“ความคิดที่ตัดเรื่องศีลธรรมกับนิสัยส่วนตัวทิ้ง พูดถึงแค่ท่าทีของคนๆนี้ที่มีต่อความโชคร้ายที่มาอย่างกะทันหัน เขามีวันนี้ได้ก็เพราะการใช้ประโยชน์จากความสงสารของคน นี่คือตัวอย่างของคนที่ทำเรื่องร้ายให้เป็นความได้เปรียบ ส่วนผู้หญิงที่เสียใจที่แฟนไม่ทำตามที่เขาต้องการคนนั้นก็เอาแต่ดื้อไม่ยอมแฟน จนสุดท้ายเป็นโรคซึมเศร้าแล้วก็ตายไป ดังนั้นความเศร้าเสียใจมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องมันก็เป็นเรื่อง ถ้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องมันก็ไม่ใช่เรื่อง”
มีใครบ้างที่จะไม่เจอเรื่องร้ายเลยตลอดชีวิต? ไม่มีหรอก เพียงแต่ท่าทีหลังจากเจอเรื่องจะเป็นตัวตัดสินโชคชะตาของสภาพจิตใจเรา
เมื่อกลับถึงบ้านแม่อวี๋ก็นั่งที่โซฟา ยิ่งนึกถึงคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล
“เฮ้อ คนบางคนก็ชอบที่จะดื้อรั้น ยกตัวอย่างเช่นคนๆนั้น” แม่อวี๋รู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ ลากเข้าบทของอาหญิงทันที
“นี่คือจิตใจของเด็กทารก แต่เขาจะเป็นไงก็ไม่เกี่ยวกับหนู หนูรักษาให้หลี่เจิ้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด คุณลุงคุณน้าคะหนูมีเรื่องจะขอร้องสองข้อ หวังว่าคุณลุงคุณน้าจะรับปาก”
“อะไรเหรอ?” พ่ออวี๋ถาม
“ทำธุรกิจอย่างอิสระ กำหนดราคาตามใจ”
พ่ออวี๋ใช้สมองนิดหน่อยก็เข้าใจ
จากความหมายของเสี่ยวเชี่ยน เธอไม่รักษาให้ฟรี ควรจ่ายเท่าไรก็เท่านั้น ไม่ต้องการให้พ่ออวี๋เข้ามายุ่ง
“ได้”
เสี่ยวเชี่ยนคล้ายกับได้เห็นภูเขาทองมาอยู่ในมือ เสี่ยวเฉียงบอกว่าอาหญิงมีเงินเก็บไม่น้อย คาดว่าคงมีบางส่วนที่รีดไถจากแม่อวี๋ไป อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เรื่องที่น้องชายแม่อวี๋ทำธุรกิจอัญมณี คนอย่างอาหญิงที่ขูดรีดพี่ชายกับพี่สะใภ้ได้อย่างไม่กระพริบตาแบบนั้นย่อมไปไถจากแม่อวี๋มาไม่น้อยแน่ เอาไปแล้วก็ใช่ว่าจะคิดว่าเป็นบุญคุณอะไร
เสี่ยวเชี่ยนชอบเอาเปรียบคนแบบนี้ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรอีกฝ่ายยังพูดขอบคุณด้วย
“แล้วอีกข้อคืออะไรเหรอ?”
“หนูไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่หนูรักษาให้หลี่เจิ้นค่ะ พูดตามตรงก็คือตอนนี้บ้านเรายังไม่มีใครที่รักษาโรคนี้ได้จริงๆ หนูเองก็ทำได้เพราะอาจารย์—คนนอกรู้เข้าคงไม่ดี รวมถึงอาจารย์หนูด้วยค่ะ อีกหน่อยก็ไม่ต้องบอกเขานะคะว่าหนูเป็นคนรักษา”
เสี่ยวเชี่ยนพูดจามีศิลปะ และมีระดับมาก
พ่ออวี๋แม่อวี๋เป็นคนที่เข้าใจง่าย เรื่องจึงจบง่าย
เธอพูดแบบนี้พ่ออวี๋แม่อวี๋ก็เข้าใจ ทฤษฎีต่างๆที่เสี่ยวเชี่ยนพูดไปเป็นหัวข้อที่ศาสตราจารย์หลิวกำลังวิจัยอยู่ ยังไม่ได้ประกาศให้คนภายนอกรู้ และตัวศาสตราจารย์หลิวเองก็เป็นคนที่เข้มงวด เรื่องไหนที่ยังไม่มั่นใจไม่มีทางเผยแพร่ออกไปแน่นอน
เสี่ยวเชี่ยนก็ได้แนวคิดมาจากศาสตราจารย์หลิว เธอจึงพอเข้าใจอยู่บ้าง อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับตระกูลอวี๋ เดิมเสี่ยวเชี่ยนจะไม่ออกโรงก็ได้ แต่เพื่อครอบครัวแล้วเธอออกตัวช่วยจะดีกว่า
ครั้นแล้วพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ของเธอก็ได้ทำให้พ่ออวี๋แม่อวี๋ชอบเธอมากกว่าเดิม รู้สึกว่าเด็กคนนี้พึ่งพาได้ มีใจที่เห็นแก่ครอบครัว
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนก็แค่เห็นแก่เงินทองระยิบระยับที่อาหญิงมี การแก้แค้นคนๆหนึ่งอย่างมีชั้นเชิงที่สุดก็คือไม่ควรเอาถึงตาย แต่ต้องขูดรีดเงินออกมาให้ได้มากๆแล้วทำให้คุกเข่าขอร้องเธอให้ได้ ขอร้องเสร็จแล้วยังต้องพูดขอบคุณทั้งน้ำตาอีกด้วย
“แต่เธอมีความมั่นใจเหรอ?” พ่ออวี๋ถามเสี่ยวเชี่ยน
“ยังไงซะสภาพหลี่เจิ้นในตอนนี้ก็เป็นแบบนี้ หนูรักษาไปก่อน หนูไม่ได้สั่งยา ผลอย่างแย่ที่สุดก็คือไม่หาย ไม่มีทางแย่ไปกว่านี้หรอกค่ะ”
ก็จริง ยังจะมีอะไรให้แย่ไปกว่านี้อีก? พ่ออวี๋เห็นด้วยกับคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนอย่างเงียบๆ
“ถ้าหนูรักษาหลี่เจิ้นหาย ต่อไปมีเคสแบบนี้อีกก็ไม่ต้องมาหาหนู แล้วก็ไม่ต้องพูดด้วยว่าหนูเป็นคนรักษาหลี่เจิ้น เพราะนี่เป็นผลงานการวิจัยของอาจารย์ หนูเองก็ทำเพื่อ…คุณลุงคุณน้าเข้าใจนะคะ”
พ่ออวี๋แม่อวี๋พยักหน้า เป็นเด็กดีจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนยิ้ม เธอต้องการเงิน
“ปัญหาคือ อาหญิงจะให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาเหรอ?”
แม่อวี๋รู้จักนิสัยของอาหญิงดี ใช้คำพูดของพ่ออวี๋ก็คือ เนื้อเน่าไปที่ไหนก็เหม็นโฉ่
ถ้าอาหญิงเกลียดเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดง่ายๆแน่
“ไม่เกินสามวันเขาต้องมาขอร้องหนูถึงที่แน่ค่ะ”
เนื่องจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เสี่ยวเชี่ยนจึงไม่กลับมหาวิทยาลัยชั่วคราว แม่อวี๋ให้เสี่ยวเชี่ยนอยู่กินข้าว เดิมเสี่ยวเชี่ยนอยากจะแสดงความเป็นแม่ศรีเรือนของตัวเอง คิดจะเข้าครัวไปช่วยแต่ถูกแม่อวี๋ดันออกมา
พ่ออวี๋กลับที่ทำงานไปแล้ว เสี่ยวเชี่ยนอยู่คนเดียวก็เบื่อ เธอนั่งอยู่ที่โซฟาดูใบปลิวโฆษณาที่พี่ใหญ่ส่งมา เป็นใบปลิวคอนโดใหม่ที่พี่ใหญ่เพิ่งสร้าง
ถ้าขูดรีดแกะตัวอ้วนอย่างอาหญิงเสร็จเงินก็คงพอซื้อสักห้องที่อยู่สูงๆแหละมั้ง? ขอพี่ใหญ่ซื้อราคาคนในสักห้อง ยังไงซะบ้านมีเท่าไรก็ไม่ถือว่าเยอะ
ถ้าไม่ฉวยโอกาสซื้อตอนถูกๆอย่างในตอนนี้แล้วจะซื้อเมื่อไร?
