“พูดมาสิ! ” แคลร์เอานิ้วจิ้มหินจิตวิญญาณแล้วพูดอย่างรำคาญ

 

 

“อ๊า! รูปร่างเหมือนกับเปลือกหอย” วัลโดรีบตอบ เขากลัวว่าแคลร์จะถูเหมือนเมื่อกี้อีกจึงรีบพูดเสริม “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปเลย มันอันตรายเกินไป ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะไปเข้าได้ แม้ว่าเจ้าจะสามารถเป็นจอมเวทย์ได้แล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าออกได้อย่างปลอดภัยนะ”

 

 

แคลร์ไม่ได้สนใจวัลโดอีกต่อไป แต่ออกแรงบีบหินจนทำให้วัลโดเป็นลมไปอีกครั้ง จากนั้นนางก็เก็บข้าวของ ลุกขึ้น และตรงไปที่ห้องของเบน

 

 

แคลร์ไปเคาะห้องเบนก็เจอเบนทำสีหน้ามึนงง แน่นอนว่าในเวลาที่เขาไม่ต้องทำอะไร เขาก็ต้องการจะนอนหลับเช่นกัน

 

 

“แคลร์ มีอะไรหรือ? ” เบนงุนงง

 

 

“ไป ข้าจะให้บทเรียนกับเจ้าในคืนนี้ เป็นบทเรียนที่สำคัญมากเลยเชียวล่ะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากของแคลร์

 

 

เบนกระพริบตา แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

 

 

“ตามข้ามา” รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแคลร์ “เจ้าจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เจ้าต้องการรู้”

 

 

“อื้ม” เบนรับคำแล้วตามแคลร์ออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

กลางคืนที่เยือกเย็นราวกับสายน้ำ

 

 

แคลร์และเบนนั่งยองๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของซอยลึกที่เงียบสงบ แคลร์พึมพำกระซิบที่หูของเบน เบนก้มหน้าตั้งใจฟังโดยไม่พลาดสักคำ

 

 

“ทำเช่นนี้หรือ? ” เบนกระพริบตาและถามอย่างเชื่อฟัง เขารอคำตอบของแคลร์เหมือนลูกศิษย์ที่รอคำตอบจากอาจารย์

 

 

“อืม ถึงเวลานั้นเจ้าต้องทำสิ่งนี้เท่านั้นนะ… แล้วก็ค่อยทำเช่นนี้ต่อ…” แคลร์อธิบายให้เบนที่เป็นเด็กดีฟังโดยละเอียด

 

 

“ได้ๆ ” เบนพยักหน้าตอบ จากนั้นเขาก็กระพริบตาด้วยความสับสนแล้วถามอย่างจริงจัง “แต่ข้าจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ? “

 

 

“มันเป็นการหลอกล่อ” แคลร์อธิบายอย่างอดทน “ก็คือว่าเจ้าดึงดูดความสนใจของพวกเขาไปที่นั่น ส่วนข้าก็จะไปจากทางอื่น พวกเขาก็จะไม่สังเกตเห็นข้าไง”

 

 

“นี่เป็นสิ่งที่ดีเลย ฮ่าๆ ” เบนพูดพร้อมกับพยักหน้า “แต่ข้าต้องรอนานแค่ไหนล่ะ? “

 

 

“เจ้าพยายามถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุด หากถ่วงเวลานานแล้วไม่ได้ผลเจ้าก็เล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง บอกพวกเขาถึงความคาดหวังของเทพเจ้ามังกรและเทพีแห่งแสงว่าพวกเขามีความหวังว่าจะให้มนุษย์และมังกรอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อมาเยี่ยมพวกเขา” แคลร์สอนมังกรดำอย่างไร้ยางอาย

 

 

เบนตั้งใจฟังและจดจำทุกสิ่งไว้ในใจ

 

 

“ตอนนี้ข้าจำได้หมดแล้ว ต้องรีบไปเลยหรือไม่?” ดวงตาของเบนเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เวลานี้เขาตื่นเต้นมาก

 

 

“ไม่ ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบ รอให้ดึกอีกสักหน่อยก่อน” แคลร์คำนวณเวลา มนุษย์จะหลับลึกในช่วงตีสามกว่า เวลานั้นจะเป็นเวลาที่ตื่นตัวน้อยที่สุด เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะปฏิบัติการ

 

 

“อื้ม” เบนย่อตัวลงรอเวลาอย่างอดทน

 

 

ค่ำคืนดึกมากขึ้นเรื่อยๆ แคลร์มองขึ้นไปบนฟ้าเดาว่าน่าจะเกือบถึงเวลาแล้ว จึงสะกิดเบนที่หลับอยู่ข้างๆ “เบน ไปเถอะ ได้เวลาที่เจ้าจะต้องแสดงฝีมือแล้ว”

 

 

“ได้” เบนกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น

 

 

คนหนึ่งคนและมังกรหนึ่งตัวใช้ประโยชน์จากความมืดเดินเข้ามาใกล้ประตูวิหารแห่งแสงอย่างเงียบๆ

 

 

“โฮก…” เบนส่งเสียงคำรามไปในท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมและนั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูวิหารแห่งแสง

 

 

พลังของมังกรที่ทำให้ผู้คนใจสั่นแพร่กระจายไปทั่ว

 

 

ร่างใหญ่ของมังกรดำปิดกั้นประตูวิหารแห่งแสงจนเกือบหมด แน่นอนว่าการแพร่กระจายของแรงกดดันของมังกรที่อธิบายไม่ได้เช่นนี้ ทำให้ผู้คนในวิหารแห่งแสงตื่นตระหนกทันที

 

 

พระสันตปาปาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วและวิ่งออกไปหลังจากสวมเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง เขารู้ดีถึงแรงกดดันนี้ นี่คือมังกร ทำไมมังกรถึงปรากฏตัวที่นี่ได้? สิ่งมีชีวิตที่เย่อหยิ่งและทรงพลังเช่นนั้นจะมาปรากฏตัวที่ประตูวิหารแห่งแสงกลางดึกได้อย่างไร? ลางสังหรณ์ร้ายผุดขึ้นมาในใจพระสันตปาปา

 

 

วิหารแห่งแสงเกิดเสียงดังขึ้นในทันที มีมังกรดำมานั่งอยู่หน้าวิหาร ทุกคนแต่งตัวและรีบไปที่ประตูวิหารเพื่อดูมังกรอย่างประหม่า ต่างพากันสงสัยว่ามังกรตัวนี้ต้องการจะทำอะไร? มังกรต้องการจะโจมตีวิหารงั้นหรือ?

 

 

พวกเขารู้ดีว่าลมหายใจของมังกรสามารถทำลายประตูวิหารแห่งแสงได้ พวกเขาจึงร่ายคาถาเพิ่มอีกสองสามอย่าง หากไม่มีผู้แข็งแกร่งพอที่จะหยุดมันได้ก็ไม่ต้องคิดเลย แต่คนที่แข็งแกร่งก็รู้ดีว่าการต่อสู้กับมังกรไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก สิ่งที่เรียกว่านักรบมังกรนั้นเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้น แต่ความจริงแล้วมังกรไม่สามารถบุกเมืองมนุษย์ได้ตามอำเภอใจนี่ ทำไมจู่ๆ มังกรตัวนี้ถึงมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?

 

 

ตอนที่พระสันตปาปามาถึงที่ประตูก็เห็นว่าทุกคนมารวมตัวกันที่ประตูแล้ว หลังจากทุกคนเห็นพระสันตปาปามา พวกเขาก็หลีกทางให้ ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีผลีผลามใดๆ

 

 

พระสันตปาปาขมวดคิ้วมองมังกรที่หมอบอยู่ที่ประตูด้วยความลำบากใจเล็กน้อย มันคือมังกรที่มีสามหัวและมีคุณสมบัติเวทมนตร์ถึงสามอย่าง! ไม่มีประโยชน์เลยที่จะต่อสู้กับมังกรตัวนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะชนะ แต่เพราะนี่คือเมืองหลวง! นี่คือทางเข้าของวิหารแห่งแสง! การต่อสู้อาจทำลายทุกสิ่งที่นี่ได้! ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ รวมถึงพระสันตปาปาด้วย!

