เมื่อครู่อวิ๋นหว่านถงเห็นสีหน้าองค์ชายสามเยือกเย็นจนน่ากลัว ราวกับเตรียมจะทำสิ่งเลวร้ายสุด ด้วยการถีบตนออก แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงไม่ผลักไสตน ยังถามตนกลับอย่างอ่อนโยน จึงพยายามระงับอาการตื่นเต้น สมองพลันแล่น ตาแดง พลางพูดอย่างนุ่มนวล
“อย่างไรพี่ใหญ่ก็เป็นลูกเมียหลวง ต่อให้…ต่อให้ใช้อำนาจสั่งหม่อมฉัน ก็เป็นอำนาจโดยชอบธรรมของพี่ใหญ่ หม่อมฉันเป็นน้องสาว ก็ได้แต่เชื่อฟังคำพี่สาว ไม่กล้าขัดแต่อย่างใด”
“ใช้อำนาจสั่ง? ทำไมถึงใช้แต่อำนาจสั่งล่ะ” ชายหนุ่มเหมือนกำลังขบคิด น้ำเสียงจึงอ่อนโยนลง
อวิ๋นหว่านถงอึ้ง ถ้าองค์ชายสามหน้าไม่เครียด น้ำเสียงที่พูดออกมาจะไพเราะมาก จึงกัดฟัน ใบหน้าเล็กๆ แสดงอาการสลดหดหู่ไม่รู้จบ กะพริบแผงขนตาบนดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วย คล้ายในที่สุดฟ้าก็ใส เมื่อได้พบเจอท่านผู้ช่วยปลดปล่อยความทุกข์ จึงค่อยๆ เล่าบัญชีเก่าของอวิ๋นหว่านชิ่นออกมา
“ท่านพี่ไม่นับถือแม่เลี้ยง นางใช้สัญญาทาสข่มขู่แม่เลี้ยง ทำให้แม่ของหม่อมฉันที่อายุปูนนี้แล้ว ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่ทุกวัน เพราะถูกนางควบคุมไว้ และนางก็ยังคิดหาวิธีทำให้หม่อมฉันอับอาย ด้วยการให้หม่อมฉันทำในสิ่งที่กุลสตรีทำไม่ได้…” หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
ซย่าโหวซื่อถิงจินตนาการถึงท่าทางขณะใช้อำนาจอยู่กับบ้านของเด็กโง่นางนั้น ใบหน้าพลันร้อนถึงใบหู จึงอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น
ยิ้ม? หมายความว่าอะไร ตนกำลังบอกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นวางก้ามใหญ่โตขณะอยู่ในบ้าน แล้วเขายิ้มหาพระแสงอะไร? ขณะดวงตาปกคลุมไปด้วยน้ำตา อวิ๋นหว่านถงก็ยังแอบมองผ่านผ้าเช็ดหน้าลายปัก แม้เห็นรางๆ แต่พอชายหนุ่มยิ้ม ความหล่อเหลาของเขาก็คล้ายดวงอาทิตย์สาดแสงลงในสระน้ำ ละลายความหนาวเย็นในทันที ทำให้คนหวั่นไหวได้จริงๆ สีหน้าแข็งๆ เมื่อครู่ดูน่ากลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับน่ามองขึ้นมาก
และขณะที่อวิ๋นหว่านถงกำลังพัวพันฉินอ๋องไม่เลิกนั้น อีกด้านหนึ่ง คนสองคนที่ต่างมีสิ่งที่ต้องการในใจ ก็กำลังอยู่ด้วยกันในที่ที่ไม่ไกลกันนัก เว่ยอ๋องเพิ่งเรียกให้มู่หรงไท่เดินออกมาหาตนในห้องร้างที่ยื่นออกจากด้านข้างของตึกไจซิง เพื่อลอบหารือเรื่องที่ต้องทำในงานเลี้ยงสังสรรค์
พอทั้งสองวางแผนร่วมกันเสร็จ มู่หรงไท่ก็เดินออกไปก่อน ป้องกันไม่ให้คนเห็นว่าทั้งสองติดต่อกัน
ส่วนเว่ยอ๋องก็รออยู่สักพัก พอเห็นมู่หรงไท่เดินไปไกลแล้ว จึงค่อยๆ เดินออกจากห้อง
เว่ยอ๋องเดินพลางมองไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เห็นพอดีว่าในเก๋งจีนข้างตึกไจซิงมีร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง ฉินอ๋องนั่นเอง จึงแค่นหัวเราะในใจ วันนี้ล่ะที่เจ้าจะโดดเด่น ทุกคนจะได้เบี่ยงความสนใจไปจากข้า ถือว่าเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อนของลูกผสมชนเผ่าทางเหนืออย่างเจ้าก็แล้วกัน!
