ภาคที่ 2 บทที่ 84 ปิดบัง

มู่หนานจือ

เฉาเซวียนอายุมากกว่าหลี่เชียนสองปี หลี่เชียนสามารถรับผิดชอบงานเพียงคนเดียวได้แล้ว แต่เฉาเซวียนกลับไม่เห็นกระทั่งลำดับความสำคัญของเรื่องราว เฉาไทเฮาผิดหวังมาก ทว่าเรื่องของจ้าวอี้จำเป็นต้องเข้าใจด้วยสัญชาตญาณ ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ และไม่อาจพูดออกมาอย่างชัดเจนต่อหน้าหลี่เชียนได้ นางจึงจำเป็นต้องเอ่ยกับเฉาเซวียนว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากทำ งั้นก็ช่างเถอะ หลี่เชียน เรื่องนี้เจ้าไปจัดการแล้วกัน!”

 

หลี่เชียนกำลังกลุ้มที่หาโอกาสไปดูเจียงเซี่ยนไม่ได้อยู่พอดี

 

เมื่อวานวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่ววุ่นวายขนาดนั้น ด้วยความฉลาดของนาง ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น วันนี้เช้ามืดเจิ้นกั๋วกงก็ปิดข่าวแล้ว นางมีหัวคิดมากกว่าสตรีทั่วไป ต้องกังวลมากอย่างแน่นอน

 

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปดูนางสักหน่อย นางจะได้ไม่คิดอะไรขึ้นมาด้วยความฟุ้งซ่านและกุเรื่องขึ้นมาอย่างไม่มีมูล

 

หลี่เชียนขานว่า “พ่ะย่ะค่ะ” อย่างนอบน้อม และออกมาจากตำหนักอวี้หลาน

 

แต่เจียงเซี่ยนกลับหิวแทบตายอยู่ที่ตำหนักอี๋อวิ๋น

 

นางรู้สึกว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงแบบท่านหญิงตงหยางและท่านหญิงอู่หยาง จึงอ้างว่าไม่สบาย และมาพิงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือในห้องชา พลางถือน้ำแกงเก๊กฮวยที่ฉิงเค่อแอบต้มให้นาง กินคู่กับถั่วลิสงผัดเปรี้ยวหวานคำเล็กๆ

 

ฉิงเค่อเอ่ยเสียงเบาอยู่ข้างๆ “ท่านหญิง แก้ขัดไปก่อนนะเจ้าคะ ที่นี่หาได้แต่ของพวกนี้ ท่านรองท้องสักหน่อย เดี๋ยวข้าค่อยไปทำของอร่อยมาให้ท่าน”

 

เจียงเซี่ยนกำลังจะตอบ เสียงของซุนเต๋อกงก็ดังมาจากนอกประตู “ท่านหญิงชิงอี๋ คุณหนูใหญ่แห่งจวนจิ้นอันโหว ไม่ใช่ว่าบ่าวกลั่นแกล้งท่านทั้งสองนะขอรับ แต่เพราะท่านทั้งสองทำเช่นนี้ล้ำเส้นไปหน่อยแล้วจริงๆ มีอย่างที่ไหนไทเฮายังไม่เสด็จมาก็เริ่มงานเลี้ยง! ท่านหญิงกับคุณหนูใหญ่ไช่อดทนไว้หน่อยดีกว่า ไม่เห็นท่านหญิงทั้งสอง ฮูหยินกั๋วกงและฮูหยินป๋อทั้งหลายที่ต่างก็รออยู่ในตำหนักข้างหรือขอรับ? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะไม่เป็นผลดีกับท่านหญิงและคุณหนูใหญ่ไช่แม้แต่นิดเดียว ท่านทั้งสองฟังคำเตือนของข้าดีกว่าขอรับ!”

 

“ท่านขันทีพูดจามีเหตุผล” เจียงเซี่ยนได้ยินหานถงซินตอบเสียงหวาน “พวกเรามาหาท่านหญิงเจียหนาน…เมื่อครู่ยังเห็นนางอยู่ที่นี่เลย!”

 

เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็เบ้ปาก

 

ผู้หญิงคนนี้ยังตั้งใจที่จะตามรังควานนางเสียด้วย

 

ให้นางเจอกับซุนเต๋อกงหน่อยแล้วกัน

 

แต่ซุนเต๋อกงเป็นคนที่เข้ากับคนง่ายที่ไหน

 

ท่านหญิงเจียหนานเขาไม่กล้ายุ่ง ทว่าท่านหญิงเล็กๆ ที่อย่างไรก็ไม่มีสิทธิได้เป็นฮองเฮา เขาหรือจะเกรงกลัว!

