คนฉลาดอย่างหลี่เชียน พอได้ยินน้ำเสียงของเจียงเซี่ยนแล้ว สมองก็แล่นแล้วแล่นอีกอย่างรวดเร็ว แล้วก็เข้าใจความหมายของเจียงเซี่ยนทันที แต่เขายังคงกลัวความใจกล้าของเจียงเซี่ยนมาก จึงอดที่จะร้องอย่างตกใจไม่ได้ “ท่าน…นี่ท่าน…” หลังจากนั้นก็นึกได้ว่าตนเองยังยืนอยู่ข้างหน้าต่างฉลุลายด้านหลังห้องชาของตำหนักอี๋อวิ๋น จึงลดเสียงลงอีกครั้ง และเอ่ยว่า “นี่ท่านคิดจะส่งจุดอ่อนให้เฉาไทเฮา ให้เฉาไทเฮาควบคุมฝ่าบาทได้ง่ายในภายภาคหน้าหรือ? แต่ฝ่าบาทคงจะไม่โง่ขนาดนั้นกระมัง? บีบบังคับไป เพียงแค่ฝ่าบาทยืนกรานปฏิเสธ เฉาไทเฮาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน? ไม่แน่ความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับเฉาไทเฮาอาจจะยิ่งตึงเครียดขึ้นเพราะเรื่องนี้ ทำให้ฝ่าบาทคิดจะฆ่าเฉาไทเฮาขึ้นมา…”
ดังนั้นเด็กคนนี้จำเป็นต้องมีชื่ออยู่ในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์ นางต้องคิดหาทางส่งซ่งเสียนอี๋ไปอยู่กับเฉาไทเฮาให้ได้
ทว่าเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องบอกหลี่เชียน
เขาเป็นแม่ทัพโดยกำเนิดใยเล่าจะเข้าใจความบาดหมางของสตรี ต่อให้ใช้แผนการก็เป็นแผนการที่เปิดเผยเช่นกัน
เรื่องพวกนี้ของนางล้วนเป็นสิ่งที่มีแต่สตรีเท่านั้นจะเข้าถึงได้
“นี่ก็เป็นเรื่องที่เฉาไทเฮาต้องกังวลแล้ว” เจียงเซี่ยนเห็นหลี่เชียนเข้าใจทันที ความโกรธก็ลดลงไปเกินครึ่งเช่นกัน ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงแข็งกระด้างเช่นเดิม ทว่านัยน์ตาอ่อนแสงลงกว่าเมื่อครู่ที่เหมือนจะพ่นไฟออกมาจากดวงตา “เจ้าแค่ทำงานตามคำสั่งของเฉาไทเฮาก็พอแล้ว” พอนึกถึงความบ้าดีเดือดของเขา ก็อดที่จะกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ “ต่อไปเจ้าช่วยหาเรื่องมาให้ข้าน้อยๆ หน่อยได้หรือไม่ เจ้าลองคิดเรื่องวันนี้ดู หากพวกเราไม่ได้บังเอิญเจอกัน แล้วเจ้ากำจัดคนสกุลฟางไปโดยไม่บอกกล่าว ข้าจะไม่เสียแรงเปล่างั้นหรือ? นี่เจ้าไม่ได้ช่วยข้า แต่เจ้ากำลังหาเรื่องให้ข้า และขัดแข้งขัดขาข้าต่างหาก!”
อันที่จริงไม่ได้บังเอิญเจอกันรู้หรือไม่?
