อวิ๋นหว่านถงโน้มตัวคารวะ พลางแอบสำรวจมององค์ชายสามที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
แม้อายุไล่เลี่ยกับเหล่าคุณชายในตึกไจซิง แต่การเป็นเชื้อพระวงศ์ อย่างไรก็มีความสูงส่งที่บอกไม่ถูก แล้วใบหน้าเล็กๆ ที่บานดั่งดอกชบาก็แดงขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเทียบกับรัชทายาท ย่อมไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมีบุคลิกเฉพาะตัว แต่อวิ๋นหว่านถงเคยถูกรัชทายาทข่มเหงมาก่อน จึงรู้สึกว่ารัชทายาทเป็นคนหลุดโลก พึ่งพาไม่ค่อยได้ ตอนนี้แนวโน้มจึงมาทางองค์ชายสามมากกว่า
“เมื่อครู่ มีคุณชายสูงศักดิ์มาสืบเรื่องคุณหนูบ้านเจ้ากี่คน”
เสียงทำลายความเงียบของชายหนุ่มไม่เบาแต่ก็ไม่ดัง ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว
อวิ๋นหว่านถงแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าที่ชายหนุ่มเรียกตนมา เพียงเพื่อถามเรื่องนี้ จึงทบทวนสักพัก ค่อยตอบด้วยเสียงนุ่มนิ่มนอบน้อม
“ราวหกเจ็ดคนเพคะ”
ดวงตาซย่าโหวซื่อถิงเหม่อลอย นิ่งไปสักพัก ค่อยว่า “แล้วคุณหนูบ้านเจ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร”
อวิ๋นหว่านถงมองไม่ออกจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร จึงพูดอ้ำๆ อึ้งๆ
“ยังไม่มีเพคะ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ…
พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าที่ตึงเครียดของชายหนุ่มผ่อนคลายลง คล้ายพอใจยิ่ง จึงพูดเสียงเบา
“หรือต่อให้มีปฏิกิริยาก็ไม่ทันแล้ว เด็กรับใช้ของพวกคุณชายที่อยู่ชั้นล่างเพิ่งถามไถ่ได้ไม่กี่คำ ก็มีคนในวังมาเรียกคุณชายเหล่านั้นออกไปก่อน…”
สีหน้าชายหนุ่มพลันเปลี่ยน อวิ๋นหว่านถงจึงรีบกลืนคำพูดลงไป ไม่กล้าพูดมากอีก
ความจริง พูดแค่ประโยคแรกก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดประโยคหลังหรอก ทำให้นายท่านอึดอัดใจไปเปล่าๆ ซือเหยาอันส่ายหน้า
เงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน อวิ๋นหว่านถงก็ยังไม่กล้าหายใจแรง ชายหนุ่มตรงหน้าจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด
“มีคุณชายบ้านไหนบ้าง บอกชื่อหรือตำแหน่งของคนที่บ้านพวกเขามาหน่อย”
ทำไมถึงเหมือนผู้ว่าการอำเภอกำลังสอบสวนผู้กระทำความผิดร้ายแรงไปได้ แถมยังให้บอกชื่อด้วย ลำบากใจจะตาย! อวิ๋นหว่านถงตะลึงงัน ใครจะไปจำได้หมด จึงกัดริมฝีปาก ร่างสั่นน้อยๆ
“จำ จำไม่ได้หมดเพคะ เหมือนมีซุนจวิ้นอ๋อง เจี่ยงซื่อจื่อ…”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางกลัวจนตัวสั่น ท่าทางอ่อนปวกเปียก ถ้าลมพัดมา ตัวคงปลิว ไม่เหมือนสาวใช้ที่ทำอะไรคล่องแคล่วว่องไว ตรงไปตรงมา กลับเหมือนคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม โดยแม้แต่ชื่อของคนในตระกูลดังๆ ก็ยังจำไม่ค่อยได้ จึงรู้สึกสะทกสะท้อนใจ
ซือเหยาอันมองออกว่านายเริ่มไม่พอใจ จึงหันไปพูดกับอวิ๋นหว่านถงพลางขมวดคิ้ว
“เป็นสาวใช้อย่างไรกัน เสียดายที่สกุลอวิ๋นให้เจ้ามารับใช้คุณหนู แค่ตอบคำถามก็ยังตอบไม่ได้”
อวิ๋นหว่านถงรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง กลัวจะถูกลงโทษก็กลัว แต่พอเห็นความหล่อและองอาจของชายหนุ่มตรงหน้า ก็นึกถึงคำพูดที่อนุฟางกำชับก่อนจะมาว่า ให้เปิดเผยตัวตนออกไป พร้อมกับบีบน้ำตาให้มากเข้าไว้
“ใต้เท้าสายตาแหลมคมมาก เพราะจริงๆ แล้วหม่อมฉันไม่ใช่สาวใช้ หม่อมฉันคือหว่านถง ลูกสาวคนเล็กของบ้านสกุลอวิ๋น คุณหนูอวิ๋นเป็นพี่ใหญ่คนละแม่ของหม่อมฉัน ซึ่งงานเลี้ยงในวันนี้ ท่านพ่อได้กำชับให้หม่อมฉันเข้าวังมากับนาง ให้รับใช้อยู่ข้างกายนาง ดังนั้นเรื่องบางเรื่องจึงทำได้ไม่คล่องแคล่วเท่าสาวใช้ ขอองค์ชายสามทรงอภัย!”