 

เจียงเซี่ยนได้ยินซุนเต๋อกงหัวเราะเยาะครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงแหลมว่า “โธ่ ท่านหญิงของข้า ท่านหญิงเจียหนานร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก นี่เป็นสิ่งที่รู้กันทั้งในและนอกวัง ช่วงที่ไทเฮาสำเร็จราชการแทน มื้ออาหารวันสิ้นปีของทุกปีที่คนอื่นต้องอยู่เป็นเพื่อนจนถึงที่สุด ไทเฮายังทรงอนุญาตให้ท่านหญิงเจียหนานสามารถออกจากงานเลี้ยงกลางคันได้ ถึงแม้เวลานี้ไทเฮาจะไม่ว่าราชการหลังม่านแล้ว แต่ก็ทรงเป็นฮองไทเฮาอยู่ดี เรื่องที่ไทเฮาทรงอนุญาตแล้ว ข้ายังกล้าข้ามหน้าข้ามตาไทเฮางั้นหรือ? ท่านหญิงเจียหนานอยู่ที่ไหน ข้าจะรู้ได้อย่างไร? หากท่านหญิงยืนกรานที่จะหา งั้นก็ตั้งใจหาให้ดี หากหาไม่เจอจะได้ไม่บอกว่าข้าขัดขวางท่าน” เขาเอ่ยจบก็ตะโกนเรียกชื่อขันทีคนหนึ่งเสียงดัง “ไป บอกท่านหญิงตงหยางกับฮูหยินจิ้นอันโหว ว่าท่านหญิงกับคุณหนูใหญ่ไช่ไปหาท่านหญิงเจียหนานแล้ว พวกบ่าวรับใช้ขวางไว้ไม่ได้ อีกเดี๋ยวตอนเริ่มงานเลี้ยงยังต้องเก็บที่ไว้ให้ท่านหญิงกับคุณหนูใหญ่ไช่หรือไม่?”

 

ขันทีขานรับเสียงดัง

 

หานถงซินโกรธจนกระทืบเท้าตลอด

 

มีคนหัวเราะอยู่หลังหน้าต่าง และเอ่ยว่า “ข้าว่าคนในวังของพวกท่านชอบพูดจาเยาะเย้ยคนอื่นแบบที่ภายนอกด่าคนนี้ ความจริงด่าคนนั้น ยิ่งเป็นหัวหน้าขันที ยิ่งปากร้าย”

 

เสียงนั้นสดใสและมีความสุขเหมือนน้ำแร่ที่ไหลลงมาจากภูเขา

 

เจียงเซี่ยนหันกลับไปก็เห็นหลี่เชียนยืนยิ้มตาหยีอยู่นอกหน้าต่างที่ฉลุลาย นัยน์ตาสดใสเปล่งประกายวิบวับ

 

เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้ และมองเขาหัวจรดเท้า

 

เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน บนหน้าและบนมือต่างไม่มีรอยแผลอะไร ดูท่าทางสบายดี

 

“ในวังของพวกเราอะไรกัน?” เจียงเซี่ยนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเบาบาง แล้วเอ่ยว่า “พูดเหมือนเจ้าไม่ใช่คนในวังนี้ ดูท่าทางเจ้าคงจะพบเฉาไทเฮาแล้ว ไทเฮาต้องเก็บเจ้าไว้ข้างกายแน่ ไทเฮาไม่ได้ตรัสว่าให้เจ้าไปรับใช้ที่ไหนหรือ? เวลานี้เจ้าไม่ติดตามอยู่ข้างกายไทเฮา ไทเฮาให้เจ้าไปทำอะไร?”

 

หลี่เชียนหัวเราะคิกคัก แล้วจู่ๆ ก็โน้มตัวมาข้างหน้า พลางตอบไม่ตรงคำถามว่า “ท่านจะกลับไปวันนี้หรือ?”

 

เจียงเซี่ยนตกใจมาก นางเผลอถอยหลังสองก้าวอย่างลืมตัว และพบว่าหลี่เชียนเพียงแค่อยากคุยกับนางโดยไม่ให้คนนอกรู้เท่านั้นถึงโน้มตัวมา นางรู้สึกหน้าร้อนจี๋ขึ้นมาทันที และเอ่ยอย่างแข็งนอกอ่อนในว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”

 

หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าต้องไปทำงานให้เฉาไทเฮา ตอนนี้ไม่ว่างเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด กว่าข้าจะกลับมา ท่านคงจะกลับวังแล้ว เรื่องที่เต๋อฮุย วันหลังข้าว่างแล้วค่อยเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด ข้ามาก็เพื่อมาบอกท่านว่า จนถึงตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ฝ่าบาทรับปากให้เฉาไทเฮาอยู่บำรุงพระวรกายที่ภูเขาวั่นโซ่ว ต่อไปในวังไทฮองไทเฮาก็เป็นผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดแล้ว และท่านก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงเฉาไทเฮาแล้วเช่นกัน”

 

เจียงเซี่ยนรู้สึกตกใจ และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทรับปากให้เฉาไทเฮาอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วหรือ?”

