึงสีหน้าของเขาในเวลานี้ เสี่ยวเชี่ยนก็มีความสุขขึ้นมาทันที เธอมองวิวข้างถนนแล้วรู้สึกรื่นตามากทีเดียว
“เสี่ยวเชี่ยนคิดอะไรอยู่จ๊ะ?” แม่อวี๋ถามเสี่ยวเชี่ยน
“กำลังครุ่นคิดถึงชีวิตคนเราค่ะ”
“เรื่องหลี่เจิ้นเหรอจ๊ะ?”
“ค่ะ ประมาณนั้น ถ้าไม่มีเขาเป็นตัวต้นเหตุ ความสัมพันธ์ของหนูกับอวี๋หมิงหลางอาจไม่พัฒนาไปไวขนาดนี้”
“เด็กคนนี้จะว่าไงดีล่ะ ถือว่าเราเห็นเขาตั้งแต่เด็กจนโตก็ว่าได้ ถึงจะมีนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ใช่คนเลว ตอนนี้เขา…น้ารู้สึกเสียดายจริงๆ”
สิ่งที่แม่อวี๋เป็นกังวลก็คือ กลัวเสี่ยวเชี่ยนจะไม่ยอมรักษาให้หลี่เจิ้น
เมื่อครู่เธอโทรหาศาสตราจารย์หลิวเพื่อนสนิท ลองถามๆดูถึงอาการของหลี่เจิ้นในตอนนี้ แต่ศาสตราจารย์หลิวไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดกับเธอ เพราะศาสตราจารย์หลิวยังไม่เคยเจอโรคที่อาการแบบนี้
แม่อวี๋ไม่ได้พูดอะไรมากกับเพื่อนสนิท และก็ไม่ได้บอกว่าเสี่ยวเชี่ยนรักษาได้ แค่ลองถามๆดูเท่านั้น
เสี่ยวเชี่ยนบอกว่าจิตแพทย์ทั่วไปจะรักษาโดยมองว่าเป็นโรควิตกกังวลหรือไม่ก็โรคซึมเศร้า ศาสตราจารย์หลิวเองก็พูดแบบนั้น แต่อย่างไรเสียนั่นก็หมอเก่ง ตอนวินิจฉัยยังมีเผื่อทางไว้บ้าง โดยบอกว่ายังบอกแน่ชัดไม่ได้ เพราะเคสแบบนี้เธอเจอมาน้อย พูดยาก
“เมื่อเรื่องมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง หากย้อนมองดูก็จะรู้สึกเสียดาย แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมอง บางทีอาจมีประโยชน์อย่างอื่น อาการของหลี่เจิ้นตอนนี้อาจจะดูหนักหนา แต่ถ้าผ่านเรื่องนี้ไป เปลี่ยนแปลงเรื่องบางอย่าง บางทีอาจได้รับประโยชน์อีกอย่างนะคะ”
“ประโยชน์เหรอ?” แม่อวี๋เองปวดหัวกับเรื่องต่างๆที่ประเดประดังเข้ามาจนตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนพูด
“ชีวิตในแบบที่หลายคนพอใจก็คืออย่าได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเลย อยากอยู่อย่างสงบสุข หรือชีวิตในอุดมคติยิ่งกว่านั้นก็คืออยากให้เกิดแต่เรื่องดีๆ ความโชคดีทั้งหมดขอให้มาตกอยู่ที่ตัวเอง แต่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นกลับโหดร้าย คนจำนวนมากทุกวันต้องเผชิญกับความไม่ได้ดั่งใจ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ชีวิตคนเราก็คือปัญหาต่างๆที่มาเรียงร้อยอยู่ด้วยกัน ทำให้คนเราต้องคอยเลือกไม่หยุดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา”
ปัญหาเล็กๆก็เช่น แต่งตัวยังไงดี ไปจนถึงปัญหาใหญ่มีแฟนแบบไหนดี ทุกคนล้วนต้องคอยเลือกทั้งนั้น เลือกแบบไหนก็ได้ผลที่แตกต่าง
เสี่ยวเชี่ยนในชาติที่แล้วเลือกไม่เหมือนกับชาตินี้เลยสักนิด และได้เป็นกำหนดแล้วว่าเป็นโชคชะตาสองแบบในคนๆเดียว เมื่อครู่ที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางเธอก็คิดอะไรได้มากมาย
“นั่นสิ หนูพูดถูกนะ” แม่อวี๋พยักหน้าเห็นด้วย เสี่ยวเชี่ยนมีความคิดที่เปิดกว้าง คล้ายกับคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ
“อาชีพของหนูได้กำหนดให้หนูต้องเจอชีวิตคนที่ ‘น่าเศร้า’ในแต่ละแบบ หากศึกษาให้ลึกขึ้น ทุกคนต่างมีความไม่ได้ดั่งใจของตัวเอง เพียงแต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต่างกัน แต่ความเรื่องจะเล็กหรือใหญ่นี้ใครเป็นคนกำหนด? คุณน้าคะ คุณน้าว่า ความเสียใจที่เกิดจากการที่แฟนไม่ทำตามที่เราต้องการกับความเสียใจของคนที่ต้องสูญเสียแขนอย่างไม่คาดฝัน แบบไหนหนักกว่ากันคะ?”