 

 

สิ่งที่ทำให้พระสันตปาปารู้สึกงุนงงเล็กน้อยก็คือมังกรนั่งเฉยๆ โดยไม่ได้มีท่าทีตั้งใจที่จะต่อสู้ มังกรมองลงมาที่ฝูงชน ดวงตาของเขาเบิกกว้างแต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีสัตว์ขนปุยตัวหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนหลังของมังกรดำซึ่งท่าทีของสัตว์ตัวนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่นคือไป๋ตี้นั่นเอง แคลร์กลัวว่าไป๋ตี้จะถูกพบหากเกาะอยู่บนหัวของนาง นางจึงเอาไป๋ตี้ไปไว้กับมังกรดำ

 

 

มังกรจ้องมองทุกคนอยู่ด้วยท่าทางเช่นนี้

 

 

บรรยากาศเริ่มแปลกไปและมีลมเย็นๆ พัดโชยมา

 

 

สถานที่แห่งนั้นมีแต่ความเงียบงัน

 

 

“ท่านมังกรผู้มีเกียรติ ท่านมาถึงที่นี่ท่านมีธุระอะไรหรือ? ” ในที่สุดพระสันตะชปาปาก็พยายามที่จะพูดออกไป

 

 

จำนวนคนที่อยู่ข้างหลังพระสันตปาปามารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัว ในใจของพวกเขามีความกังวลและสงสัย มังกรยักษ์ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในกลางดึกเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

 

“หึ” มังกรดำพ่นลมเย็นออกมาจากจมูกทั้งสามแล้วค่อยๆ ก้มหัวลงมองพระสันตปาปา

 

 

ทุกคนกลั้นหายใจและยืนเฝ้า พวกเขาจะต้องต่อสู้กับมังกรหรือไม่?

 

 

“ข้าผ่านมาทางนี้จึงแวะที่นี่เพื่อพักผ่อนระหว่างทาง” เบนพูดอย่างเคร่งขรึม “ที่นี่ดูค่อนข้างกว้างขวางดีนะ”

 

 

ทุกคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างไม่เชื่อและสงสัยว่าพวกเขากำลังละเมอหรือไม่ พระสันตปาปาเองก็กระตุกไปเช่นกัน

 

 

ผ่านมา? พักผ่อนที่นี่?

 

 

มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?

 

 

“ท่านมังกรผู้มีเกียรติ ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าท่านไม่ได้ตั้งใจสร้างปัญหาอะไรใช่หรือไม่? ” พระสันตปาปาถามอย่างระมัดระวังและสุภาพ

 

 

“ปัญหา? ” มังกรดำพ่นลมหายใจด้วยความประหลาดใจและพูดด้วยความปวดใจ “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร เทพเจ้ามังกรและเทพีแห่งแสงมีข้อตกลงกันว่าพวกเรามังกรไม่สามารถโจมตีเมืองมนุษย์ได้ตามใจ ข้าจะมาทำเรื่องที่ขายหน้าเผ่ามังกรได้อย่างไรล่ะ?” มังกรดำพูดอย่างเคร่งขรึม

 

 

มังกรดำพูดและเริ่มถ่วงเวลาตามคำอธิบายของแคลร์

 

 

ใบหน้าของทุกคนดูไม่เข้าใจ มังกรดำที่ทรงพลังนี้จะผ่านมาที่นี่จริงหรือ? บังเอิญขนาดนั้นเลยหรือ?

 

 

พระสันตปาปาก็สับสนเช่นกัน แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่สร้างปัญหาอะไรที่นี่ก็เพียงพอแล้ว

 

 

ตอนนี้แคลร์ได้แอบเข้าไปอีกด้านของวิหาร แน่นอนว่าเป็นไปตามที่นางคิดไว้ ผู้คนในวิหารต่างพากันให้ความสนใจมังกรดำที่อยู่ด้านนอกหมดแล้ว มังกรคือสิ่งมีชีวิตที่ภาคภูมิใจในตัวเองและไม่เคยข้องเกี่ยวกับมนุษย์เลย มังกรเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความกลัวในหัวใจของมนุษย์ แต่ตอนนี้กลับมีมังกรปรากฏตัวขึ้นที่ประตูวิหารแห่งแสงจะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร? การตอบสนองครั้งแรกของทุกคนก็คือมีศัตรูที่แข็งแกร่งเข้ามาและพวกเขาต้องต่อสู้ อีกทั้งทางด้านพวกเขาทุกคนก็อ่อนแอกว่ามากด้วย

 

 