ที่แท้ก็เป็นคุณหนูอวิ๋นอีกคน
ซือเหยาอันอึ้ง หันมองท่านสาม พลางรู้สึกว่า ‘รักนกก็ต้องรักรังนกด้วย’ นางเป็นน้องสาวของอวิ๋นหว่านชิ่น ไม่น่าจะทำให้นางลำบากใจ ดูสิ ทำให้น้องสุดท้องของบ้านตกใจจนร้องไห้…ถ้าเป็นชายหนุ่มทั่วไป เป็นต้องพูดปลอบโยนสักสองสามประโยคแล้ว
ทว่าซย่าโหวซื่อถิงมิใช่คนรักหยกถนอมบุปผา อีกทั้งไม่เชี่ยวชาญการเข้าสังคม ยิ่งไม่เคยคิดถึง..ความคิดความรู้สึกของหญิงสาว จึงไม่สนใจหรอกว่าอวิ๋นหว่านถงจะเป็นน้องสาวหรือเป็นป้าของอวิ๋นหว่านชิ่น ยังคงแสดงสีหน้าไม่พอใจให้เห็น
เมื่อซือเหยาอันเห็นสีหน้าของท่านสาม ก็ได้แต่เอ่ยปาก “ท่านผู้สูงศักดิ์เชิญคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นเข้าวัง แต่เชิญคุณหนูเล็กตอนไหนหรือ อวิ๋นเสวียนฉั่งนี่ ทำอะไรโดยพลการจริงๆ!”
ซย่าโหวซื่อถิงพยายามข่มกลั้น จึงโบกมือ บอกให้นางไป
พออวิ๋นหว่านถงเห็นองค์ชายสามคล้ายไม่โกรธตนแล้ว ไหนเลยจะยอมไป ถ้าครั้งนี้ไป ก็ไม่มีครั้งหน้าแล้ว ดูท่าทางเขา เหมือนสนใจพี่ใหญ่อยู่ มิเช่นนั้นคงไม่เรียกตนมาหรอก แต่ถ้าเป็นชายหนุ่มทั่วไป ก็ควรจะทำเหมือนคุณชายชนชั้นสูงเหล่านั้น ถามถึงสิ่งที่พี่ใหญ่ชอบทำชอบทาน กระทั่งส่งจดหมายส่งของขวัญ ขอนัดพบอะไรทำนองนี้ เหตุใดเรียกตนมาแล้ว คำถามสำคัญอะไรก็ไม่ได้ถาม แบบนี้ดูไปแล้ว เขาอาจมิได้สนใจพี่ใหญ่มากมายขนาดนั้น…
อวิ๋นหว่านถงคิดพลางหายใจเข้าลึกๆ แอบใช้มือจับเข้าที่น่อง แล้วหยิกลงไปแรงๆ ซึ่งเจ็บจนเกือบร้องอาออกมา จากนั้นน้ำตาก็ไหลไม่หยุด
เมื่อซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่า นางไม่เพียงไม่จากไป ยังร้องไห้หนักเข้าไปอีก ก็ขมวดคิ้วเข้ม จมูกที่โด่งเป็นสันย่นเล็กน้อย
ซือเหยาอันหายใจเข้าลึกๆ ร้องไห้? ตั้งแต่เล็กจนโตท่านสามไม่เคยเสียน้ำตาให้เห็น และไม่ชอบเห็นคนร้องไห้เป็นที่สุด!