 

หลี่เชียนพยักหน้า และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาทยังรับปากเฉาไทเฮาว่าองครักษ์ที่ภูเขาวั่นโซ่วไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ ทหารหน่วยที่เฉาไทเฮาเลือกจะรับหน้าที่เป็นองครักษ์ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ข้าส่งคนไปพบเจิ้นกั๋วกงแล้ว ขอให้เขาเมตตาเรื่องที่เฉาไทเฮาขอ”

 

คิดไม่ถึงจริงๆ!

 

เฉาไทเฮาเก่งกว่าที่นางคิดเสียอีก!

 

ไม่รู้ว่าต่อไปจ้าวอี้จะควบคุมเฉาไทเฮาได้หรือไม่

 

แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแผนการที่นางเก็บเฉาไทเฮาไว้นี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่สามารถกู้สถานการณ์ได้เพราะความไร้ความสามารถของจ้าวอี้หรือไม่

 

เจียงเซี่ยนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

 

หลี่เชียนที่ความรู้สึกไวรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของนางทันที จึงอดที่จะปลอบใจนางไม่ได้ “ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพยายามของคน พวกเราสองตระกูลจะต้องไม่เป็นไร”

 

ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นไร ทว่าจะดิ้นรนหาทางรอดท่ามกลางช่องว่างอันคับแคบ จนกลายเป็นแข็งแกร่งและทรงอำนาจมากขึ้น

 

เจียงเซี่ยนไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับหลี่เชียน การเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องเหล่านั้นในชาติก่อน

 

นางถือโอกาสถามถึงงานที่เฉาไทเฮาสั่งให้ไปทำ “…ให้เจ้าไปทำอะไร?”

 

หลี่เชียนยิ้มและตอบว่า “แค่พวกเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!”

 

เจียงเซี่ยนไม่พอใจมาก

 

เมื่อก่อนหลี่เชียนก็เป็นแบบนี้ เรื่องที่ไม่อยากให้นางรู้ก็บอกอย่างขอไปทีว่าเป็นพวกเรื่องเล็กน้อย

 

นางเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้ารู้สึกสนุกที่ได้ปั่นหัวข้าแบบนี้หรือ?”

 

หลี่เชียนคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เจียงเซี่ยนจะโกรธขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังคงตัดสินใจไม่บอกเจียงเซี่ยน

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรจริงๆ” เขาไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด “เฉาไทเฮาให้ข้าฉวยโอกาสตอนที่ฝ่าบาทกำลังดีใจแอบออกไปทำงานให้นาง…”

 

เจียงเซี่ยนมองท่าทางของหลี่เชียน แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้ จึงโพล่งออกไปแทรกคำพูดของเขา “เฉาไทเฮาให้เจ้าแอบไปพาคนสกุลฟางมาอยู่กับนางที่ภูเขาวั่นโซ่วใช่หรือไม่?”

 

หลี่เชียนแปลกใจ

 

เจียงเซี่ยนโกรธเป็นอย่างมาก และเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ไม่เคยเจอคนสกุลฟางเสียหน่อย ไม่รู้ว่าตอนนั้นสถานการณ์จะเป็นอย่างไร จะปิดบังข้าทำไม?”

 

หลี่เชียนเอ่ยอย่างลังเลว่า “ฝ่าบาทยังไม่ทราบว่าเฉาไทเฮาจะลงมือกับแม่นมฟาง ข้ารู้ว่าท่านรำคาญนางมาก ถึงเวลานั้นข้ามีวิธีของตนเองที่จะทำให้นางตายอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือเฉาไทเฮาก็สืบไม่เจอ…”

 

เจียงเซี่ยนแทบอยากจะกินหลี่เชียนให้หมดในคำเดียว

 

ทำไมเขาถึงชอบทำลายงานของนางอยู่เรื่อย?!

 

นางวางแผนมานานขนาดนี้ กว่าเฉาไทเฮาจะติดกับก็ไม่ง่ายเลย แต่หลี่เชียนกลับคิดว่าตนเองทำถูกต้องและจะลอบสังหารคนสกุลฟางโดยไม่ให้ใครรู้…นางทำกรรมอะไรไว้กันแน่!

 

เจียงเซี่ยนทนไม่ไหวจึงโมโหใส่หลี่เชียน “ข้าให้เจ้าฆ่าคนสกุลฟางหรือ? ทำไมเจ้าชอบทำอะไรเองคนเดียวโดยไม่ปรึกษาข้าเลย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าลงแรงไปมากแค่ไหนกว่าจะส่งคนสกุลฟางไปอยู่กับเฉาไทเฮาได้ หากเจ้าฆ่านาง ข้าจะใช้อะไรเปิดเผยจุดอ่อนของจ้าวอี้?”

 

———————