เดิมทีเขาคิดจะหันเดินไปอีกทาง แต่ก็อยากดูต่ออีกหน่อย จึงยืนอยู่กับที่ ดูพี่สามยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กับหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งจากการแต่งกายของนาง ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนในวัง และนางกำลังดึงแขนเสื้อพี่สามอยู่
นี่ก็แปลก พี่สามยอมให้นางจับแขนเสื้อ โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิด และเจตนาอ้อยอิ่งอยู่บ้าง
เว่ยอ๋องตาเป็นประกาย
เสียทีที่พี่สามแสร้งทำเป็นไม่ยุ่งกับผู้หญิงมาตลอด จนเสด็จพ่อยังชมว่า ดีที่ไม่หมกมุ่นราคะ โดยคิดว่าพี่สามอาศัยอยู่ในวัด อาจอยากมีชีวิตแบบพระจริงๆ แต่ ใช่กะผีที่ไหนล่ะ! มีด้วยหรือผู้ชายที่ไม่ยุ่งกับผู้หญิง!
เว่ยอ๋องคิดอะไรได้ จึงม้วนแขนเสื้อ แล้วเดินนำผู้ติดตาม เข้าไปด้านข้างของเก๋งจีนอย่างเงียบๆ
ซือเหยาอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่องเข้ามาใกล้อยู่แต่แรก แต่เขาไม่กระโตกกระตาก ก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูฉินอ๋อง
ซย่าโหวซื่อถิงจึงยิ้มค้าง อาศัยจังหวะที่อวิ๋นหว่านถงไม่ทันตั้งตัว ค่อยๆ ดึงแขนของตนออกจากมือนาง
พออวิ๋นหว่านถงเห็นชายตรงหน้าผู้เป็นดั่งเทพบุตรโน้มร่างสูงๆ ลงมา นำลำคอเขาเข้ามาใกล้ไหล่ตน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอำพันทะเลโชยมา พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบา
อวิ๋นหว่านถงไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเข้ามาในระยะประชิดเช่นนี้ ร่างจึงแทบไม่เป็นปกติ อ่อนระทวยไปกับลมหายใจของเขา
ใบหูที่อ่อนนิ่มแทบสัมผัสกับริมฝีปากของเขา ร่างจึงสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว รู้อยู่แต่ว่าชายหนุ่มตบไหล่นางเบาๆ สองที จากนั้นคำพูดที่ดูเหมือนตลกแต่ไม่ตลก ก็ลอยมาตามลมทีละคำ
“…ดูแลองค์ชายห้าดีๆ ล่ะ”
อา? หมายความว่าอะไร อวิ๋นหว่านถงเพิ่งเรียกสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคืนกลับ ชายหนุ่มก็ยืดตัวตรง และเดินอาดๆ ไปพร้อมกับผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง
“องค์ชายสาม…” อวิ๋นหว่านถงหันกาย มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มไป พลางย่ำเท้า
รู้สึกแต่ว่าข้างหูยังมีลมหายใจอุ่นๆ อยู่ และในหูสะท้อนเสียงดังเวิ้งว้าง สติหลุดลอย เขาไปคราวนี้ เกรงว่าคงยากที่จะพบกันอีก จึงแค้นใจยิ่ง
ด้านหลังพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นอย่างดี เว่ยอ๋องกำลังจ้องมองอากัปกิริยาของทั้งสองอย่างใกล้ชิด พลางแสดงสีหน้าว่าโล่งอก เป็นคนรักของพี่สามจริงๆ เสียดายที่เขาต้องมีวันนี้…
สายตาของเว่ยอ๋องหยุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาว นิ่งไปสักพัก ค่อยก้าวเข้าหา
“ท่านอ๋อง ท่านคิดจะ…” ขันทีข้างกายแตกตื่น รีบก้าวตาม พลางถาม
สีหน้าเว่ยอ๋องมีแววชั่วร้ายวาบผ่าน ก่อนก้าวยาวๆ เข้าหาอวิ๋นหว่านถง
เมื่อหญิงสาวนางนี้ไม่ใช่นางใน ก็ต้องเป็นผู้ติดตามที่เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงด้วย การแต่งกายเช่นนี้ ไม่เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ เหมือนสาวใช้มากกว่า!