ในความทรงจำ จวนฉินอ๋องเคยมีสาวใช้ถูกพ่อบ้านเกาด่าว่า จนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร น่าสงสารมาก แต่พอท่านสามซึ่งนั่งอยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องไห้ ก็ยิ่งลงโทษนางเพิ่มอีกสามเท่า ก่อนทิ้งท้ายว่า “ขี้ขลาดเหลือทน”
และอีกครั้งหนึ่ง ในจวนเลี้ยงสุนัขเฝ้าจวนตัวหนึ่งมานาน ก่อนที่มันจะป่วยตายด้วยโรคระบาด ยังรู้จักอาลัยอาวรณ์คนเลี้ยง หลั่งน้ำตาออกมา จนพวกบ่าวพากันเศร้าโศกเสียใจ กอดศพสุนัขแล้วร้องไห้ จากนั้นก็หารือกันว่าจะฝังศพตรงไหนดี พอท่านสามได้ยินเสียงเศร้าโศกและเห็นการหลั่งน้ำตา ก็จ้องตาไม่กะพริบ ก่อนสั่งให้นำสุนัขไปเผาให้สิ้นซาก ส่วนคนที่กอดสุนัขก็ให้ไล่ออกจากจวนอ๋องไป
แม้ต่อมาค่อยรู้ว่า เป็นเพราะเกรงว่าคนที่กอดสุนัขอาจติดเชื้อจากสุนัข แล้วนำเชื้อมาแพร่ต่อในจวน ทว่าแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ค่อยมีคนกล้าร้องไห้ในจวน อย่างน้อยก็ไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าท่านสาม แต่ละคนถูกท่านสามบังคับเคี่ยวกรำจนจิตใจแข็งแกร่งดุจเหล็กเพชร
สรุปก็คือ ท่านสาม ทนไม่ได้เป็นที่สุด กระทั่งเกลียดชังคนที่ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าด้วยซ้ำ
สักพัก ซย่าโหวซื่อถิงก็หันมองอวิ๋นหว่านถง ยกเท้าขึ้น แล้วก้าวลงบันได
อวิ๋นหว่านถงดีใจพลัน ร้องไห้ไม่ทันไรก็เห็นผลแล้ว ผู้ชายปกติ ไหนเลยจะไม่รักหยกถนอมบุปผาเล่า
ซือเหยาอันก็แปลกใจ หรือท่านสามเปลี่ยนอุปนิสัย คิดปลอบโยนสักคำสองคำ?
ขณะเดินเข้าใกล้อวิ๋นหว่านถง ร่างอันสูงใหญ่ของซย่าโหวซื่อถิงก็ผ่านเลยนางไป
ที่แท้เขายังคงรับไม่ได้กับการได้ยินเสียงร้องไห้…ซือเหยาอันจึงรีบเดินตาม
อวิ๋นหว่านถงใจแป้ว ก่อนตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เนื่องจากการจับผู้ชายชั้นสูงนั้นค่อนข้างยาก นางจึงรีบจับปลายแขนเสื้อดิ้นทองของเสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้ พลางพูดอย่างเศร้าสร้อย
“องค์ชายสามอย่ากริ้วท่านพ่อเลยนะเพคะ ที่ท่านพ่อบอกให้หม่อมฉันเข้าวัง มิได้มีเจตนาขัดรับสั่งของพระสนมเอก แต่ล้วนเป็นเพราะพี่ใหญ่เข้าวังเป็นครั้งแรก ท่านพ่อเกรงว่านางจะไม่คุ้นเคย จึงให้หม่อมฉันตามมารับใช้…”
พูดถึงตรงนี้ เสียงของอวิ๋นหว่านถงก็สั่นและอ่อนลงไปอีก ริมฝีปากบนกัดริมฝีปากล่าง น้ำเสียงฟังดูโศกเศร้าไม่น้อย
“แม้หม่อมฉันเป็นคุณหนูอวิ๋น แต่ท่านแม่เป็นอนุ หม่อมฉันจึงเป็นเพียงลูกเมียน้อย ปกติอยู่ในบ้าน คนเรียกคุณหนูก็จริง แต่กลับมีสถานะสูงกว่าบ่าวไพร่ไม่มาก พี่ใหญ่สิ ถึงจะเป็นลูกสาวที่เชิดหน้าชูตาของบ้าน พอนางบอกให้มา หม่อมฉันจึงได้แต่ตามมา…ขอองค์ชายสามและพระสนมเอกอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง”
คิ้วของซือเหยาอันขยับ คำพูดนี้ทำให้ผู้คนเห็นใจจริงๆ ยอมเผยให้รู้ว่าตนมีสถานะในบ้านที่น่าสงสาร อีกทั้งยังทำให้รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ของบ้านเย่อหยิ่งจองหอง เห็นลูกเมียน้อยดุจบ่าวไพร่ มิได้รักแบบพี่น้องแต่อย่างใด
กล้ามเนื้อที่ปลายแขนของซย่าโหวซื่อถิงตึง ด้วยถูกนางดึงไว้ไม่ยอมปล่อย เขาไม่เคยเห็นคนที่พัวพันไม่เลิกเช่นนี้มาก่อน สายตาจึงมืดหม่นลง และเข้มจนข้น แต่พอได้ยินประโยคหลังของนาง ก็ยืนนิ่งโดยไม่รู้ตัว มิได้ขัดขืน กลับรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงก้มหน้าลง จ้องมองอวิ๋นหว่านถง
“อ้อ? พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในบ้านร้ายกาจมากหรือ”