ความคิดของหลี่เชียนจดจ่ออยู่กับคำพูดนี้ของเจียงเซี่ยนอย่างน่าประหลาด และเถียงว่า “ข้าตั้งใจมาหา…”
ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือความบังเอิญ เรื่องนี้ก็เกือบจะไปในทิศทางตรงข้าม และหลุดพ้นจากการควบคุมของนางแล้ว
นี่ทำให้เจียงเซี่ยนไม่พอใจมาก และรู้สึกไม่ปลอดภัย
นางโบกมือให้หลี่เชียนอย่างรังเกียจ และเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้วทั้งนั้น เจ้าแค่บอกข้าว่า ต่อไปมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวพันถึงข้าอีก บอกข้าสักหน่อยแล้วค่อยลงมือได้หรือไม่ก็พอแล้ว!”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลี่เชียนรับปากอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย ผู้หญิงอย่างนาง ต่อให้มีแผนการแค่ไหน ไม่มีคนช่วยก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เรื่องบางเรื่องที่เขาควรจะบอกนางก็ต้องบอกนางอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ไม่ควรบอกนางก็จะปิดบังไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่เขาต้องใช้ความคิดให้มากขึ้น และอย่าทำลายงานของนางก็พอแล้ว “ต่อไปข้ามีเรื่องอะไรก็จะบอกท่าน”
‘ต่อไปมีเรื่องอะไร’ อะไรกัน นางแค่อยากให้เขาบอกนางเรื่องที่เกี่ยวพันถึงนางเท่านั้น…ทว่าหากนางจริงจังกับคำพูดของหลี่เชียนมากเกินไปต่อไป และเขาสามารถพูดจาให้คนโกรธแทบตายอย่างไม่มีเหตุผลได้มากมาย สุดท้ายอ้อมไปอ้อมมา นางก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม
นางมีบทเรียนแล้ว คิดแล้วก็รู้สึกเหนื่อย ถึงแม้จะรู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่เข้าหู แต่ก็ขี้เกียจที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้วเช่นกัน จึงพยักหน้าไปส่งๆ
หลี่เชียนเข้ามาใกล้เหมือนจะซุบซิบ และถามนางเสียงเบา “ท่านไม่คิดจะแต่งงานกับฝ่าบาทแล้วใช่หรือไม่?”
นางบอกว่าตนเองจะแต่งงานกับจ้าวอี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เจียงเซี่ยนเบิกตาโต
หลี่เชียนรีบอธิบายว่า “ข้าคิดเช่นนี้ ไม่งั้นท่านก็คงจะไม่จัดการแม่นมฟางแบบนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกคนแรกของฝ่าบาท ไม่ว่าจะคลอดออกมาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ทำให้ท่านเสียหน้ามากทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าบาทยังวางตัวเป็นเพื่อนเล่นกับท่านมาตั้งแต่เด็กด้วย…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ สายตาที่เขามองเจียงเซี่ยนก็แปลกไปเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนเกลียดเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมาก สายตาฉายแววไม่สบอารมณ์
“ข้ากำลังคิดว่าสาเหตุที่เจิ้นกั๋วกงยอมสนับสนุนฝ่าบาท คงจะไม่ใช่เพราะฝ่าบาทสัญญากับเจิ้นกั๋วกงว่าจะแต่งงานกับท่านหลังจากทำงานสำเร็จใช่หรือไม่?” กว่าหลี่เชียนจะหาโอกาสได้สักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงคิดว่าถามให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า ส่วนทำไมต้องถามให้ชัดเจนนั้น เขาแค่รู้สึกว่าตนเองเพียงทำไปตามความต้องการของเจียงเซี่ยน จะได้ไม่ผิดพลาดอีกครั้ง
เจียงเซี่ยนปรายตามามองหลี่เชียน และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว!”
หลี่เชียนรู้ว่าเวลานี้ตนเองควรจะหยุดแค่พอหอมปากหอมคอ แต่เขาก็ยังยับยั้งความปรารถนาที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจไว้ไม่ได้ จึงต้องสืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุด “ข้าคงจะไม่ได้เดาถูกแล้วใช่หรือไม่? งั้นตระกูลเจียงจะไม่เสียเปรียบงั้นหรือ? เจิ้นกั๋วกงได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ต่อไปอีกก็เป็นได้เพียงซานกงกับซานกู[1]แล้ว ข้าคิดว่าด้วยนิสัยของเจิ้นกั๋วกง น่าจะไม่อยากให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญขนาดนั้นกระมัง?” เขาเอ่ยพลางพึมพำว่า “ข้าก็ว่า ทำไมตอนนั้นที่เฉาไทเฮาโต้คารมกับเหล่าขุนนาง เจิ้นกั๋วกงถึงได้หลีกเลี่ยงที่จะพูด เขาต้องกลัวว่าตนเองจะเด่นเกินไปอย่างแน่นอน แล้วตอนที่ให้รางวัลตามความดีความชอบก็จะจัดการยาก อยากเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจิ้นกั๋วกงด้วยตาตนเองจริงๆ เลย! เขาต้องสู้กับเฉาไทเฮาได้อย่างสูสีแน่…ไม่แน่อาจจะเก่งกาจกว่าเฉาไทเฮาด้วยซ้ำ…”
เจียงเซี่ยนหายใจติดขัด
ถือว่าหลี่เชียนพูดแทงใจดำนางแล้ว
ชาติก่อนจ้าวอี้ก็ทำตัวคลุมเครือแบบนี้ ลุงของนางไม่อาจบอกอะไรนางได้ เพราะชายหญิงต่างกันและความแตกต่างของลำดับศักดิ์ ทำให้จ้าวอี้ฉวยโอกาสลงมือได้
แต่นางก็แปลกใจเช่นกัน คุยกับหลี่เชียนไปเรื่อยๆ ก็นอกเรื่องไปไกลอีกแล้ว!
นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามหลี่เชียน “เจ้ามาทำอะไรกันแน่?”
“ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ทำอะไร!” หลี่เชียนเผลอตอบไปอย่างลืมตัว รู้สึกประหม่าอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน “ก็แค่มาดูท่านหน่อย กลัวว่าท่านไม่รู้อะไรเลยแล้วจะกังวล…”
ความโกรธหายไปจากใบหน้าของเจียงเซี่ยน
เขารู้ใจนาง
ชาติก่อนหลังจากนางรู้เรื่องของจ้าวอี้กับคนสกุลฟางก็กังวลมากมาโดยตลอด รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของจ้าวอี้กับคนสกุลฟางเพียงฝ่ายเดียว ตนเองปกป้องกระทั่งชะตาชีวิตของตนเองไว้ไม่ได้ก็เป็นคนไร้ความสามารถเช่นกัน นางจึงติดนิสัยที่ต้องควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในกำมือ ไม่งั้นก็ไม่สบายใจ
นางคิดว่าด้วยนิสัยของท่านลุงกับเจียงลวี่ต่างไม่น่าจะเล่าให้นางฟังอย่างละเอียดว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักเต๋อฮุยกันแน่ นางจึงตัดสินใจค่อยหาเวลาพบหลี่เชียน “ทางข้าไม่เป็นไร เจ้ามีธุระก็ไปทำธุระของเจ้าก่อนเถอะ ไว้เจ้าว่างแล้ว พวกเราค่อยพบกัน แล้วเจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักเต๋อฮุยกันแน่”
หลี่เชียนตอบ “อืม” เห็นว่าสายแล้วจริงๆ กลัวว่าจ้าวอี้จะไหวตัวทันและส่งคนไปรับคนสกุลฟางไปก่อน และหากเขาไม่อาจให้คำอธิบายกับเจียงเซี่ยนได้ ก็จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ แม้จะอยากคุยกับเจียงเซี่ยนต่อ ทว่าก็ยังคงบอกลาเจียงเซี่ยนอย่างจริงจัง “ช่วงนี้ข้าคงต้องยุ่งมากไปสักระยะ และเกรงว่าช่วงนี้เฉาไทเฮาอาจจะระแวงเป็นพิเศษ ข้ามีโอกาสแล้วจะมาหาท่าน”
บอกเจียงเซี่ยนทางอ้อมว่าอย่าส่งคนไปหาเขา
“ข้าเข้าใจ!” เจียงเซี่ยนบอกลาเขา
หลี่เชียนจ้องเจียงเซี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันตัวไปทางป่าข้างๆ
เจียงเซี่ยนมองแผ่นหลังที่ยืดตรงของเขา แล้วก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง จึงเรียกเขาไว้อีกครั้ง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ถึงเจ้าจะอยู่ข้างกายเฉาไทเฮา ก็ต้องระวังอย่าล่วงเกินฝ่าบาทมากนัก เขาเป็นคนใจแคบมาก เรื่องของคนสกุลฟางก็จัดการอย่างเงียบเชียบเหมือนที่เจ้าบอกจะดีที่สุด อย่าให้ฝ่าบาทรู้ว่าเป็นฝีมือเจ้า”
ไม่ว่าฮ่องเต้จะแย่แค่ไหน ก็เป็นพี่ชาย เป็นญาติ และเป็นคนในครอบครัวของเจียงเซี่ยนเช่นกัน
ทว่านางกลับเป็นห่วงแต่เขา…
บางสิ่งบางอย่างกระแทกเข้าไปที่อกของหลี่เชียนอย่างแรง ทำให้เขามึนงงจนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว และรู้สึกทั้งเศร้าและสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ
————————————
[1] ซานกู ตำแหน่งขุนนางที่ช่วยฮ่องเต้บริหารราชการแผ่นดิน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ เซ่าซือ เซ่าฟู่ เซ่าเป่า โดยมีฐานะรองจากซานกง