“เจ้าเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงหรือ” นัยน์ตาของเว่ยอ๋องกระโดดข้ามแสงที่มองไม่เห็นไป
อวิ๋นหว่านถงยืนนิ่งอยู่กับที่ มีชายหนุ่มสวมชุดหรูหรา มงกุฎปักลายมาอีกคนแล้ว ได้ยินเพียงคนข้างกายเรียกเขาว่าท่านอ๋อง หรือจะเป็น…องค์ชายห้าที่องค์ชายสามพูดถึงเมื่อครู่?
ขันทีเห็นนางไม่ตอบ จึงเอ็ด “องค์ชายห้าถามเจ้าน่ะ ยืนนิ่งอยู่ทำไม”
อวิ๋นหว่านถงพลันตื่นจากภวังค์ รีบย่อตัวลงถวายบังคม
“เรียนองค์ชายห้า ใช่เพคะ หม่อมฉันมาร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนคุณหนูที่บ้าน…”
หึ ก็แค่บ่าวไพร่ที่มีสถานะต่ำต้อย เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายขึ้น
เว่ยอ๋องหันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มกึ่งมืดกึ่งสว่าง
“เชิญแม่นางท่านนี้ไปที่ห้องเตียวหลาน”
ห้องเตียวหลาน อยู่ในส่วนของที่พักองค์ชาย ปกติแล้วจะใช้เป็นห้องพักเท้าเวลาเข้าวังของเว่ยอ๋อง ซึ่งเงียบสงบ สะอาดสะอ้าน ไม่มีใครรบกวน
อวิ๋นหว่านถงยังไม่ทันตั้งสติ ผู้ติดตามก็ก้าวเข้ามา ผายมือเชิญ
อวิ๋นหว่านถงจึงพึมพำ “องค์ชายห้า ไป ไปไหนเพคะ หม่อมฉันยังต้องกลับไปรับใช้…”
เว่ยอ๋องยิ้มพลางว่า “ข้ากับเสด็จพี่สามดีต่อกันเรื่อยมา เมื่อครู่เห็นแม่นางกับเสด็จพี่สามรู้จักกัน จึงอยากเชิญแม่นางไปเดินเล่นในตำหนักองค์ชายเสียหน่อย ส่วนเรื่องรับใช้ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งกับคุณหนูบ้านแม่นางให้ ในวังมีบ่าวรับใช้มากมาย ไม่ต้องกลัวหรอกว่าคุณหนูบ้านแม่นางจะไม่มีคนคอยรับใช้”
อวิ๋นหว่านถงกลืนน้ำลาย ขนมหวานร่วงลงจากสวรรค์หรือไร
เมื่อครู่องค์ชายสามเพิ่งไป ตอนนี้องค์ชายห้ายังมาเชิญไปตำหนักอีก
สักพัก อวิ๋นหว่านถงก็ถอนสายบัว พลางข่มความตื่นเต้น
“เช่นนั้น หม่อมฉันแม้มิบังอาจ ก็ต้องทำตามรับสั่งแล้ว”
ตรงนั้น ซย่าโหวซื่อถิงกับซือเหยาอันเดินออกมาไกลพอควร
ซือเหยาอันหันกลับไปมอง แม้มองไม่เห็นคนแล้ว ก็ยังจินตนาการได้ว่าพอตนกับนายออกมา เว่ยอ๋องจะทำอย่างไร จึงอดไม่ได้ที่จะพูด
“นายท่าน ร้ายดีอย่างไร นางก็เป็นน้องสาวคุณหนูอวิ๋น…การผลักนางเข้ากองไฟเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาตามมาจริงหรือ”
นิ่งเงียบไปสักพัก ซย่าโหวซื่อถิงค่อยเอ่ยปาก “อย่างไรก็ต้องมีคนใช้นางเป็นเครื่องมืออยู่ดี ในเมื่อนางอาสามาเองเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าโชคไม่ดี ปล่อยนางเถอะ”
คำพูดนี้ถ้าคนแถวนี้ได้ยิน เป็นต้องงงงวยแน่ ทว่าพอซือเหยาอันได้ยิน กลับตระหนักในทันที