แคลร์เข้าไปอย่างเงียบๆ ซ่อนพลังของนาง และแอบเข้าไปในทางเดินที่ทำจากหยกขาว ห้องโถงใหญ่อยู่ด้านหลังและมีสมบัติเก็บอยู่ด้านในนั้น

 

 

แน่นอนว่าแคลร์ไม่เจอใครระหว่างทางเลย วิหารแห่งแสงมักหยิ่งผยองอยู่เสมอ ในสายตาของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครหรือกองกำลังใดสามารถเทียบกับพวกเขาได้ ใครจะไปคิดล่ะว่ามังกรที่หน้าประตูนั้นเป็นการจงใจจัดฉากเพื่อดึงความสนใจของพวกเขา? ใครจะไปคิดว่าจะมีคนกล้าแอบเข้ามาขโมยของในวิหารแห่งแสงล่ะ

 

 

แคลร์เดินย่องๆ ไปตลอดทางราวกับผี ไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้

 

 

ใกล้แล้ว ห้องโถงใหญ่อยู่ข้างหน้านี้ แคลร์หยิบเสื้อคลุมล่องหนที่คลิฟมอบให้ออกมาสวม จากนั้นร่างของนางก็หายไปทันที

 

 

ห้องโถงใหญ่ที่สวยงาม ที่นี่สว่างไสวอยู่เสมอ มีโคมไฟเวทย์ขนาดใหญ่ห้อยลงมาจากเพดานของห้องโถงใหญ่ และมีโคมไฟเวทย์ขนาดเล็กจำนวนมากบนผนังโดยรอบ ด้านบนสุดของห้องโถงใหญ่มีรูปปั้นเทพีแห่งแสงซึ่งเป็นรูปแกะสลักที่เหมือนจริงมากและก็ดูศักดิ์สิทธิ์มากด้วย

 

 

ด้านในของที่ครอบเวทย์ซึ่งส่องแสงอยู่ด้านหน้ารูปปั้น มีวัตถุรูปเปลือกหอยที่สวยงามวางอยู่ สันนิษฐานได้ว่านี่คือสมบัติที่วัลโดบอกไว้ว่าสามารถช่วยให้วิญญาณสามารถสร้างร่างกายใหม่ได้

 

 

แคลร์เหล่ตามองและเดินเข้าไปใกล้ๆ นางค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อสัมผัสถึงเขตกั้นเวทย์ เป็นไปตามที่ที่วัลโดบอก เขตกั้นนั้นอ่อนแอมาก สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือต้องรีบทำลายเขตกั้นแล้วเอาสมบัตินี้ออกไป

 

 

แคลร์ตรวจสอบดูความยาวคลื่นของเขตกั้นอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านนอกได้ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงคมชัดที่แคลร์คุ้นเคย “พี่ฉิง เร็วเข้า”

 

 

“ซวนซวน ช้าลงหน่อย เจ้าวิ่งแบบนี้ไม่ได้นะ ระวังร่างกายของเจ้าด้วยสิ หากพี่ชายของเจ้ารู้ว่าข้ายอมให้เจ้าตื่นขึ้นมาดูมังกรกลางดึก เขาต้องจะโกรธข้าแน่ๆ ” เสียงของหลิวเฉว่ฉิงมีทั้งตำหนิและอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียง

 

 

“ไม่หรอกค่ะ ข้าจะบอกพี่ชายเอง พี่ชายไม่ว่าหรอกค่ะ” เหลิ่งซวนซวนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดถึงพี่ชายแล้ว พี่ฉิงคิดถึงพี่ชายไหมคะ? “

 

 

“เด็กคนนี้ พูดอะไรน่ะ? ” แม้ว่าหลิวเฉว่ฉิงจะพูดแบบนี้ แต่น้ำเสียงของนางก็เขินอายและมีความสุข

 

 

“พี่ฉิง…” เสียงของเหลิ่งซวนซวนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

แคลร์หยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจของนางถูกซ่อนอยู่ นางต้องการรอให้ซวนซวนผ่านไปก่อนที่นางจะเริ่ม

 

 

เมื่อหลิวเฉว่ฉิงและเหลิ่งซวนซวนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ หลิวเฉว่ฉิงก็ชะงักและขมวดคิ้วเล็กน้อย นางหันไปมองสมบัติที่อยู่ใต้รูปปั้นอย่างรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

……………………………………………………………………………..