“แน่สิว่าต้องเป็นคนที่สูญเสียแขนอย่างไม่คาดฝัน”
ขณะที่แม่อวี๋คุยกับเสี่ยวเชี่ยนอยู่นั้นพ่ออวี๋ก็นั่งฟัง แม้แต่คนขับรถยังแบ่งสมาธิมาฟังด้วย
“คนที่สูญเสียแขนคนนั้นหลังจากที่ได้เยียวยาสภาพจิตใจจากผู้เชี่ยวชาญก็ยอมรับในความไม่สมบูรณ์ของตัวเองได้ เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้เท้าช่วยเหลือตัวเอง ใช้ประโยชน์จากร่างกายพิการหงายการ์ดน่าสงสารทำธุรกิจจนร่ำรวย แต่งงานกับผู้หญิงสวยสุขภาพแข็งแรง เขาได้พิสูจน์แล้วว่าขอแค่มีเงินก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ บางช่วงเขาได้อบรมให้กับพนักงานขาย ซึ่งทุกครั้งก็ที่นั่งเต็ม”
“อ๋อ ผมรู้คนที่คุณพูดถึง อาทิตย์ก่อนมีคนให้น้องสาวผมไปฟังเขาพูด บอกว่าสร้างแรงบันดาลใจได้ดี ผมยังสงสัยอยู่เลยว่ามันเป็นงานแบบไหน แต่ก็ไม่กล้าให้น้องสาวไปฟัง”
คนขับรถอินไปด้วย จึงแสดงความคิดเห็นออกมา
พลตรีอวี๋เหลือบมองเขา คนขับจึงรีบอธิบาย
“ผมไม่ให้เขาไป ผมยังสอนเขาเรื่องการปฏิบัติตัวของคนในครอบครัวทหารด้วยครับ”
เสี่ยวเชี่ยนช่วยคนขับแก้ไขสถานการณ์
“คุณไม่ต้องให้เขาไปฟังหรอกค่ะ งานอบรมพวกนี้ค่อนข้างมีอิทธิพล ตอนเพิ่งฟังจบใหม่ๆจะทำให้คนรู้สึกมีพลังอย่างไร้ขีดจำกัด แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว ต่อให้ได้รับการกำลังใจมา แต่พอทำเข้าจริงกลับมีอุปสรรคมากมาย การกระทำกับการดำเนินการรวมถึงทรัพยากรคนตามความคิดที่รวดเร็วไม่ทัน หลายคนต้องเจอกับความล้มเหลว จุดแข็งของการอบรมล้างสมองแบบนี้ก็คือการทำให้คนคิดว่าถ้าทำได้ไม่ดีก็เพราะสาเหตุมาจากตัวเอง ต้องพยายามให้มากกว่านี้ อันที่จริงถ้าดึงหัวใจสำคัญออกมา การอบรมที่สร้างความพยายามกับปณิธานล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าคุณมีความคิดที่จะพยายามแล้ว ไปทำงานอื่นอาจจะดีกว่านี้ ถ้าตัดเรื่องนิสัยส่วนตัวของคนๆนี้ไปมองแค่ความกล้าที่จะเผชิญปัญหาก็ควรค่าแก่การให้คนได้ศึกษานะคะ”
“น้านึกออกแล้ว คนที่หนูพูดถึงเป็นคนไข้ของหลิวหลินหลินไม่ใช่เหรอ มีครั้งหนึ่งหลิวหลินหลินบอกกับน้าว่าถ้ารู้ว่ารักษาแล้วคนๆนี้จะไปหลอกคนมากมายรู้แบบนี้ไม่รักษาให้ดีกว่า”
แม่อวี๋นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนๆนี้อยู่ ถือเป็นบุคคลในตำนานของเมืองนี้ก็ว่าได้
“พวกทำสังคมเสื่อมโทรม หึ” พ่ออวี๋ส่งเสียง หึ ออกมาอย่างไม่แคร์