ไม่รู้ว่าในกรุสมบัติของอาหญิงมีอยู่เท่าไร เสี่ยวเชี่ยนลองคำนวณดูซื้อห้องเล็กๆก็คงพอ แต่ถ้าจะซื้อตึกแถวในเมืองก็อาจจะขาดอยู่หน่อย ไม่งั้นก็เพิ่มเงินไปหน่อยแล้วซื้อตึกแถวในเมืองเลย จะได้รอนั่งนับค่าเช่าด้วย
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังคิดอยู่นั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
“เสี่ยวเชี่ยนไปเปิดประตูหน่อยสิจ๊ะ—ใครมาน่ะ?”
“บ้านในเมือง”
“ใครนะ?” แม่อวี๋โผล่หน้าออกมา เธอกับน้าแม่บ้านกำลังยุ่งอยู่ในครัว
“เปล่าค่ะ หนูว่าน่าจะเป็นอาเขยนะคะ”
พอเปิดประตู อาหญิงกับอาเขยก็เดินเข้ามา
อาหญิงพอเข้ามาแล้วก็ยืนตรงหน้าเสี่ยวเชี่ยน ไม่พูดอะไร
แม่อวี๋เช็ดมือที่ผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกมาจากครัว พอเห็นสองสามีภรรยาก็ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ทักทายตามปกติ
“มาได้พอดีเลย อยู่กินข้าวด้วยกันสิ”
รู้กันอยู่แล้วว่าอาหญิงกับอาเขยมาทำไม แต่แม่อวี๋ไม่เริ่มก่อน เห็นน้องสามีทำหน้าลำบากใจแบบนั้นแล้วสะใจดี
ถูกน้องสามีกลั่นแกล้งมาตั้งหลายปี ในที่สุดก็มีวันที่ได้เห็นมาขอร้องคนอื่น
พ่อหลี่ดันตัวอาหญิง ก่อนมาทั้งสองคนตกลงกันไว้แล้ว เรื่องที่อาหญิงก่อไว้ก็ต้องมาจัดการจบด้วยตัวเอง
อาหญิงเห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็ยังคงรู้สึกขัดหูขัดตา แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ วันนี้เธอถามทุกคนมาหมดแล้ว ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนบอก ไม่มีใครรู้จักโรคนี้ แล้วก็ไม่มีใครรับปากว่าจะรักษาได้
ตอนนี้เพื่อลูกชาย เธอทำได้แค่ก้มหัวให้กับเฉินเสี่ยวเชี่ยนคนที่เธอไม่ชอบ
“ช่วยรักษาลูกชายให้ฉันด้วย ขอ…ร้อง”
ก่อนมาอาหญิงได้ถูกสามีเตือนไว้ ถ้าขอร้องให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว จัดการหย่าแล้วเขาจะพาหลี่เจิ้นไปรักษาที่ต่างประเทศ
“ฉันไม่มีใบอนุญาตค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
อาเขยเดินเข้ามาโค้งตัวให้เสี่ยวเชี่ยน “ช่วยลูกชายของฉันด้วยเถอะนะ”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน แกอย่ามาทำเป็นเล่นตัว ฉันสำนึกผิดแล้วแกยังจะเอายังไงอีก” นิสัยอย่างอาหญิง พูดออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนยังทำเล่นตัวก็อดไม่ได้ที่จะโมโห
“ฉันไม่ได้จะเอาไงหรอกค่ะ ฉันไม่อยากรักษาคนโดยไม่มีใบอนุญาต” เสี่ยวเชี่ยนนั่งไขว่ห้างอย่างสง่าแล้วมองเหยียดอาหญิง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าตอนนี้ฉันออกหน้า สักพักก็จะมีคนวิ่งโร่ไปฟ้องอธิการบดีหาว่าฉันรักษาคนโดยไม่มีใบอนุญาต ความผิดนี้มันใหญ่เหลือเกิน ฉันแบกรับไม่ไหว อาเขยไปหาคนอื่นเถอะค่ะ ลองดูว่าพวกเขาจะรักษาได้ไหม”
ถ้าคนอื่นมีทางรักษาก็คงไม่มาหาเสี่ยวเชี่ยน